ปกิณกธรรม
ของ
ท่านพระอาจารย์มั่น ภูริทฺตตเถร
นับแต่ท่านพระอาจารย์มั่น
ภูริทฺตตเถร พำนักอยู่วัดป่าบ้านหนองผือ ติดต่อกันมา ๕ พรรษา นั้น (ปี
๒๔๘๘-๒๔๙๒) ได้มีเหตุการณ์สำคัญเกิดขึ้นกับชาวบ้านหนองผือหลายเหตุการณ์
ด้วยเมตตาธรรมของ ท่าพระอาจารย์มั่น ท่าได้อนุเคราะห์อบรมสั่งสอนและปลูกฝังในหลักปฏิบัติที่ถูกต้องตามหลักพุทธศาสนาให้
แก่ชาวบ้านหนองผือและศรัทธาญาติโยม รวมทั้งฆราวาสจากที่อื่น ๆ ซึ่งล้วนเป็นคติธรรม
สอนใจแก่บุคคล ที่เกิดภายหลัง เรื่องราวที่นำมาเล่านี้ ได้หยิบมายกมาจากคนเฒ่าคนแก่ที่เคยใกล้ชิดปฏิบัติอุปัฏฐากท่าน
พระอาจารย์มั่น และนำมาจากท่านที่เคยประสบเหตุการณ์และเล่าเรื่องสืบต่อกันมาบ้าง
เหตุการณ์ที่นำมาเล่านั้น อาจไมเรียงตามลำดับ แต่จะเล่าตามที่ได้ยินได้ฟังเป็นเรื่อง
ๆ ไป
๑.
ต้อนรับเจ้าคุณพระราชาคณะ
มีท่านเจ้าคุณพระราชาคณะชั้นผู้ใหญ่รูปหนึ่ง
ซึ่งมีตำแหน่งระดับรองเจ้าคณะมณฑลเคยเป็น ลูกศิษย์ของท่านพำนักอยู่วัดที่กรุงเทพมหานคร
อยากจะเข้ากราบนมัสการท่านพระอาจารย์มั่น ที่วัดป่าบ้านหนองผือ ข่าวคราวนี้รู้สึกว่าเป็นงานที่ใหญ่โตมโหฬารยิ่ง
ระดับคณะสงฆ์ของจังหวัดสกลนคร เลยทีเดียว และเป็นงานที่มียศมีเกียรติมากของข้าราชการ
ตลอดทั้งชาวบ้านหนองผือและหมู่บ้านใกล้เคียง ในสมัยนั้น ต่างก็จะได้ต้อนรับพระราชาคณะระดับสูงสักครั้งหนึ่ง
เพราะนาน ๆ ทีจึงจะได้มีงานต้อนรับ พระราชาคณะชั้นสูง ที่เดินทางมาจากกรุงเทพมหานครเข้ามาเยี่ยมเยียนชาวบ้านนอกคอกนาอย่างพวกเขา
ดังนั้น พวกเขาจึงมีความปลื้มปีติใจอย่างมาก
ในที่สุดข่าวทางอำเภอพรรณานิคมสั่งมาให้คณะสงฆ์ในเขตตำบลนาใน
พร้อมทั้งข้าราชการครู กำนัน ผู้ใหญ่บ้านและลูกบ้าน ให้ตระเตรียมจัดการต้อนรับท่านอย่างเป็นทางการ
จากนั้นชาวบ้านหนองผือ และหมู่บ้านใกล้เคียงจึงได้จัดเตรียมขบวนต้อนรับอย่างสมเกียรติ
มีประชาชนคนเฒ่าคนแก่และหนุ่มสาว ตลอดทั้งพวกเด็ก ๆ ก็ไปด้วย โดยไปรอต้อนรับกันที่ทเข้า
ณ บ้านห้วยบุ่น เป็นระยะทางประมาณ ๔ กิโลเมตร เพราะท่านเจ้าคุณพระราชาคณะนั้นจะนั่งเกวียนเทียมวัวจากตัวอำเภอพรรณานิคมมาตามทางเกวียน
