ป่าเมี่ยงขุนปั๋ง นับหนึ่งหลวงปู่เทสก์
ป่าเมี่ยงขุนปั๋ง อ.พร้าว จ.เชียงใหม่ พ.ศ. 2477
ตามรอยองค์หลวงปู่มั่น ภูริทตฺโต ตอนที่ 37
หลวงปู่มั่น ภูริทตฺโต
(รูปจากวัดป่าสุทธาวาส สกลนคร)
ภายหลังออกพรรษาปี พ.ศ.2476 ผ่านไปแล้ว องค์หลวงปู่มั่น กับพระอาจารย์พร ได้เดินทางจาก ป่าเมี่ยงห้วยทราย อ.เวียงป่าเป้า จ.เชียงราย มายัง ป่าเมี่ยงขุนปั๋ง ซึ่งมีองค์หลวงปู่แหวน กับหลวงปู่ขาว จำพรรษาอยู่ก่อนแล้ว ต่อมา มีองค์หลวงปู่เทสก์ ที่ติดขัดการภาวนา ต้องการข้อชี้แนะ เดินทางมาพร้อมกับหลวงปู่อ่อนสี มาสมทบ ซึ่งเกรงว่าหากพำนักกันหลายองค์ จะเป็นภาระกับชาวบ้าน หลวงปู่ขาว หลวงปู่แหวน กับพระอาจารย์พร จึงแยกไปที่ดอยนะโม
ในพรรษากาลปี พ.ศ.2477 ป่าเมี่ยงขุนปั๋ง จึงมีองค์หลวงปู่มั่น หลวงปู่เทสก์ หลวงปู่อ่อนสี จำพรรษาร่วมกัน ซึ่งองค์หลวงปู่เทสก์ตั้งใจเริ่มภาวนาใหม่ ตามคำแนะนำขององค์หลวงปู่มั่นในพรรษานี้ ออกพรรษาแล้วองค์หลวงปู่มั่น ได้ไปยังดอยนะโม
ความเข้าใจเรื่องชื่อ ป่าเมี่ยงขุนปั๋ง
ป่าเมี่ยงขุนปั๋ง ในบางบันทึกมีการเรียกชื่อว่า ป่าเมี่ยงแม่ปั๋ง จากหัวข้อ หลวงปู่มั่นจำพรรษาที่ขุนปั๋ง ใน บันทึกไว้ในลานนา โดย ส.กวีวัฒน์ ได้ระบุว่า ...ป่าเมี่ยงปั๋งไม่มี ที่ถูกเป็นเมี่ยงขุนปั๋ง...” (ส.กวีวัฒน์, 2563:94) สอดคล้องกับบทความ ป่าเมี่ยงในประวัติหลวงปู่มั่น โดย Admin แฟนพันธุ์แท้ศิษย์หลวงปู่มั่น www.luangpumun.org ที่ได้ลงพื้นที่เมื่อปี พ.ศ. 2556
ป่าเมี่ยงขุนปั๋ง หมู่ที่ 7 ต.แม่ปั๋ง อ.พร้าว จ.เชียงใหม่ อยู่ห่างบ้านแม่ปั๋งลึกเข้าไปในป่าสูงทางทิศตะวันออก 14 กิโลเมตร ผู้คนเป็นชนชาติไทย ที่เรียกตนเองว่าคนเมือง ชื่อบ้านเรียกชื่อตามขุนต้นน้ำแม่ปั๋ง ที่กำเนิดจากเทือกเขาดอยนางแก้ว เทือกเขาสูงแบ่งเขตเชียงใหม่-เชียงรายออกจากกัน ต้นน้ำแม่ปั๋งอยู่ห่างบ้านขุนปั๋งไปทางเหนือราว 6 กิโลเมตร เป็นแหล่งต้นน้ำลำธารที่สำคัญ เพราะสภาพป่าธรรมชาติยังอุดมสมบูรณ์ดีอยู่ จึงมีสายธารลึกใสไหลเอื่อยอยู่ตลอดทั้งปี ผ่านหน้าวัดดอยแม่ปั๋ง กับหมู่บ้านแม่ปั๋ง ลงสู่น้ำแม่น้ำงัด น้ำแม่งัดเป็นแม่น้ำสาขาของแม่น้ำปิง (ส.กวีวัฒน์)
ก่อนองค์หลวงปู่มั่นมาจำพรรษาป่าเมี่ยงขุนปั๋ง
