๒๖
เมษายน ๒๕๔๔
หน้าที่ ๑
|
||||||||||||||
บิณฑบาตยามเช้า
" เรื่องบิณฑบาตพอหกโมงเช้า ธรรมเนียมบ้านหนองผือ เขาก็ตีขอไม้ตะเคียนเป็นสัญญาณดังไกล เป็นสามบทติดๆ กัน หมายความว่าพอเตรียมตัวใส่บาตรแล้วพวกเราชาวบ้าน แต่พอพระผ่านละแวะบ้านเขาก็ตีขออีกสามบท เขารวมกันกันเป็นกลุ่มยืนเรียงรายกันเป็นทิวแถว แต่ละกลุ่มเขามีผ้าขาวปูม้ายาวๆ ไว้เรียบ ส่วนม้านั่งของหลวงปู่มั่น เขาทำพิเศษต่างหากสูงกว่ากัน พอยืนรับบาตแล้วก็นั่งให้พรเขาพร้อมกัน ไปกลุ่มอื่นอีกก็เหมือนกัน มีสามกลุ่มแล้วก็กลับวัด หลวงปู่มั่นค่อยกลับทีหลัง กับพระผู้ติดตามองค์หนึ่งตามหลังกลับมาด้วย มีโยมผู้ชายรับบาตรพระผู้ใหญ่มาวัด วันละสี่ห้าหกคนไม่ขาด ฝ่ายพระผู้น้อยที่กำลังถือนิสัยและเณรก็ดีรีบกลับให้ถึงวัดก่อน เพื่อจะได้ทันข้อวัตรของครูบาอาจารย์เป็นต้นว่าล้างเท้าเช็ดเท้า รับผ้าสังฆาและจีวร หรือเตรียมแต่งบาตรแต่งพกเป็นต้น "
พอกลับถึงวัดก็ได้ชวนกันประเคนของพระ แล้วก็กลับออกมาสำรวจวัดอีกครั้ง
ได้เดินไปที่ศาลาโรงธรรมหลังเก่าสมัยหลวงปู่มั่นเป็นที่ที่ท่านใช้ทำอุโบสถ
อบรมญาติโยม และยังเป็นที่ที่ท่านได้จำวัดในระยะแรกด้วยเป็นศาลาไม้ทรงไทยใต้ถุนสูง
ด้านข้างเป็นกุฏิที่ใช้รับรองพระเถระที่มากราบนมัสการหลวงปู่มั่นตั้งแต่
พ.ศ. 2488
ด้านหน้าศาลาหลังเก่าคือศาลาโรงฉันหลังเก่าที่หลวงปู่มั่นได้ใช้ฉันภัตตาหารตลอด 5 ปีที่จำพรรษาที่นี่ เป็นศาลาใต้ถุนสูงมีชานด้านหน้า กว้างประมาณ 10 เมตรยาว 5 เมตร ด้านข้างเป็นฟากไม่มีพระประธานบนศาลา เสนาสนะเหล่านี้ไม่กว้างขวางใหญ่โตสวยงามเลย แต่องค์ท่าใช้ได้คุ้มค่าจริงๆ
แล้วก็ได้ขึ้นไปสำรวจที่ศาลาใหญ่หลังปัจจุบันที่ใช้เป็นที่ฉันภัตตาหาร ส่วนชั้น 2 ใช้สำหรับลงอุโบสถฟังเทศน์ฟังธรรม มีพระประธานองค์ใหญ่ประดิษฐานอยู่ จากการสอบถามคุณตาธงได้รับรองว่าพระประธานองค์นี้เป็นองค์เก่าทันหลวงปู่มั่นได้กราบไหว้ นอกจากนี้ก็ยังเป็นที่เก็บหนังสือธรรมะต่างๆ บางเล่มข้าพเจ้าก็เห็นครั้งแรกที่นี่เป็นคลังความรู้สำคัญของพระกรรมฐาน
