ตามรอยองค์หลวงปู่มั่น ภูริทัตโต

ร่วมเดินไปยังสถานที่ที่เกี่ยวเนื่อง กับองค์หลวงปู่มั่น ภูริทตฺโต พร้อมเรื่องราวความสำคัญ ศิษยานุศิษย์ที่เข้ามาฝากตัว เป็นสานุศิษย์ถักทอสู่ "กองทัพธรรมพระกรรมฐาน" โดยเว็บมาสเตอร์ www.luangpumun.org และสุดยอดแฟนพันธุ์แท้ ศิษยานุศิษย์หลวงปู่มั่น ภูริทัตโต จากรายการ แฟนพันธุ์แท้ 2018

เมนูหลัก ตามรอยองค์หลวงปู่มั่น คลิ๊ก

จำพรรษาดอยนะโม เมตตาหลวงปู่ขาว อนาลโย
ดอยนะโม บ้านทุ่งบวกข้าว อ.พร้าว จ.เชียงใหม่ พ.ศ.
2478
ตามรอยองค์หลวงปู่มั่น ภูริทตฺโต ตอนที่ 38


ดอยนะโม องค์หลวงปู่มั่น ภูริทตฺโต จำพรรษาปี พ.ศ.2468 (รูปโดย Admin)

          ในพรรษากาลปี พ.ศ. 2478 องค์หลวงปู่มั่น ภูริทตฺโต ยังคงจำพรรษาอยู่ในแถบ อ.พร้าว จ.เชียงใหม่ ต่อเนื่องเป็นปีที่ 2 จากบันทึกประวัติองค์หลวงปู่มั่น โดย หลวงพ่อวิริยังค์ สิรินฺธโร อัตตโนประวัติหลวงปู่เทสก์ เทสรํสี และจากบทความป่าเมี่ยงในประวัติหลวงปู่มั่น โดย Admin แฟนพันธุ์แท้ศิษย์หลวงปู่มั่น www.luangpumun.org ได้ระบุว่า ในปีนี้นั้น องค์หลวงปู่มั่น จำพรรษา ณ ดอยนะโม บ้านทุ่งบวกข้าว อ.พร้าว จ.เชียงใหม่ พร้อมด้วย หลวงปู่ขาว อนาลโย ซึ่งมีโอกาสได้จำพรรษากับองค์หลวงปู่มั่น เป็นพรรษาแรก และหลวงปู่อ่อนสี สุเมโธ คาดว่าหลวงปู่แหวน สุจิณฺโณ กับพระอาจารย์พร สุมโน ที่จำพรรษาที่ดอยนะโมในพรรษาก่อน อาจจะจำพรรษาต่อเนื่องด้วยในพรรษานี้

อีกทั้งยังมี พระอาจารย์สาร สุจิตฺโต และพระอาจารย์มหาทองสุก สุจิตฺโต ที่จำพรรษาอยู่ในท้องที่ใกล้เคียงกัน ซึ่งพระอาจารย์ทั้งหลายล้วนเป็นศิษย์เดิมที่เคยศึกษากับองค์หลวงปู่มั่นมา

เมื่อออกพรรษาแล้ว องค์หลวงปู่มั่น ได้ชวนหลวงปู่เทสก์กับหลวงปู่อ่อนสี เดินทางจากดอยนะโม  ขึ้นไปจำพรรษา ที่บ้านมูเซอ (บ้านปู่พญา) ในพรรษากาลปี พ.ศ. 2479

การที่องค์หลวงปู่มั่นได้เมตตาให้โอกาสกับศิษย์หลายท่านในช่วงเวลานี้ สอดคล้องกับบันทึกประวัติองค์หลวงปู่มั่น โดยหลวงพ่อวิริยังค์ ดังนี้

....เป็นความประสงค์ของท่านที่ จะรวมศิษย์อีกครั้งตามที่ท่านเล่าให้ผู้เขียนฟัง เพราะหลังจากการธุดงค์แสวงหาความสงบ พิจารณาถึงปฏิปทาต่าง ๆ แล้ว สมควรจะแก้ไขปรับปรุงสิ่งที่ยังบกพร่องอยู่ ให้เต็มพร้อมและมีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น ฉะนั้นจึงไม่แปลกอะไรที่คณะศิษย์ของพระอาจารย์มั่น ฯ ในปัจจุบันที่มีความสามารถมากกลับเป็นที่เคารพนับถือจากพุทธบริษัทโดยทั่วไป...(หลวงพ่อวิริยังค์ สิรินฺธโร)

โดยมีเรื่องราวตามลำดับเหตุการณ์ ณ ดอยนะโม ดังนี้

 

ดอยนะโมก่อนองค์หลวงปู่มั่นจะมาจำพรรษา 

เริ่มต้นตั้งแต่ก่อนเข้าพรรษา ปี พ.ศ. 2477 เนื่องจากที่ป่าเมี่ยงขุนปั๋ง ที่มีองค์หลวงปู่มั่น ภูริทตฺโต เป็นประธานสงฆ์ พร้อมด้วยหลวงปู่ขาว อนาลโย, หลวงปู่แหวน สุจิณฺโณ และหลวงปู่พร สุมโน แล้วต่อมา หลวงปู่เทสก์ เทสรํสี กับหลวงปู่อ่อนสี สุเมโธ ได้ตามมาสมทบ


องค์หลวงปู่มั่น ภูริทตฺโต และศิษย์ที่ติดตามองค์หลวงปู่มั่นในเขตอำเภอพร้าว ในช่วงปี พ.ศ.
2476 - 2478ได้แก่ พระอาจารย์สาร สุจิตฺโต, หลวงปู่เทสก์ เทสรํสี, หลวงปู่ขาว อนาลโย, หลวงปู่อ่อนสี สุเมโธ, พระอาจารย์พร สุมโน, หลวงปู่แหวน สุจิณฺโณ และพระอาจารย์มหาทองสุก สุจิตฺโต เป็นต้น (รูปจาก Internet และจากฐานข้อมูล Admin)

เนื่องจากป่าเมี่ยงขุนปั๋งเป็นหมู่บ้านขนาดเล็ก ตามบันทึกประวัติหลวงปู่แหวนได้กล่าวว่า เมื่อมีพระอยู่ด้วยกันหลายรูป เกรงว่าจะเป็นภาระของชาวบ้านป่าเมี่ยงขุนปั๋งในการดูแลใส่บาตร จึงได้แยกย้ายกันไปพำนักในพื้นที่ใกล้เคียง จะมารวมกันเพื่อฟังพระปาฏิโมกข์และรับการอบรมจากหลวงปู่มั่น เสร็จแล้วก็กลับไปสู่ที่อยู่ของแต่ละท่าน