ในพรรษากาลปี พ.ศ.2476 หลวงปู่มั่นจำพรรษาที่ป่าเมี่ยงห้วยทราย (พระราชธรรมเจติยาจารย์, 2541:248) โดยคาดคะเนว่า องค์ท่านน่าจะจำพรรษากับ พระอาจารย์สาร สุจิตฺโต และพระอาจารย์พร สุมโน
ในส่วนของ หลวงปู่แหวน กับ หลวงปู่ขาว นั้นความปรารถนาเดิมตั้งใจจะจำพรรษาอยู่กับองค์หลวงปู่มั่น แต่องค์หลวงปู่มั่นได้ปรารภว่า บ้านป่าเมี่ยงห้วยทราย เป็นหมู่บ้านขนาดเล็ก หากมีพระจำพรรษาหลายองค์ จะเป็นภาระกับชาวบ้านในการดูแลใส่บาตร หลวงปู่แหวน กับ หลวงปู่ขาว จึงได้เดินทางจำพรรษาที่ ป่าเมี่ยงขุนปั๋ง อำเภอพร้าว จังหวัดเชียงใหม่ เพราะเห็นเป็นสถานที่วิเวก อีกทั้งสามารถเดินทางลัดเลาะมาฟังธรรมองค์หลวงปู่มั่น โดยใช้เวลาประมาณ 4-5 ชั่วโมง ในพรรษานี้ ท่านทั้งสองต่างเร่งความเพียรอย่างเต็มที่ (มูลนิธิหลวงปู่แหวน สุจิณฺโณ, มปพ.:70-71)
พอออกพรรษาแล้ว หลวงปู่มั่น พร้อมด้วยหลวงปู่พร สุมโน ได้เดินทางมาสมทบที่ “ป่าเมี่ยงขุนปั๋ง” ซึ่งต่อมาหลวงปู่เทสก์ และหลวงปู่อ่อนสี ได้ตามขึ้นไปอีกเช่นกัน (มูลนิธิหลวงปู่แหวน สุจิณฺโณ, มปพ. 73) สำหรับพระอาจารย์สารนั้น น่าจะแยกไปพำนักที่ ถ้ำดอกคำ อ.พร้าว จ.เชียงใหม่
ต่อจากนั้น องค์หลวงปู่มั่น ในพรรษากาลปี พ.ศ.2477 องค์ท่านได้จำพรรษาที่ป่าเมี่ยงขุนปั๋ง พร้อมด้วย หลวงปู่เทสก์ และหลวงปู่อ่อนสี ในส่วนของ หลวงปู่ขาว หลวงปู่แหวน หลวงปู่พร ได้แยกไปจำพรรษายัง ดอยนะโม
ภูมิทำเลเหมาะแห่งการบำเพ็ญเพียร
การเข้ามายังพื้นที่ อ.พร้าว ขององค์หลวงปู่มั่นในครั้งนี้ ปรากฏว่าองค์ท่านได้จำพรรษาต่อเนื่องในเขตอำเภอพร้าวและพื้นที่ใกล้เคียง เขตรอยต่อกับ จ.เชียงราย ในช่วง 8 ปีสุดท้ายในภาคเหนือ (พ.ศ.2476-2473) เฉพาะพื้นที่ที่ตั้งอยู่ใน อ.พร้าว ในปัจจุบัน ได้แก่ ป่าเมี่ยงขุนปั๋ง ดอยนะโม และบ้านแม่กอย จากบันทึกประวัติองค์หลวงปู่มั่น โดย หลวงพ่อวิริยังค์ ได้บรรยายถึงสภาพของ อ.พร้าว ซึ่งเป็นหนึ่งในรมณียสถานสำหรับการภาวนา ไว้ดังนี้
...สำหรับอำเภอพร้าวนี้มีภูมิทำเลเหมาะแก่การบำเพ็ญเพียรทางใจ และเป็นสถานที่แปลกประหลาดอยู่ เพราะมีภูเขาเรียงรายอยู่ทั่ว ๆ ไป ที่แปลกคือ ภูเขาวงล้อมเป็นเหมือนกำแพงเมือง มองดูแต่ไกลสูงตระหง่านง้ำตั้งอยู่เป็นระยะ ๆ แลตอนใดที่เขาไม่จรดถึงกันก็ปรากฏเป็นช่องเขาขาด ดูประดุจหนึ่งประตูของกำแพงเมือง