ต่อมาข้าพเจ้าและคณะจึงได้กราบลาท่านพระอาจารย์พยุง องค์ท่านได้เล่าถึงเรื่องเก่าๆ ต่างๆ ภายในวัด เช่น เรื่องบริขารที่ไม่ปรากฏของหลวงปู่มั่น คือลูกประคำขนาดเส้นฝ่าศูนย์กลางประมาณ 1 เซนติเมตร ที่มีคนเก่าคนแก่ของบ้านหนองผือท่านหนึ่งได้เข้าไปช่วยเก็บบริขารหลวงปู่มั่นตอนที่ท่านอาพาธแล้วจะย้ายออกไปที่วัดป่าสุทธาวาสและเห็นประคำพวงนี้เข้า ซึ่งตามปกติก็ไม่เคยเห็นท่านใช้ประคำพวงนี้เลย อาจเป็นไปได้ว่ามีใครถวายท่านแล้วท่านก็เก็บไว้อย่างนั้นไม่ได้ใช้อะไร จนท่านใกล้มรณภาพจึงมีผู้ไปพบเข้า แต่ปัจจุบันประคำพวงนี้ได้หายสาบสูญไปแล้วไม่อาจทราบได้ว่าตกไปอยู่กับท่านผู้ใด ท่านยังได้ปรารภถึงเรื่องอัฐิธาตุหลวงปู่มั่นประจำวัดนี้ที่มีสภาพเป็นแก้วใสประมาณ 4 -5 ชิ้นแต่ละชิ้นมีขนาดประมาณ 1 เซนติเมตร ที่ปัจจุบันบูชาอยู่ในบุษบกที่ศาลาใหญ่ ท่านเล่าว่าแต่เดิมของวัดก็ไม่มีแต่ได้มาจากญาติโยมของบ้านหนองผือที่ได้รับส่วนแบ่งจากการที่ไปช่วยงานถวายพระเพลิงศพหลวงปู่มั่นที่วัดป่าสุทธาวาส แล้วนำมาบูชาไว้ที่บ้าน ต่อมาญาติโยมเหล่านี้จึงคิดได้ว่าของสูงขนาดนี้ไม่ควรบูชาไว้เองที่บ้าน ควรจะมาไว้ที่วัดจะเหมาะสมกว่าและจะได้บูชากันเป็นส่วนรวมด้วย ท่านเจ้าอาวาสก็ได้อนุโมทนาและได้ประดิษฐานไว้ ณ ที่นี่ จัดเป็นพระธาตุหลวงปู่มั่นที่แปรสภาพได้งดงามอีกที่หนึ่ง นอกจากนี้ยังมีอัฐิธาตุและเกษาธาตุของครูบาอาจารย์องค์อื่นๆ ประดิษฐานร่วมกัน เช่น หลวงปู่เทสก์ หลวงปู่มหาบัว หลวงปู่คำพอง หลวงปู่อุ่น เป็นต้น และท่านยังได้เล่าถึงวิถีชีวิตของชาวบ้านหนองผือที่ยังผูกพันธ์กับวัดจนถึงปัจจุบัน เวลามีครูบาอาจารย์จากที่อื่นมาพัก ก็จะมีการตีกลองให้มาฟังธรรมะจากครูบาอาจารย์ ชาวบ้านก็จะจูงลูกจูงหลายวัยรุ่นก็มาฟังด้วย จัดเป็นความบันเทิงในธรรมโดยไม่ต้องมีมหรสพใดใดเลย ชาวบ้านแถบนี้จึงสูงส่งด้วยศีลธรรม แม้แต่สมัยก่อนคอมมิวนิสต์ก็ไม่สามารถแพร่อิทธิพลมายังบ้านนี้ได้ สุดท้ายจึงขอโอกาสหลวงพ่อถ่ายรูปกับหลวงพ่อเพื่อเป็นที่ระลึกด้วย
พวกเราเดินไปกราบที่กุฏิหลวงปู่มั่นเป็นครั้งสุดท้าย
คุณแม่ของน้องกลอ์ฟได้ชี้ที่ที่เคยเป็นส้วมเก่าที่อดีตสมัยคุณแม่ยังเด็กยังมีปล่องละบายอากาศโผล่ขึ้นมาอยู่
คุณแม่ได้เคยทดลองดมที่ปล่องนี้ดูปรากฏว่าหอมดั่งกลิ่นธูปที่ปัจจุบันทางวัดได้เทปูนทับลงไปแล้ว
เพราะเกรงชาวบ้านจะมาขุดหากัน
|