หลวงปู่แหวนกับหลวงปู่ขาวได้ทราบถึงความจำเป็นดังกล่าว ได้กราบลาหลวงปู่มั่น มาจำพรรษาที่ดอยนะโม บ้านทุ่งบวกข้าว ซึ่งต่อมาเมื่อพระอาจารย์พรได้ทราบ ก็ได้ขอตามลงมาร่วมจำพรรษาด้วย ดังนั้นที่ดอยนะโมในพรรษากาลปี พ.ศ. 2477 มีพระที่จำพรรษา คือ หลวงปู่ขาว หลวงปู่แหวน พระอาจารย์พร (มูลนิธิหลวงปู่แหวน สุจิณฺโณ, มปพ.:73-74)

 

คำเตือนจากองค์หลวงปู่มั่น

          ตามบันทึกประวัติหลวงปู่แหวนได้กล่าวถึงคำเตือนขององค์หลวงปู่มั่น ก่อนที่หลวงปู่ขาว หลวงปู่แหวน พระอาจารย์พร จะเดินทางไปจำพรรษาที่ดอยนะโม จนเวลาผ่านล่วงเลยไปจนออกพรรษาแล้ว คำเตือนนั้นก็เริ่มปรากฏ คือความขัดแย้งกันเล็กน้อยในหมู่คณะของพระอาจารย์ทั้ง 3 ท่าน ซึ่งต่อมาองค์หลวงปู่มั่น ได้มาแสดงธรรมให้เห็นโทษของความขัดแย้ง ซึ่งพระอาจารย์ทั้ง 3ท่านได้อัศจรรย์ถึงความรู้ขององค์หลวงปู่มั่น พากันสำนึกถึงโทษและขอขมาในที่สุด

โดยมีรายละเอียดของเหตุการณ์ ตามบันทึกประวัติหลวงปู่แหวน ดังนี้

...ก่อนที่จะเตรียมตัวเดินทางออกมา ได้เข้าไปกราบลาองค์หลวงปู่มั่น ท่านได้เตือนสติว่า

เออ ไปแล้วอย่าไปทิ่มแทงกันด้วยหอกด้วยดาบนะ

พอได้ฟังแล้ว ต่างก็ไม่เข้าใจในความหมายของคำเตือนขององค์หลวงปู่มั่น

เมื่อกราบลาท่านแล้ว จึงเดินทางออกมาที่ดอยนะโม บ้านทุ่งบวกข้าว ซึ่งเป็นเทือกเขาเดียวกันกับที่ตั้งวัดดอยแม่ปั๋ง อยู่ไม่ห่างกันนัก ไปมาหากันได้อย่างสบาย ใช้เวลาเดินทางประมาณ 20 นาที... (มูลนิธิหลวงปู่แหวน สุจิณฺโณ, มปพ.:73-74)

 

ความขัดแย้งก่อตัว

....การจำพรรษาอยู่ดอยนะโมในพรรษานั้น เป็นไปด้วยความเรียบร้อย การภาวนาไม่มีอุปสรรค จิตคงก้าวหน้าดี เกิดอุบายทางธรรมแปลกๆ หลายอย่าง ต่อเมื่อออกพรรษาแล้ว วันหนึ่งมีทายกนำผ้ามาถวายเพื่อให้ตัดเย็บเป็นจีวร เมื่อได้รับผ้ามาแล้ว ต่างก็ช่วยกันตัด แต่พอลงมือตัดเข้าเท่านั้น เกิดความเห็นไม่ลงกัน บ้างก็ว่าเอาขนาดเท่านั้นเท่านี้จึงจะพอดี เมื่อมีความเห็นไม่ตรงกัน ก็มีการโต้แย้งกันขึ้น กลายเป็นเอาแพ้เอาชนะกัน...


องค์หลวงปู่มั่น ภูริทตฺโต ได้ให้โอวาทศิษย์ที่ไปจำพรรษา ณ ดอยนะโม ในพรรษากาลปี พ.ศ.2477 คือ พระอาจารย์พร สุมโน, หลวงปู่ขาว อนาลโย และหลวงปู่แหวน สุจิณฺโณ (รูปจาก ฐานข้อมูล Admin, หนังสือประวัติพระราชญาณมุนีและคุณกมล นิลปาน)

ขณะที่หลวงปู่แหวนกำลังเดินจงกรมอยู่นั้นเอง ก็เห็นหลวงปู่ขาวเดินถือไม้กวาดตรงเข้ามาหา เมื่อถึงทางจงกรม หลวงปู่ขาวก็กวาดลงไปที่ทางจงกรม กวาดไปจนถึงที่หลวงปู่แหวนกำลังเดินอยู่ พอหลวงปู่แหวนเดินเข้ามา ก็กวาดไปที่เท้าหลวงปู่แหวน กวาดไปกวาดมาอยู่ที่เท้าอย่างนั้นเอง

เมื่อเกิดเหตุการณ์ขึ้นเช่นนี้ หลวงปู่แหวนจึงพิจารณาดูว่าเหตุเกิดมาจากอะไร จึงนึกได้ว่าคงจะเป็นตอนที่ท่านกวาดบริเวณเมื่อครู่นี้ มีเสียงไปกระทบจิตขณะที่หลวงปู่ขาวนั่งภาวนา จึงทำให้เกิดความโกรธขึ้น แต่ก็ไม่ได้ถือกันและกัน เพราะต่างก็รู้จักอัธยาศัยใจคอของกันและกัน เป็นอย่างดี... (มูลนิธิหลวงปู่แหวน สุจิณฺโณ, มปพ.:73-74)

 


พระธาตุเจดีย์ บนดอยนะโม อ.พร้าว จ.เชียงใหม่ (รูปโดย Admin)

 

ออกพรรษาองค์หลวงปู่มั่นมายังดอยนะโม

พอออกพรรษาปี พ.ศ. 2477แคว่นมี (กำนันมี) จะขึ้นไปป่าเมี่ยงขุนปั๋ง หลวงปู่แหวนจึงมอบหมายให้ขึ้นไปกราบอาราธนานิมนต์หลวงปู่มั่น ที่ป่าเมี่ยงขุนปั๋ง ให้ลงมาที่ดอยนะโม บ้านทุ่งบวกข้าว เมื่อแคว่นมีไปถึงและกราบเรียนหลวงปู่มั่น ซึ่งท่านไม่ขัดข้อง เก็บบริขารเสร็จ แคว่นมีสะพายบาตรได้ออกเดินทางมาดอยนะโม พร้อมกัน (มูลนิธิหลวงปู่แหวน สุจิณฺโณ, มปพ.:74) ส่วนหลวงปู่เทสก์กับหลวงปู่อ่อนสี ยังคงพำนักอยู่ที่ป่าเมี่ยงขุนปั๋งต่อไป แต่สลับที่กัน คือ หลวงปู่เทสก์ลงมาอยู่บริเวณที่องค์หลวงปู่มั่นกับหลวงปู่อ่อนสีเคยจำพรรษาอยู่ ส่วนหลวงปู่อ่อนสีขึ้นไปอยู่บนภูเขาที่หลวงปู่เทสก์ เคยจำพรรษา (พระราชนิโรธรังสี คัมภีรปัญญาวิศิษฏ์, 2549:97)

 


พระธาตุเจดีย์ บนดอยนะโม อ.พร้าว จ.เชียงใหม่ (รูปโดย Admin)