เลาะเลียบเขาและอ้อมเขามาลงที่บ้านห้วยบุ่น ซึ่งเป็นจุดต้อนรับของประชาชนชาวตำบลนาใน
ไม่นานคณะของท่านเจ้าคุณก็มาถึงและได้เปลี่ยนจากนั่งเกวียนมาขึ้นแคร่หามซึ่งชาวบ้านหนองผือ
จัดเตรียมตกแต่งไว้รอท่าเรียบร้อยแล้ว เมื่อท่านขึ้นแคร่หามเรียบร้อยก็พากันหามออกมาหน้าขบวน
โดยมี ประชาชนที่ไปต้อนรับแห่ขบวนตามหลัง มีฆ้องตีแห่ไปด้วยอันเป็นประเพณี
สนุกสนานตามประสาชาวบ้าน มาเรื่อย ๆ ตามทางเกวียนจนเข้ามาถึงหมู่บ้านหนองผือ
ผ่านบ้านเลยลงทุ่งนามุ่งสู่วัดป่าบ้านหนองผืออัน เป็นจุดมุ่งหมายปลายทางของการเดินทาง
สำหรับภายในวัดป่าบ้านหนองผือ
พระภิกษุสามเณรทุกรูปได้ลงมาเตรียมรอต้อนรับท่านที่ศาลา ทั้งหมดท่านพระอาจารย์มั่นก็อยู่บนศาลาเช่นกัน
ในขณะนั้นพวกขบวนแห่ก็เคลื่อนใกล้เข้ามาทุกที มาถึงประตู ทางเข้าวัดเคลื่อนมาเรื่อยๆ
ในที่สุดขบวนแห่ก็เคลื่อนมาถึงบริเวณศาลาที่เตรียมต้อนรับ และยังคิดที่จะหามแห่
เกวียนรอบศาลาสามรอบตามประเพณี ทันใดนั้นเสียงของท่านพระอาจารย์มั่นก็ดังขึ้น
เล็ดลอดออกมาจาก ภายในศาลา เสียงของท่านดังมากชัดเจนเป็นสำเนียงภาษาท้องถิ่นอีสานขนานแท้ว่า
"เอาบุญหยงฮึ..พ่อออก? พ่ออกเอาบุญหยัง..?
บุญเดือนสามกะบ่แม่น เดือนหกกะบ่แม่น เอาบุญหยัง..ล่ะ...พ่อออก" ( หมายความว่า
ทำบุญอะไรหรือโยม โยมทำบุญอะไร? ทำบุญเดือนสามก็ไม่ใช่ บุญเดือนหกก็ไม่ใช่
) ท่าพูดเน้นและย้ำอยู่อย่างนั้น จนทำให้พวกขบวนหามแห่ พวกตีฆ้อง ตีกลอง
แปลกใจ และตกใจกลัวเสียงของท่านมากและพากันหลบหน้าหลบตาหายลับไปกับฝูงชน
ส่วนพวกที่กำลังหามพระราชาคณะ รูปนั้นก็กลัวท่านเหมือนกันแต่จะทำอย่างไรได้
จึงต้องจำใจหามท่านเข้าไปจนถึงระเบียงศาลา โดยหามเอาขอบ ของแคร่เข้าไปชิดกับระเบียงศาลาแล้วท่านเจ้าคุณฯ
ก็ลุกขึ้นยืน ก้าวเท้าเหยียบขอบระเบียงศาลาเดินเข้าไปภายใน ยืนลดผ้าห่มจีวรเฉวียงบ่าให้เรียบร้อยสักครู่หนึ่ง
จึงเดินเข้าไปยังอาสน์สงฆ์แล้วกราบนมัสการพระประธาน เสร็จแล้วจึงนั่งบนอาสนะที่จัดไว้
ฝ่ายญาติโยมที่แห่หามท่านมาเห็นว่าหมดธุระแล้ว