บริเวณเหล่านี้เราจะเลือกเอาเป็นสถานที่สำหรับทำความเพียรได้สบายมาก เพราะบริเวณนี้แวดวงด้วยขุนเขาและป่าละเมาะโปร่งสบาย ทุ่งนาก็มีเป็นแห่ง ๆ สลับกับลำธารห้วยระแหงซึ่งมีอยู่โดยทั่ว ๆ ไป พร้อมกันนี้หมู่บ้านก็ตั้งเรียงรายอยู่กันเป็นหย่อม ๆ มากบ้างน้อยบ้าง พอได้อาศัยเป็นโคจรคามบิณฑบาตตามสมควร...(หลวงพ่อวิริยังค์ สิรินฺธโร)
Admin หลวงพ่อประสิทธิ์ ปุญฺญมากโร ท่านมีความชำนาญในสถานที่วิเวกในภาคเหนือ ได้มีโอกาสกราบเรียนถาม ถึงความชัดเจนของสถานที่ที่เกี่ยวกับ หลวงปู่เหรียญ วรลาโภ ซึ่งบางแห่งก็เกี่ยวเนื่องกับ องค์หลวงปู่มั่น ภูริทตฺโต ภายใต้บรรยากาศใต้แสงเทียนช่วงปลายปี พ.ศ. 2548 ณ กุฏิที่ปัจจุบัน คือ วัดป่าขันติอุดมธรรม อ.เวียงชัย จ.เชียงราย (บรรยากาศจริงตามในรูปนี้) และท่านยังได้บอกเล่าเรื่องราวเกี่ยวกับ อ.พร้าว โดย รศ.ดร.ปฐม-รศ.ภัทรา นิคมานนท์ ได้นำมาถ่ายทอดต่อ (รูปโดย Admin)
ยังมีเรื่องราวในเชิงภพชาติ ที่แต่ละสถานที่ที่ท่านไป จะมีมุขปาฐะเล่าสืบต่อกันมา ซึ่งหลวงพ่อประสิทธิ์ ปุญฺญมากโร ท่านได้ให้ข้อสังเกตตามที่ท่านทั้งได้ฟังสืบต่อจากครูบาอาจารย์มาและเป็นความรู้ความเห็นของท่าน โดยมี รศ.ดร.ปฐม-รศ.ภัทรา นิคมานนท์ ได้นมัสการถามและบันทึกไว้ “พระกรรมฐานสู่ล้านนา ตอน2” และได้ให้ข้อคิดเห็นเพิ่มเติมไว้ ดังนี้
“... อันนี้ก็เหมือนกันแหละ เรามาสืบในระยะที่ว่าไม่ต่อเนื่อง (หมายความว่า เวลาผ่านไปนานแล้ว) ครูบาอาจารย์ท่านก็ไม่กล้าจะพูดให้ได้ เพราะท่านไม่ได้รับรอง (คือไม่ได้รู้ได้เห็นด้วยตัวท่านเอง) เมื่อท่านพูดก็พูดเป็นแบบ "รู้อย่างเคร่าๆ" อย่างนั้นแหละ รู้ว่าท่าน (หลวงปู่มั่น) เคยอยู่เมืองพร้าวนี้นานที่สุดแถวเชียงใหม่
เพราะเมืองพร้าวนี้ เป็นที่ถูกกับการปฏิบัติของท่าน คงจะมีอะไรที่ท่านสะดวกเรื่องการบำเพ็ญ รวมทั้งการเมตตาสงเคราะห์ชาวดงชาวดอยที่อยู่ห่างไกลด้วยส่วนอำเภออื่นก็มีบ้าง แต่ท่าน (หลวงปู่มั่น) ไม่ได้กระจายไปทุกอำเภอ ก็คงจะพิจารณาในสถานที่แต่ละแห่งๆ ที่ท่านไป
และมาถึงทุกวันนี้ วัดวาอารามสายกรรมฐานก็เป็นรอยของท่าน (หลวงปู่มั่น) และครูบาอาจารย์รุ่นก่อนๆ ที่ท่านเดินไว้ ในเชียงใหม่ ”
พวกเราถามถึงอดีตชาติว่า หลวงปู่มั่น ท่านเคยมีความเกี่ยวพันอะไรกับแถวอำเภอพร้าว ?