 

เมตตาอบรมให้เห็นโทษความขัดแย้ง

....องค์หลวงปู่มั่น เดินทางมาถึงดอยนะโมแล้ว ต่างก็เข้าไปกราบนมัสการ ตอนนั้นยังไม่มีอะไรเกิดขึ้น ตกเย็นภายหลังจากทำข้อวัตรเสร็จแล้ว ต่างก็เข้าไปกราบนมัสการเพื่อฟังธรรมตามที่เคยปฏิบัติมา แต่ก็ไม่มีใครกล้ากราบเรียนให้ท่านทราบเกี่ยวกับความขัดแย้งกัน ต่างองค์ต่างก็รีรอสงวนท่าทีอยู่

การแสดงธรรมของท่านครั้งแรกก็ดูไม่มีอะไร พอท่านแสดงไปได้ครู่เดียวเท่านั้น เสียงการแสดงธรรมของท่านเริ่มหนักแน่นเอาจริงเอาจัง เต็มไปด้วยค้อนที่ท่านประเคนตอกย้ำลงไปที่หัวใจ

ท่านย้ำถึงหมู่คณะที่ขัดแย้งกันว่า รังแต่จะถึงกาลวิบัติ ไม่ยังหมู่คณะให้เจริญ ไม่ยังหมู่คณะให้มั่นคงถาวร ไม่ยังหมู่คณะให้ตั้งอยู่ได้นาน แสดงอานิสงส์ของความสามัคคี เพราะมีทิฏฐิสามัญญตาร่วมกัน จบลงด้วยการชี้จุดที่ทำให้เกิดความขัดแย้ง คือการถือเอาแต่ความเห็นของตัวเป็นใหญ่ ไม่เคารพความรู้ความเห็นของผู้อื่น

เป็นอันว่ากัณฑ์เทศน์ของท่าน ท่านตั้งภาษิตเอาไว้ตั้งแต่สามเดือนที่แล้วมา จึงมาอธิบายเอาตอนออกพรรษาแล้วนี่เอง เมื่อท่านแสดงธรรมจบลง ท่านก็พูดคุยธรรมดา ทำเป็นเหมือนไม่มีอะไร พูดคุยถามโน่นถามนี่ เมื่อต่างองค์ต่างก็หายจากการสลบ เพราะถูกตีด้วยธรรมาวุธแล้ว ก็เข้าไปกราบขอขมาโทษต่อท่าน รับสารภาพผิดกับท่าน ซึ่งท่านเองก็ไม่ได้แสดงอาการอะไรออกมาให้เห็นผิดสังเกต อุบายการแสดงธรรมก็ดี การวางตัวก็ดี การพูดจาปราศรัยก็ดี เป็นกุศโลบายเฉพาะองค์ท่าน ยากที่ศิษย์ทั้งหลายจะสังเกตติดตามได้ทัน จะหาผู้ปฏิบัติได้อย่างองค์ท่านนั้นยากแท้...(มูลนิธิหลวงปู่แหวน สุจิณฺโณ, มปพ.:74)

 


บ้านทุ่งบวกข้าว อ.พร้าว จ.เชียงใหม่ หมู่บ้านที่ตั้งของดอยนะโม (รูปโดย Admin)

องค์หลวงปู่มั่นจำพรรษาดอยนะโม พ.ศ. 2478

ต่อมาหลวงปู่มั่น ได้จำพรรษาที่ดอยนะโมในพรรษาปี พ.ศ. 2478 ซึ่งกล่าวไว้ในประวัติหลวงปู่ขาว  ช่วงเวลานี้ เป็นโอกาสที่ท่านได้จำพรรษากับองค์หลวงปู่มั่น ซึ่งคาดว่าน่าจะอยู่ในพรรษาและสถานที่นี้ อีกทั้งคาดว่าหลวงปู่แหวนกับพระอาจารย์พร ที่ได้ร่วมจำพรรษาในปีก่อนคือปี พ.ศ.2477 น่าจะได้ร่วมจำพรรษาต่อเนื่องด้วย อีกทั้งหลวงปู่อ่อนสีได้แยกจากหลวงปู่เทสก์ มาจำพรรษาเพื่อถวายอุปัฏฐากองค์หลวงปู่มั่นด้วย (พระราชนิโรธรังสี คัมภีรปัญญาวิศิษฏ์, 2549:67)

 

หลวงปู่ขาวได้จำพรรษาแรกกับองค์หลวงปู่มั่น

จากบันทึกประวัติหลวงปู่ขาว โดย หลวงตามหาบัว ได้บันทึกเกี่ยวกับหลวงปู่ขาวได้มีโอกาสจำพรรษากับองค์หลวงปู่มั่น เป็นพรรษาแรก ซึ่งองค์หลวงปู่มั่น ได้เมตตาติดตามการภาวนาขององค์หลวงปู่ขาว ทำให้เกิดความก้าวหน้าในการภาวนา และมหัศจรรย์ในความรู้ความเห็นขององค์หลวงปู่มั่น โดยมีรายละเอียดดังนี้


องค์หลวงปู่มั่น ภูริทตฺโต จำพรรษา ณ ดอยนะโม ในพรรษากาลปี พ.ศ.2478พร้อมด้วย พระอาจารย์พร สุมโน, หลวงปู่ขาว อนาลโย, หลวงปู่อ่อนสี สุเมโธ และหลวงปู่แหวน สุจิณฺโณ (รูปจาก ฐานข้อมูล Admin, หนังสือประวัติพระราชญาณมุนี, อนาลโย ผู้ไม่มีความอาลัยและโดย Admin)

...ท่านว่า ปีจำพรรษากับท่านอาจารย์มั่นปีแรกที่เชียงใหม่เกิดความปีติยินดีอย่างบอกไม่ถูก สมที่พยายามติดตามท่านมาหลายปี แม้จะได้ฟังโอวาทท่านบ้างในที่ต่างๆ ก็เพียงชั่วระยะ ไม่จุใจ เดี๋ยวก็ถูกท่านขับไสหนีไปอยู่คนละทิศละทาง

เมื่อสบโอกาสวาสนาช่วยได้จำพรรษากับท่านจริงๆ ในพรรษานั้นจึงดีใจมากและเร่งความเพียรใหญ่แทบไม่ได้หลับนอน บางคืนประกอบความเพียรตลอดรุ่ง

คืนวันหนึ่งจิตสงบรวมลงอย่างเต็มที่ไปพักใหญ่จึงถอนขึ้นมา เกิดความอัศจรรย์ในความสว่างไสวของใจซึ่งไม่เคยเป็นถึงขนาดนั้นมาก่อน ทำให้เพลิดเพลินในธรรมจนสว่างคาตาไม่ได้หลับนอนเลยในคืนวันนั้น


กุฏิจำลองสร้างในบริเวณเดิม ที่กล่าวกันว่าเคยเป็นที่ตั้งกุฏิองค์หลวงปู่มั่น ภูริทตฺโต ณ ดอยนะโม อ.พร้าว จ.เชียงใหม่ (รูปจาก Facebook Dui Duis)