จึงเก็บสัมภาระแคร่หามและเครื่องของต่างๆ ไปไว้ที่เดิมในขณะที่ผู้คนกำลังวุ่นวายกันอยู่นั้น
ท่านพระอาจารย์มั่นท่านก็ยังพูดซ้ำแล้วซ้ำเล่า คล้ายๆจะให้รู้ว่า งานขบวนหามขบวนแห่พระในครั้งนี้มีความผิด
ท่านจึงพูดเสียงดังผิดปกติจากนั้นท่านก็ไม่ได้พูดอะไรอีก ท่านได้เข้าไปต้อนรับพูดจาปราศรัยกับท่านเจ้าคุณฯ
ถึงตอนกลางคืนวันนั้นท่านก็ได้ประชุมพระเณร เข้าใจว่าคงจะได้ฟังเทศน์กัณฑ์หนักเหมือนกันญาติโยมบ้านหนองผือบางคนสมัยนั้นมักไปแอบฟังเทศน์ท่าน
ที่ใต้ถุนศาลา ขณะที่ท่านพระอาจารย์มั่นกำลังเทศน์อบรมพระเณรในตอนกลางคืนอยู่เสมอๆ
ประมาณ ๔-๕ คน
คืนนี้ก็เป็นนักแอบฟังเหมือนเช่นเคย
แต่คราวนี้ไปกันหลายคน เพราะมีเหตุให้สนใจหลายอย่าง มีท่านเจ้าคณะรูปนั้นมาแบบมีเกียรตินี้หนึ่ง
และเพื่อมาฟังเรื่องราวต่างๆ ที่เกิดขิ้นในตอนกลางวันนั้นหนึ่ง มาถึงแล้วก็เข้าไปแอบอยู่ที่ใต้ถุนศาลานั่นเอง
ขณะนั้นท่านท่านพระอาจารย์มั่นกำลังเทศน์พระเณรอยู่ ตอนแรก ท่านพระอาจารย์มั่น
ท่านคงจะยังไม่รู้ว่ามีโยมมาแอบฟังบังเอิญมีโยมคนหนึ่งวางกระป๋องยาสูบไว้ในที่มืด
ฟังเพลิน มือคว้าไปสะดุดกระป๋องยาสูบเข้าทำให้เกิดเสียงดังขึ้น ท่านได้ยินจึงพูดว่า
"พ่อออกมาเนอะ" ( หมายความว่า โยมก็มาฟังด้วย )
การแอบฟังของญาติโยมในคืนนั้นก็ทำให้รู้เรื่องราวหลายอย่าง
ส่วนมากเป็นเรื่องการประพฤติ ปฏิบัติพระวินัยของพระภิกษุสามเณร ตลอดทั้งกิริยา
มารยาทอย่างอื่นที่ยังไม่เหมาะสมกับสมณสารูป และอีกเรื่องหนึ่งเกี่ยวกับการรวมคณะสงฆ์ทั้งสองให้เป็นคณะเดียว
อาจเนื่องมาจากท่านเจ้าคณะรองภาคฯ รูปนั้น มาปรึกษาขอความเห็นจากท่านพระอาจารย์มั่นก็เป็นได้
และท่านก็ได้เทศน์อบรมพระเณรในคืนนั้น เป็นพิเศษจนดึก ล้วนแต่เป็นเรื่องราวที่เข้มข้นทั้งนั้น
เทศน์ถึงความผิดของพระเณรแล้วก็โยงมาถึงความผิดของ ญาติโยม เพราะไม่มีใครสอนเขาให้เข้าใจพวกเขาเลยไม่รู้ว่าอะไรผิดอะไรถูก
ที่ผิดก็เลยพากันผิดมาเรื่อยๆ จนบางเรื่องก็แก้ไขไม่ได้ติดเป็นประเพณีนิยมสืบกันมาก็มี
แต่เหตุการณ์ครั้งนี้ไม่ได้หยุดอยู่เพียงแค่นั้น ท่านได้เริ่มจุดที่จะสอนญาติโยมชาวบ้านหนองผือต่อไป