หลวงพ่อประสิทธิ์ ท่านเล่าดังนี้ : -
“ ครูอาจารย์เคยเล่าในทำนองว่า เป็นเส้นทางที่ท่านเคยเกิดเคย เวียนว่ายมาแถวๆ นี้ เขตเวียงป่าเป้านี้เป็นถิ่นเดิมที่ทำนเคยภาวนา เคยบวช รู้สึกว่าวัดอาจารย์ของท่านเมื่อสมัยก่อน (อดีตชาติ) ก็อยู่ที่แม่ขะจาน
แต่ชาติหลังท่านก็เคยบวชมาหลายชาติ ท่านก็เคยบอกลูกศิษย์ไว้ท่านไปทั้งแม่ขะจาน ทั้งแม่สรวยทางแม่สรวย นี้ก็ไปเกี่ยวข้องด้วย คือ น้องสาวคนหนึ่งของท่านที่ตายจากอุบลฯ แล้วมาเกิดที่อำเภอแม่สรวย ท่านก็ไปโปรด ไปตามกินตามทางอะไรเหล่านี้ เป็นเรื่องเจตนา (ตัว) ไม่ไม่ไปสำหรับบุคคลอื่น เป็นเรื่องที่ทำนเกี่ยวข้อง ท่านก็คงจะไปรดไปสงเตราะห์เมตตาอะไรนี้ มันมีทางเก่า มันมีเช่นที่ท่านเคยทำอะไรไว้ก็ได้กลับมาทบทวนนะ...” (รศ.ดร.ปฐม-ภัทรา นิคมานน์ พ.ศ. 2546:357-360)
ศิษย์ทราบข่าวตามมาน้อมนพ
เมื่อองค์หลวงปู่มั่น ได้พำนักอยู่ในแถบอำเภอพร้าวนี้เป็นระยะเวลาติดต่อกัน ซึ่งก่อนหน้านี้ ท่านจะไม่อยู่ที่แห่งใดนาน ทำให้ติดตามหาองค์ท่านได้ยาก ทำให้ทั้งศิษย์เดิม และพระสงฆ์ผู้ต้องการข้อชี้แนะจากองค์หลวงปู่มั่น ได้เริ่มตามเข้ามานมัสการและฟังธรรมจากท่าน และองค์ท่านเองประสงค์ที่จะพบศิษย์เพื่อปรับปรุงการภาวนาให้แจ่มแจ้งยิ่งขึ้น อีกทั้งท่านยังพาไปวิเวกในสถานที่ต่างๆ หรือบางครั้งเนื่องจากท่านมีความชำนาญในพื้นที่ ท่านก็จะแนะนำให้ศิษย์เดินทางไปและให้มารายงานผลการภาวนาให้ท่านทราบ ทำให้ศิษยานุศิษย์มีความก้าวหน้าในการภาวนา
จากบันทึกประวัติองค์หลวงปู่มั่น โดย หลวงพ่อวิริยังค์ ได้บรรยายถึงรายละเอียด ไว้ดังนี้