พอตื่นเช้าได้เวลาเข้าไปทำข้อวัตรอุปัฏฐากท่านอาจารย์มั่นและขนบริขารท่านลงมาที่ฉัน พอท่านออกจากที่ภาวนา ตาท่านจับจ้องมองดูหลวงปู่ขาวจนผิดสังเกต ท่านเองรู้สึกกระดากอายและกลัวท่านว่าตนทำผิดอะไรไปหรืออย่างไร สักประเดี๋ยวท่านก็พูดออกมาว่า

"ท่านขาวนี้ภาวนาอย่างไร คืนนี้จิตจึงสว่างไสวมาก ผิดกับที่เคยเป็นมาทุกๆ คืนนับแต่มาอยู่กับผม ต้องอย่างนี้จึงสมกับผู้มาแสวงธรรม ทีนี้ท่านทราบหรือยังว่าธรรมอยู่ที่ไหน คืนนี้สว่างอยู่ที่ไหนล่ะท่านขาว"

"สว่างอยู่ที่ใจครับผม" ท่านเรียนตอบทั้งกลัวทั้งอายแทบตัวสั่นที่ไม่เคยได้รับคำชมเชยแกมคำซักถามเช่นนั้น

"แต่ก่อนธรรมไปอยู่ที่ไหนเล่าท่านจึงไม่เห็น นั่นแลธรรม ท่านจงทราบเสียแต่บัดนี้เป็นต้นไป ธรรมอยู่ที่ใจนั่นแล ต่อไปท่านจงรักษาระดับจิตระดับความเพียรไว้ให้ดี อย่าให้เสื่อมได้ นั่นแลคือฐานของจิต ฐานของธรรม ฐานของความเชื่อมั่นในธรรม และฐานแห่งมรรคผลนิพพานอยู่ที่นั่นแล จงมั่นใจและเข้มแข็งต่อความเพียร

ถ้าอยากพ้นทุกข์ การพ้นทุกข์ต้องพ้นที่นั่นแน่นอน ไม่มีที่อื่นเป็นที่หลุดพ้น อย่าลูบคลำให้เสียเวลา เรามิใช่คนตาบอดพอจะลูบคลำ คืนนี้ผมส่งกระแสจิตไปดูท่าน เห็นจิตสว่างไสวทั่วบริเวณ กำหนดจิตส่งกระแสไปทีไรเห็นเป็นอย่างนั้นอยู่ตลอดจนสว่างเพราะคืนนี้ผมมิได้พักนอนเลย เข้าสมาธิภาวนาไปบ้าง ต้อนรับแขกเทพบ้าง กำหนดจิตดูท่านบ้าง เรื่อยมาจนสว่างโดยไม่รู้สึก พอออกจากที่จึงต้องมาถามท่าน เพราะอยากทราบเรื่องของหมู่คณะมานาน สบายไหม อัศจรรย์ไหม"

ทีนี้ท่านถามท่านเล่าว่า ท่านนิ่ง ไม่กล้าเรียนตอบท่าน เพราะท่านดูตับดูปอดเราจนหมดแล้วจะเรียนตอบเพื่อประโยชน์อะไร นับแต่วันนั้นมายิ่งกลัวและระวังท่านมากขึ้นแม้แต่ก่อนก็เชื่อท่านว่ารู้จิตใจคนอย่างเต็มใจไม่มีทางสงสัยอยู่แล้ว ยิ่งมาโดนเข้าคืนนั้นก็ยิ่งเชื่อยิ่งกลัวท่านมากจนพูดไม่ถูก นับแต่วันนั้นเป็นต้นมาท่านตั้งหลักใจได้อย่างมั่นคงและเจริญยิ่งขึ้นโดยลำดับ ไม่มีเสื่อมถอยเลย


หลวงตามหาบัว ญานสมฺปนฺโน ได้สัมภาษณ์และบันทึกประวัติหลวงปู่ขาว อนาลโย (รูปจาก อนาลโย ผู้ไม่มีความอาลัย)

ท่านอาจารย์มั่นก็จี้ใจเราอยู่เสมอ เผลอตัวไม่ได้ได้เป็นโดนท่านดุทันทีและดุเร็วยิ่งกว่าแต่ก่อน การที่ท่านช่วยจี้ช่วยเตือนเรื่อยมานั้น ความจริงท่านช่วยรักษาจิตรักษาธรรมให้เรา กลัวจะเสื่อมไปเสีย

นับแต่นั้นมาก็ได้จำพรรษากับท่านเรื่อยมา พอออกพรรษาแล้วก็ออกเที่ยวบำเพ็ญในที่ต่างๆ ที่เห็นว่าสะดวกแก่ความเพียร ท่านอาจารย์เองก็ไปอีกทางหนึ่งโดยลำพัง ท่านไม่ชอบให้พระติดตาม ต่างองค์ต่างแยกกันไปตามอัธยาศัย

เมื่อเกิดข้อข้องใจค่อยไปเรียนถามเพื่อท่านชี้แจงแก้ไขให้เป็นพักๆ ไป ความเพียรทางใจของหลวงปู่ขาวนับวันเจริญก้าวหน้า สติปัญญาค่อยแตกแขนงออกไปโดยสม่ำเสมอจนกลมกลืนเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันกับใจ อิริยาบถต่างๆ เป็นอยู่ด้วยความเพียรมีสติกับปัญญาเป็นเพื่อนสอนในการประกอบความเพียร จิตใจรู้สึกอาจหาญชาญชัยไม่หวั่นเกรงต่ออารมณ์ที่เคยเป็นข้าศึกและแน่ใจต่อทางพ้นทุกข์ ไม่สงสัยแม้ยังไม่หลุดพ้น... (หลวงตามหาบัว ญาณสมฺปนฺโน)

ถ้ำดอกคำ ปัจจุบันอยู่ภายใน วัดถ้ำดอกคำ อ.พร้าว จ.เชียงใหม่ ตามประวัติองค์หลวงปู่มั่น โดย หลวงตามหาบัว ได้กล่าวว่าเป็นสถานที่วิเวกเพียงรูปเดียวขององค์หลวงปู่มั่น ภูริทตฺโต ในช่วงฤดูแล้ง อีกทั้งยังมีเหล่าเทพเทวา โดยมี ท้าวสักกเทวราชเป็นประธาน มาฟังธรรมจากท่านเป็นอันมาก เช่นเดียวกับที่ดอยนะโม (รูปโดย Admin)

ท้าวสักกเทวราชบนสวรรค์มาเยี่ยมท่านเสมอ

          จากบันทึกประวัติองค์หลวงปู่มั่น โดย หลวงตามหาบัว ได้กล่าวถึง การจำพรรษาที่ดอยนะโม (ในฉบับนี้กล่าวชื่อว่า ดอยน้ำเมา) จะมีหมู่เทวดา โดยการนำของท้าวสักกเทวราชมาฟังธรรมจากองค์หลวงปู่มั่น มากเป็นพิเศษ เช่นเดียวกับที่ถ้ำดอกคำ อ.พร้าว จ.เชียงใหม่ ที่ท่านออกไปวิเวกเพียงรูปเดียวในหน้าแล้ง ซึ่งคาดว่าจะอยู่ในช่วงออกพรรษาผ่านไปแล้ว