ตอนเช้าท่านพระอาจารย์มั่นพร้อมทั้งพระเณรทุกรูป
เข้าไปบิณฑบาตภายในหมู่บ้านหนองผือ ตามปกติชาวบ้านจะรอใส่บาตรกันเป็นกลุ่มๆ
ละ ๓๐-๔๐ คน มีทั้งหมด ๓ กลุ่ม พอพระเณรมาถึงละแวกบ้าน จะมีโยมประจำคนหนึ่ง
ซึ่งมีบ้านอยู่ต้นทางก็จะตีเกราะเคาะไม้เป็นสัญญาณเตือนก่อน จากนั้นพระเณร
ก็เดินเป็นแถวตามลำดับพรรษาเข้าไปยังหมู่บ้าน ฝ่ายญาติโยมที่จะใส่บาตรจะยืนเรียงแถวยาวไปตามถนน
เป็นกลุ่มๆ ไป
วันนี้ก็เช่นกัน พระเจ้าพระสงฆ์ก็ไปรับบิณฑบาตเหมือนเช่นเคย
มีท่านพระอาจารย์มั่น เป็นองค์นำหน้า พอไปถึงกลุ่มแรกท่านพระอาจารย์มั่นก็พูดขึ้นเสียงดังชัดเจน
แต่เป็นประโยคใหม่ แปลกกว่าคำพูดเมื่อวานนี้ เป็นสำเนียงอีสานว่า " สาละแวก
ปลาแดกใส่ตุ้ม ปลาเก่ากะบ่ได้ ปลาใหม่กะบ่ได้ เอาบุญหยังฮึ..พ่อออกแม่ออกเมื่อวานนี้
สาละแวก ปลาแดกใส่ตุ้ม.." ท่านพูดอย่างนั้นไปเรื่อยๆ ภายหลังมาพวกชาวบ้านจึงเข้าใจความหมายและเรื่องราวต่างๆที่ท่านพูดนั้น
จากพระเณรภายในวัด ซึ่งได้เล่าหรืออธิบายให้ญาติโยมที่ไปจังหันที่วัดในตอนเช้าฟัง
เมื่อพวกโยมเหล่านั้นกลับมาบ้าน ก็ได้บอกเล่าเรื่องเหล่านั้นให้แก่ชาวบ้านคนอื่นๆทราบอีก
และเล่าต่อๆมาจนถึงทุกวันนี้
เรื่องนั้นมีความหมายว่า
การที่ญาติโยมตั้งขบวนแห่พระอย่างนั้น เป็นการอันไม่สมควร ไม่ถูกต้อง
ไม่เคารพสถานที่และครูบาอาจารย์ เป็นความผิดแผก แหวกแนวประเพณีของนักปฏิบัติ
ผิดทั้งฝ่ายโยม ทั้งฝ่ายพระ พระผู้ถูกหามไม่ป่วยไม่ชรา อาพาธก็ผิดพระวินัย
พระก็เป็นโทษเป็นอาบัติเป็นบาปเป็นกรรม ฝ่ายญาติโยมเป็นผู้ส่งเสริมความผิด
ทำให้พระผิดพระวินัย ญาติโยมก็พลอยได้รับโทษไปด้วยเช่นกัน ฉะนั้น การที่ญาติโยมคิดว่าเป็นการทำเอาบุญเอากุศลในครั้งนี้นั้นก็เลยไม่ได้อะไร
บุญเก่าก็หดหาย บุญใหม่ก็ไม่ได้ เป็นการกระทำอันเปล่าประโยชน์
ภายหลังชาวบ้านจึงพากันจำใส่ใจตลอดมา
และไม่กล้าทำประเพณีอย่างนี้อีกเลย จึงได้พากันเล่าต่อมาจนถึงทุกวันนี้
ถือว่าเป็นอุบายการสั่งสอนของท่านพระอาจารย์มั่นที่ชาญฉลาดยิ่ง จนชาวบ้านหนองผือได้รู้ว่าอะไรผิดอะไรถูกบ้างจนมาถึงทุกวันนี้
หน้าต่อไป >