...ท่านจึงปรารภในใจว่า สมควรจะได้อยู่พักเพื่อการบำเพ็ญให้นานสักหน่อย ประกอบกับลูกศิษย์ลูกหาของท่าน ที่ได้รับคำสั่งสอนและปฏิบัติตามมรรคาที่ท่านได้แนะนำพร่ำสอนแล้วก็ได้รับผลพอสมควร แต่ก็ยังมีข้อสงสัย หรือไม่ก็ผลที่ตนได้รับนั้นยังไม่เป็นที่พอใจ ซึ่งก็ได้พากันพยายามติดตามหาท่านอยู่ตลอดมา ส่วนมากก็อยู่ทางภาคอีสาน และเมื่อท่านได้มาอยู่ทางภาคเหนือ จึงพยายามเดินทางมาหาท่านเท่าที่โอกาสจะอำนวยให้ จึงปรากฏว่าได้มีพระภิกษุสามเณรทางภาคอีสานเป็นจำนวนไม่น้อย ได้พากันเดินทางมาพบท่านที่เชียงใหม่ และเมื่อได้ข่าวว่าท่านอยู่ที่อำเภอพร้าว จึงได้ไปหาที่นั่น แล้วก็มีมากขึ้นตามลำดับ เพราะแต่ก่อนท่านพยายามไม่อยู่ที่ไหนนาน ผู้ติดตามไม่ใคร่จะพบ เมื่อท่านอยู่อำเภอนี้นานเข้า ทำให้มีการเล่าลือว่าท่านอยู่แห่งนี้นาน พระภิกษุสามเณรผู้ได้รับความเย็นใจจากท่านก็ได้โอกาสรีบติดตามเพื่อจะได้พบ และต้องการฟังธรรมเทศนาของท่าน
ท่านเล่าว่า ในระยะนี้เราต้องการที่จะพบกับลูกศิษย์ลูกหาเหมือนกัน เพราะจะได้ปรับความเข้าใจในเรื่องปฏิบัติทางใจให้มีความละเอียด และมีหลายสิ่งหลายอย่างที่จะต้องปรับปรุง เพราะการปฏิบัติจิตใจ จะต้องศึกษาให้รอบคอบ เนื่องจากว่าเป็นนามธรรมเป็นสิ่งที่จะต้องมีประสบการณ์ในตนเอง คือการกระทำที่เกิดขึ้นในใจนั้นมีหลายอย่างที่จะต้องใช้ปัญญาวิจารณ์ หาเหตุผลเพื่อให้การดำเนินไปในทางที่ถูกต้องจริง ๆ เปรียบเทียบเท่ากับพระไตรปิฎกในคำสอนของสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า
ในปีนี้มีพระอาจารย์ที่เคยเป็นศิษย์ของท่าน ในขณะเมื่อท่านได้แนะนำสั่งสอนอยู่ในภาคอีสานจำนวนมาก ได้เริ่มคิดถึงท่านที่ได้จากมาอยู่ทางภาคเหนือหลายปีแล้ว จึงต่างก็ได้คิดจะติดตาม เพราะขณะที่ได้อยู่กับท่านนั้นได้รับผลทางใจมากเหลือเกินจนมีความมหัศจรรย์มาก มีอุปมาเหมือนเปิดของที่ปิด หงายของที่คว่ำ....