          นอกจากนั้น ยังแสดงให้ถึงความเคารพต่อสถานที่ของครูบาอาจารย์ แม้แต่ทางเดินจงกรม เหล่าเทวดาก็จะไม่ข้ามทางจงกรมเข้ามา ถือเป็นประเพณีของลูกศิษย์พระกรรมฐาน ที่จะไม่ข้ามทางจงกรมของครูบาอาจารย์เช่นกัน โดยมีรายละเอียด ดังนี้

... ท่านพักจำพรรษาอยู่บ้านน้ำมัว อำเภอแม่ปั๋ง เชียงใหม่ ท่านว่าท่านต้อนรับแขกจำพวกกายทิพย์บนสวรรค์ มีท้าวสักกเทวราชเป็นหัวหน้ามากเป็นพิเศษ แม้หน้าแล้งท่านหลีกออกไปเที่ยววิเวกองค์เดียวอยู่ในถ้ำดอกคำ ก็มีท้าวสักกเทวราชพาพวกเทวดามาเยี่ยมท่าน ซึ่งมาแต่ละครั้งเป็นหมื่นเป็นแสนและมาบ่อยที่สุด ถ้าพวกที่ไม่เคยมา ท้าวสักกเทวราชต้องเตือนให้เขาเข้าใจวิธีฟังธรรมก่อนที่ท่านจะแสดงให้ฟัง โดยมากท่านแสดงเมตตาอัปปมัญญาพรหมวิหารให้เขาฟัง เพราะพวกเทวดาชอบธรรมนี้มากเป็นพิเศษ ท่านพักอยู่ทั้งสองแห่งนี้ ท้าวสักกเทวราชมาเยี่ยมฟังธรรมเสมอ การต้อนรับพวกเทพทุกชั้นทุกภูมิก็ปรากฏว่ามากเป็นพิเศษกว่าที่อื่น ๆ เพราะที่นี่อยู่ลึกและสงัดมากบรรยากาศก็อำนวย

พวกนี้เคารพท่านและสถานที่ที่ท่านพักอยู่มาก แม้ทางจงกรมที่ญาติโยมเอาทรายมาเกลี่ยไว้สำหรับให้ท่านเดินจงกรมก็ไม่กล้าผ่านเข้ามา ต้องเว้นไปเข้าทางอื่น พวกพญานาคก็เช่นกัน เวลาเขาเข้ามาเยี่ยมฟังธรรมท่านก็ไม่อาจเดินข้ามทางจงกรมเข้ามา ถ้าหัวหน้าจำเป็นต้องเดินผ่านเข้ามาเป็นบางครั้ง ต้องเว้นไปทางหัวจงกรมเดินอ้อมเข้ามา บางครั้งพญานาคใช้ให้บริวารมากราบนิมนต์ท่านในกิจบางอย่าง เช่นเดียวกับมนุษย์เรามานิมนต์พระไปในงาน ก็ไม่กล้าเดินข้ามทางจงกรมเข้ามา ถ้ามีทรายโรยไว้ก็เอามือกวาดทรายออกเสียก่อนแล้วค่อยคลานเข้ามา พอพ้นจากนั้นแล้วค่อยลุกขึ้นเดินเข้ามาหาท่าน กิริยามรรยาททุกอาการอยู่ในความสำรวมดีมาก ... (หลวงตามหาบัว ญาณสมฺปนฺโน)

 


คาดว่า องค์หลวงปู่มั่น ได้นิมิตเรื่องช้างสามเชือก ที่ดอยนะโม (รูปโดย Admin)

 

นิมิตถึงช้างสามเชือก

          จากประวัติหลวปู่เจี๊ยะ จุนฺโท พระผู้เป็นดั่งผ้าขี้ริ้วห่อทอง ได้บันทึกไว้ว่า เมื่อเวลาหลวงปู่เจี๊ยะได้ถวายอุปัฏฐากองค์หลวงปู่มั่น องค์ท่านจะเล่านิมิตที่ปรากฏให้หลวงปู่เจี๊ยะฟัง มีนิมิตหนึ่งคาดว่าเกิดขึ้นที่ดอยนะโม ซึ่งบันทึกระบุว่า ดอยคำ บ้านน้ำเมา อ.แม่ปั๋ง จ.เชียงใหม่ เกี่ยวกับเลี้ยงช้าง 3 ตัว โดยช้างเชือกหนึ่งเป็นช้างที่เป็นพาหนะขององค์หลวงปู่มั่น อีกสองเชือกนั้นเป็นช้างที่พระหนุ่มได้ใช้เป็นพาหนะเดินตามองค์ท่านไป ซึ่งองค์หลวงปู่มั่น บอกความหมายไว้ว่า “จะมีพระหนุ่ม รู้ธรรมตามท่านสององค์ในระยะที่มรณภาพ ไม่ก่อนหรือหลังท่าน (หลวงปู่มั่น) นานนัก”

          รายละเอียดเกี่ยวกับนิมิตเรื่องช้างสามเชือกนี้ ปรากฏในประวัติองค์หลวงปู่มั่น โดยหลวงตามหาบัว บันทึกไว้ ดังนี้

          ... มีเรื่องแปลกประหลาดอีกเรื่องหนึ่ง ท่านเล่าว่าแปลกใจมาก คืนหนึ่งที่มีเหตุการณ์โดยทางนิมิตภาวนาเกิดขึ้น เวลานั้นท่านพักอยู่ในภูเขาลึกแห่งหนึ่ง ห่างจากหมู่บ้านมากที่จังหวัดเชียงใหม่ เป็นเหตุการณ์ที่ทั้งน่าหวาดเสียวและน่ายินดีพอ ๆ กัน คืนนั้นดึกมากราว ๓ นาฬิกา อันเป็นเวลาธาตุขันธ์ละเอียด ท่านตื่นจากจำวัด นั่งพิจารณาไปเล็กน้อย ปรากฏว่าจิตใจมีความประสงค์จะพักสงบมากกว่าจะพิจารณาธรรมทั้งหลายต่อไป ท่านเลยปล่อยให้จิตพักสงบ พอเริ่มปล่อยจิตก็เริ่มหยั่งลงสู่ความสงบอย่างละเอียดเต็มภูมิสมาธิ และพักอยู่นานประมาณ ๒ ชั่วโมง หลังจากนั้นก็ค่อย ๆ ถอยออกมา แต่แทนที่จิตจะถอนออกมาสู่ปกติจิต เพราะมีกำลังจากการพักผ่อนทางสมาธิพอสมควรแล้ว แต่กลับถอยออกมาเพียงขั้นอุปจารสมาธิ แล้วออกรู้เหตุการณ์ต่อเนื่องไปในเวลานั้นเลยทีเดียว

คือขณะนั้นปรากฏว่ามีช้างเชือกหนึ่งใหญ่มากเดินเข้ามาหาท่าน แล้วทรุดตัวหมอบลงแสดงเป็นอาการจะให้ท่านขึ้นบนหลัง ท่านก็ปีนขึ้นบนหลังช้างเชือกนั้นทันที พอท่านขึ้นนั่งบนคอช้างเรียบร้อยแล้ว ขณะนั้นปรากฏว่ามีพระวัยหนุ่มอีกสององค์ ขี่ช้างองค์ละเชือกเดินตามมาข้างหลังท่าน ช้างทั้งสองเชือกนั้นใหญ่พอ ๆ กัน แต่เล็กกว่าช้างตัวที่ท่านกำลังขี่อยู่เล็กน้อย ช้างทั้งสามเชือกนั้นมีความองอาจสง่าผ่าเผยและสวยงามมากพอ ๆ กัน คล้ายกับเป็นช้างทรงของกษัตริย์ มีความฉลาดรอบรู้ความประสงค์และอุบายต่าง ๆ ที่เจ้าของบอกแนะดีเช่นเดียวกับมนุษย์ พอช้างสองเชือกของพระหนุ่มเดินมาถึง ท่านก็พาออกเดินทางมุ่งหน้าไปทางภูเขาที่มองเห็นขวางหน้าอยู่ไม่ห่างจากที่นั้นนัก ประมาณ ๑ กิโลเมตร ช้างท่านเป็นผู้พาเดินหน้าไปอย่างสง่าผ่าเผย

ในความรู้สึกส่วนลึก ท่านว่าราวกับจะพาพระหนุ่มสององค์นั้นออกจากโลกสมมุติทั้งสามภพ ไม่มีวันกลับมาสู่โลกใด ๆ อีกต่อไปเลย พอไปถึงภูเขาแล้ว ช้างพาท่านและพระหนุ่มสององค์เดินเข้าไปที่หน้าถ้ำแห่งหนึ่งซึ่งไม่สูงนัก เพียงเป็นเนินเชื่อมกันขึ้นไปหาถ้ำเท่านั้น  เมื่อช้างใหญ่ทั้งสามเชือกเข้าไปถึงถ้ำแล้ว ช้างเชือกที่ท่านอาจารย์ขี่อยู่หันก้นเข้าไปในหน้าถ้ำ หันหน้าออกมา แล้วถอยก้นเข้าไปจรดผนังถ้ำ ส่วนช้างสองเชือกของพระหนุ่มสององค์ต่างเดินเข้าไปยืนเคียงข้างช้างท่านข้างละเชือกอย่างใกล้ชิด หันหน้าเข้าไปในถ้ำ ส่วนช้างท่านอาจารย์ยืนหันหน้าออกมาหน้าถ้ำ

ขณะนั้นปรากฏว่า ท่านอาจารย์เองได้พูดสั่งเสียพระว่า นี้เป็นวาระสุดท้ายแห่งขันธ์และภพชาติของผมจะขาดความสืบต่อกับสมมุติทั้งหลายและจะยุติลงเพียงแค่นี้ จะไม่ได้กลับมาสู่โลกเกิดตายนี้อีกแล้ว นิมนต์ท่านทั้งสองจงกลับไปบำเพ็ญประโยชน์ตนให้สมบูรณ์เต็มภูมิก่อน อีกไม่นานท่านทั้งสองก็จะตามผมมา และไปในลักษณะเดียวกับที่ผมจะเตรียมไปอยู่ขณะนี้ การที่สัตว์โลกจะหนีจากโลกที่แสนอาลัยอ้อยอิ่งแต่เต็มไปด้วยความระบมงมทุกข์นี้ไปได้แต่ละรายนั้น มิใช่เป็นของไปได้อย่างง่ายดายเหมือนเขาไปเที่ยวงานกัน แต่ต้องเป็นสิ่งฝืนใจมากที่ผู้นั้นจะต้องทุ่มเทกำลังทุกด้านลงเพื่อต่อสู้กู้ความดีทั้งหลาย ราวกับจะไม่มีชีวิตยังเหลืออยู่ในร่างต่อไปนั่นแล จึงจะเป็นทางพ้นภัยไร้กังวล ไม่ต้องกลับมาเกิดตายเสียดายป่าช้าอีกต่อไป

การจากไปของผมคราวนี้มิได้เป็นการจากไปเพื่อความล่มจมงมทุกข์ใด ๆ แต่เป็นการจากไปเพื่อหายทุกข์กังวลในขันธ์ จากไปด้วยความหมดเยื่อใยในสิ่งที่เคยอาลัยอาวรณ์ทั้งหลาย และจากไปอย่างหมดห่วง เหมือนนักโทษออกจากเรือนจำฉะนั้น ไม่มีความหึงหวงและน้อยเนื้อต่ำใจ เพราะความพรากไปแห่งขันธ์ที่โลกถือเป็นเรื่องกองทุกข์อันใหญ่หลวง และไม่มีสัตว์ตัวใดปรารถนาตายกันเลย ฉะนั้นจึงไม่ควรเสียใจอาลัยถึงผมอันเป็นเรื่องสั่งสมกิเลสและกองทุกข์ไม่มีชิ้นดีเลย นักปราชญ์ไม่สรรเสริญ

พอท่านแสดงธรรมแก่พระหนุ่มสององค์จบลง ก็บอกให้ถอยช้างสองเชือกออกไป ซึ่งยืนแนบสองข้างท่านด้วยอาการสงบนิ่งราวกับไม่มีลมหายใจ และอาลัยคำสั่งเสียท่านที่ให้โอวาทแก่พระหนุ่มสององค์ ขณะนั้นช้างทั้งสามเชือกแสดงความรู้สึกเหมือนสัตว์มีชีวิตจริง ๆ ราวกับมิใช่นิมิตภาวนา พอสั่งเสียเสร็จแล้ว ช้างสองเชือกของพระหนุ่มก็ค่อย ๆ ถอยออกมาหน้าถ้ำหันหลังกลับออกไป แล้วหันหน้ากลับคืนมายังท่านอาจารย์ตามเดิมด้วยท่าทางอันสงบอย่างยิ่ง ส่วนช้างท่านก็เริ่มทำหน้าที่หมุนก้นเข้าไปในผนังถ้ำโดยลำดับ เฉพาะองค์ท่านนั่งอยู่บนคอช้างนั่นเอง ทั้งขณะให้โอวาททั้งขณะช้างหมุนตัวเข้าในผนังถ้ำ พอช้างหมุนก้นเข้าไปได้ค่อนตัว จิตท่านเริ่มรู้สึกตัวถอนจากสมาธิขึ้นมา เรื่องเลยยุติลงเพียงนั้น

เรื่องนั้นจึงเป็นสาเหตุให้ท่านพิจารณาความหมายต่อไป เพราะเป็นนิมิตที่แปลกประหลาดมากไม่เคยปรากฏในชีวิต ได้ความขึ้นเป็นสองนัย

นัยหนึ่งตอนท่านมรณภาพจะมีพระหนุ่มสององค์รู้ธรรมตามท่าน แต่ท่านมิได้ระบุว่าเป็นใครบ้าง

อีกนัยหนึ่งสมถะกับวิปัสสนา เป็นธรรมมีอุปการะแก่พระขีณาสพแต่ต้นจนวาระสุดท้ายแห่งขันธ์ ต้องอาศัยสมถวิปัสสนาเป็นวิหารธรรมเครื่องบรรเทาทุกข์ระหว่างขันธ์กับจิตที่อาศัยกันอยู่ จนกว่าระหว่างสมมุติคือขันธ์กับวิมุตติคือวิสุทธิจิตจะเลิกราจากกัน ที่โลกเรียกว่าตายนั่นแล สมถะกับวิปัสสนาจึงจะยุติในการทำหน้าที่ลงได้ และหายไปพร้อม ๆ กับสมมุติทั้งหลาย ไม่มีอะไรจะมาสมมุติกันว่าเป็นอะไรต่อไปอีก

ท่านว่าน่าหวาดเสียวนั้น ท่านคิดตามความรู้สึกทั่ว ๆ ไป คือตอนช้างท่านกำลังหมุนก้นเข้าไปในผนังถ้ำ ทั้งที่ท่านนั่งอยู่บนคอช้าง แต่ท่านว่า ท่านมิได้มีความสะทกสะท้านหวั่นไหวเพราะเหตุการณ์ที่กำลังเป็นไปอยู่นั้นเลย ปล่อยให้ช้างทำหน้าที่ไปจนกว่าจะถึงที่สุดของเหตุการณ์ ที่น่ายินดีเช่นกันคือตอนที่นิมิตแสดงภาพพระหนุ่มและช้างให้ปรากฏขึ้นในขณะนั้น บอกความหมายว่า จะมีพระหนุ่มรู้ธรรมตามท่านสององค์ในระยะที่มรณภาพ ไม่ก่อนหรือหลังท่านนานนัก ท่านว่าแปลกอยู่อีกตอนหนึ่งก็คือ ตอนท่านสั่งเสียและอบรมสั่งสอนพระหนุ่มไม่ให้ตกใจ และมีความอาลัยถึงท่าน ให้พากันกลับไปบำเพ็ญประโยชน์ส่วนตนให้เต็มภูมิก่อน และพูดถึงการจากไปของท่านเองราวกับจะไปในขณะนั้นจริง ๆ นี้ท่านว่า นิมิตแสดงให้เห็นเป็นความแปลกในรูปเปรียบว่าเมื่อวาระนั้นมาถึงจริง ๆ พระหนุ่มสององค์จะรู้ธรรมในระยะนั้น แต่เป็นที่น่าเสียดายที่พระหนุ่มสององค์นั้นคือใครบ้าง เวลาเรียนถามท่านท่านไม่บอก

เวลานั้นผู้เขียนมีอาการบ้ากำลังกำเริบอยากรู้ชื่อพระหนุ่มสององค์นั้น จนลืมอยากรู้ความบกพร่องของตนเสียหมด เลยวาดภาพหลอกตัวเองอยู่ร่ำไปว่าจะเป็นองค์ไหนกันแน่ องค์ไหนกันแน่ อยู่ทำนองนั้น และได้พยายามใช้ความสังเกตเรื่อยมาแต่ท่านมรณภาพทีแรกจนถึงวันเขียนประวัติท่าน ก็ยังไม่มีวี่แววมาจากทางไหนว่า องค์นั้นเป็นผู้มีโชคมหัศจรรย์ตามนิมิตภาวนาที่ท่านเมตตาบอกเล่า คิดไปมากเท่าไรก็ยิ่งเห็นความบ้าของตนหนักเข้าที่ตะครุบเงานอกจากตัวไปว่า ใครจะมาประกาศขายตัวว่าตนเป็นผู้บรรลุธรรมนั้น เพราะมิใช่ปลาเน่าที่จะประกาศขายให้แมลงวันตอมเล่นไม่มีประโยชน์ เนื่องจากท่านผู้จะบรรลุธรรมขั้นนั้น ต้องเป็นผู้มีความฉลาดอย่างพอตัว และควรแก่ธรรมขั้นนั้นอย่างเต็มภูมิจึงจะบรรลุได้ แล้วใครจะยอมโง่มาประกาศขายตัวให้นักปราชญ์สมเพชเวทนา ให้คนพาลหัวเราะเยาะ ให้คนหูเบาเชื่อง่ายไม่มีเหตุผลรับเชื่อและตื่นข่าวไปตาม ๆ กัน เหมือนกระต่ายตื่นตูมว่าฟ้าถล่มฉะนั้น เรื่องบ้าเลยขอบเขตก็ค่อยสงบลง

จึงได้เขียนเรื่องนี้ลงไว้เพื่อท่านผู้อ่านทั้งหลายได้พิจารณาต่อไป ผิดถูกประการใดกรุณาตำหนิผู้เขียนซึ่งมีนิสัยไม่รอบคอบมาดั้งเดิม เพราะเรื่องทำนองนี้ถือเป็นการภายในระหว่างอาจารย์กับศิษย์ควรพูดต่อกันโดยเฉพาะ ไม่เป็นภัยต่อฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง แต่ผู้เขียนประวัติท่านเป็นคนมีนิสัยที่ควรตำหนิอยู่มาก ถ้าไม่สงสารและให้อภัยดังที่เรียนขอแล้วขอเล่าตลอดมา จึงหวังได้รับความเมตตาเป็นอย่างดีตามเคย... (หลวงตามหาบัว ญาณสมฺปนฺโน)

 

ออกพรรษาแล้วไปดอยมูเซอร์

ออกพรรษาแล้ว หลวงปู่เทสก์ที่จำพรรษาอยู่บ้านมูเซอ (ปู่พญา) เพียงรูปเดียว ได้เดินทางลงมานมัสการองค์หลวงปู่มั่น ที่ดอยนะโม หลวงปู่เทสก์ ได้กราบเรียนถึงความศรัทธาของชาวมูเซอที่ท่านเองได้เริ่มต้นสั่งสอนชาวบ้าน

องค์หลวงปู่มั่น ได้รับทราบแล้วก็ชอบใจ เมตตาชวนหลวงปู่เทสก์ กับหลวงปู่อ่อนสี ขึ้นไปยังบ้านมูเซอ โดยเดินทางจากดอยนะโม จากอัตตโนประวัติหลวงปู่เทสก์ ได้กล่าวไว้ ดังนี้

...ออกพรรษาแล้ว หัวหน้าเขาคนเดียวได้นำผ้าขาวหนึ่งพับมาทอดผ้าป่าเรา แล้วเราได้ลาชาวมูเซอ เพื่อกลับลงไปเยี่ยมนมัสการท่านอาจารย์มั่น ที่บ้านทุ่งมะข้าว ตำบลแม่ปั๋ง เขาพากันอาลัยเรามากพากันร้องไห้ ขอให้เรากลับมาอีก เราไม่แน่ใจได้บอกกับเขาไปว่าให้ไปหาอาจารย์ดูก่อน บางทีอาจได้กลับมาอีก

เมื่อเราไปถึงท่านอาจารย์มั่นแล้ว ได้เล่าพฤติการณ์ต่างๆ ถวายท่านทุกประการ ท่านชอบใจชวนเรากลับไปอีก การกลับไปครั้งนี้เป็นสามองค์ คือท่านอาจารย์ เรา ท่านอ่อนสี เมื่อจะขึ้นไปจริง ท่านอ่อนสีไม่สบายให้รออยู่ข้างล่างก่อน...(พระราชนิโรธรังสี คัมภีรปัญญาวิศิษฏ์, 2549:70)

 

ดอยนะโมในปัจจุบัน

          จากบทความ วัดพระธาตุดอยนะโม โดย ส.กวีวัฒน์ ที่กล่าวถึงดอยนะโม ปัจจุบันเป็นที่ตั้งของ พระธาตุดอยนะโม (น้ำมัว) โดยมีรายละเอียด ดังนี้


ดอยนะโม ปัจจุบันเป็นที่พักสงฆ์ดอยนะโม (รูปโดย Admin)

... พระธาตุดอยนะโม (น้ำมัว) ตั้งอยู่บนเนินดอยสูงด้านทิศใต้ของหมู่บ้านทุ่งบวกข้าว หมู่ที่ 6 ตำบลแม่ปั๋ง อ.พร้าว จ.เชียงใหม่ มีลำธารไหลผ่านเชิงดอยด้านทิศตะวันตก ซึ่งเป็นลำธารที่หลวงปู่มั่น ภูริทตฺโต ได้อาศัยอาบสรงและทำบ่อน้ำดื่มไว้ริมลำธาร แต่ต้องเดินขึ้นลงดอยลาดชันในแต่ละครั้ง ไม่ต่ำกว่า 200 เมตร ปัจจุบันผู้มีศรัทธาชาวบ้านทุ่งบวกข้าว ได้สละเงินทองสร้างบันไดเหล็กไว้จำนวน 158 ขั้น ความกว้าง 1 เมตร มีราวเหล็กสองข้างพร้อมให้เดินขึ้นลงได้โดยสะดวก กึ่งกลางทางลงไปบ่อน้ำ ด้านขวามือมีกุฏิหลวงปู่มั่นเคยอยู่จำพรรษา ... (สร้างขึ้นแทนหลังเก่า) ชาวบ้านยังรักษาบ่อน้ำและจุดที่สร้างกุฏิพำนักของหลวงปู่มั่นไว้ให้เห็น...


บ่อน้ำที่กล่าวกันว่า องค์หลวงปู่มั่น ภูริทตฺโต เคยตักใช้ ณ ดอยนะโม อ.พร้าว จ.เชียงใหม่ (รูปจาก
Facebook Dui Duis)

...บนเนินดอยที่ตั้งพระธาตุดอยนะโมนั้น เป็นลานลาดเอียงสูงด้านทิศตะวันตก ลาดลงสู่ทิศตะวันออกเฉียงใต้ ลักษณะคล้ายหลังเต่าทั่วลานวัด 14 ไร่ และบริเวณป่าเขาล้อมรอบเขตวัด มีป่าไม้สักทองทั้งที่เกิดเองและปลูกเสริมภายหลังจำนวนมาก ล้วนแล้วแต่ต้นสูงๆ ใหญ่ๆ ตรงๆ งามๆ ทั้งนั้น ให้ร่มเงาได้หมดแล้ว และได้รับการดูแลรักษาเป็นอย่างดี

ที่สำคัญต่ำลงมาจากเขตวัด เป็นป่าไม้เบญจพรรณและป่าไผ่ มีแนวคูขุดรอบดอยนะโมไว้ด้วย คูนี้มีมานานแล้ว ปัจจุบันยังปรากฏให้เห็นเด่นชัด คล้ายเป็นแนวคูหรือฉนวนล้อมรอบดอยนะโมไว้ เพื่อป้องกันไฟป่าในหน้าแล้ง เพราะวัดพระธาตุดอยนะโมนั้น บางช่วงก็จะกลายเป็นวัดร้าง ร้างเพราะไม่มีพระสงฆ์อยู่อาศัย เช่น เมื่อผ่านยุคหลวงปู่มั่นและคณะศิษย์มาพำนักและเผยแผ่ธรรมแล้ว ก็กลายเป็นวัดร้างอารามโทรมไประยะหนึ่ง

จนพระอาจารย์ทอง สิริมงฺคโล ขณะเป็นเจ้าอาวาสวัดร่ำเปิง เมืองเชียงใหม่ (ปัจจุบัน พระเดชพระคุณพระพรหมมงคล วิ. เจ้าอาวาสวัดพระธาตุศรีจอมทอง อ.จอมทอง จ.เชียงใหม่) ได้ไปทำการฟื้นฟูพัฒนาขึ้นมาใหม่ จนเป็นวัดที่มีพระสงฆ์อยู่บำเพ็ญศาสนกิจ บูรณะรักษาศาสนสถาน และสร้างเสริมเสนาสนะอยู่ประจำดังที่เห็น... (ส.กวีวัฒน์2562:84-87)

 

อ้างอิง
พระราชธรรมเจติยาจารย์ (วิริยังค์ สิรินฺธโร), ประวัติพระอาจารย์มั่น ภูริทัตตเถระ (ฉบับสมบูรณ์), สถาบันพลังจิตตานุภาพ : กรุงเทพฯ, 2541.
พระราชนิโรธรังสี คัมภีรปัญญาวิศิษฏ์ (เทสก์ เทสรังสี), อัตตโนประวัติพระราชนิโรธรังสี คัมภีรปัญญาวิศิษฏ์ (เทสก์ เทสรังสี), คณะศิษยานุศิษย์วัดป่าเชิงเลน : กรุงเทพฯ, 2549.
มูลนิธิหลวงปู่แหวน สุจิณฺโณ, อนุสรณ์หลวงปู่แหวน สุจิณฺโณ, โรงพิมพ์มูลนิธินวมราชานุสรณ์ : นครนายก, มปพ.
ประวัติหลวงปู่ขาว อนาลโย โดย หลวงตามหาบัว ญานสมฺปนฺโน จากหนังสือ อนาลโย ผู้ไม่มีความอาลัย, 2559.
บทความ "วัดพระธาตุดอยนะโม" โดย ส.กวีวัฒน์ จากหนังสือ จารึกไว้ในล้านนา พ.ศ.2563.
Admin แฟนพันธุ์แท้ศิษย์หลวงปู่มั่น และ www.luangpumun.orgบทความ ป่าเมี่ยงในประวัติหลวงปู่มั่น
พ.ศ.2565
https://www.facebook.com/100039176607158/posts/pfbid026o6sw9Tuar95XFsZBA5DobFPYavePp9Ezk9kkGPMD4bfooiZpmi2ApQMRWxov3Fvl/?mibextid=Nif5oz

< ตอนก่อนหน้า : ตอนต่อไป >