ซึ่งในขณะนั้นการปฏิบัติทางด้านจิตใจยังงมงายกันมาก หากท่านอาจารย์มั่นฯได้มาปรับปรุงแนะนำปฏิบัติเข้าทาง จึงทำให้เกิดความจริงขึ้นจนเป็นที่เชื่อมั่นในตนอย่างหนักแน่นเข้า ข่าวความดีของการปฏิบัติทางด้านจิตใจหรือการปฏิบัติกัมมัฏฐานได้แพร่สะพัดไปอย่างรวดเร็ว ทำให้ผู้หวังดีอยากพ้นทุกข์ ได้น้อมตัวเข้ามาเป็นศิษย์เพื่อการอยู่ปฏิบัติกับท่านจำนวนมากขึ้น ทั้งพระธรรมยุตและพระมหานิกาย เพราะการปฏิบัติทั้งทางด้านพระธรรมวินัยและการปฏิบัติธุดงค์ ตลอดถึงกิจวัตรต่าง ๆ ได้แนะนำและพาปฏิบัติอย่างเคร่งครัดและเหมาะสม ซึ่งในขณะนั้นยังไม่มีหมู่ใดคณะใดกระทำได้ เพราะผลที่เกิดขึ้นจากการปฏิบัติตามปฏิปทาของท่านอาจารย์มั่นฯ นั้นเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพจริงๆ
ด้วยเหตุนี้จึงทำให้มีการตื่นตัวในเรื่องของการปฏิบัติทางใจมากขึ้น แม้จะอยู่ในวงของภิกษุแต่ก็มั่งคั่งและแผ่ออกถึงญาติโยมในปัจจุบัน ในระยะเพียงไม่กี่ปี ความขยายตัวของคณะปฏิบัติก็กว้างขวางออกไปอย่างมากพอสมควรทีเดียว นับเป็นประโยชน์ทั้งแก่ภิกษุสามเณร และอุบาสกอุบาสิกา
ในระยะแรกนี้ท่านอาจารย์มั่นฯ ท่านได้พาคณะศิษย์เที่ยวธุดงค์ เพื่อวิเวกวกเวียนอยู่เฉพาะภาคอีสานในถ้ำภูเขา ป่าใหญ่ เพราะการธุดงค์นั้นมีความมุ่งหมายที่จะเป็นประโยชน์แก่การปฏิบัติทางใจจริงๆ ในกรณีนี้ท่านเองมีความชำนาญลู่ทางการไปมามาก ท่านจึงแนะนำแก่ศิษย์ได้ถูกต้อง ควรจะไปอยู่ถ้ำโน้นถ้ำนี้ เขาโน้นเขานี้ หรือป่าโน้นป่านี้เป็นต้น เมื่อได้ธุดงค์ไปทำความเพียรในที่ต่าง ๆ ปฏิบัติได้ผลอย่างไร ทุก ๆ องค์ก็นำไปศึกษากับท่านต่อไป และทุกครั้งที่มีการศึกษานั้นก็จะรับความกระจ่างแจ้งอย่างดียิ่ง...(หลวงพ่อวิริยังค์ สิรินฺธโร)
ความเป็นอยู่ลำบากกายแต่สบายใจ
หลวงปู่คำบ่อ ฐิตปญฺโญ ท่านเป็นศิษย์ของ หลวงปู่พรหม จิรปุญฺโญ ได้ถ่ายทอดเรื่องราวที่หลวงปู่พรหม กล่าวกับท่านไว้ เกี่ยวกับสภาพความเป็นอยู่ที่ป่าเมี่ยงขุนปั๋งที่อัตคัดขัดสน ไว้ว่า
...ขณะนั้นหลวงปู่มั่น ได้จำพรรษาที่ ป่าเมี่ยงขุนปั๋ง หลวงปู่พรหมไปกราบหลวงปู่มั่น แล้วกล่าวว่า "ท่านอาจารย์ไปอยู่อย่างนี้ทำไม?" หลวงปู่มั่นตอบว่า "มาอยู่ใช้กรรม" การอยู่การขบฉันลำบากมากที่สุด การทำกระต๊อบ ก็นำใบไม้มาสานกันพอได้อยู่... (หลวงปู่คำบ่อ ฐิตปัญโญ ใน ตามรอยพระอาจารย์พรหม จิรปุญฺโญฯ)
หลวงปู่สารณ์ สุจิตฺโต (จากความอนุเคราะห์ โดย วัดตาดโตนคีรีวัน จังหวัดหนองบัวลำภู)
หลวงปู่เทสก์ หลวงปู่อ่อนสี เดินทางมาสมทบ
หนึ่งในศิษย์เดิม ที่ได้มาขอคำแนะนำองค์หลวงปู่มั่น คือ หลวงปู่เทสก์ เทสรํสี ได้เดินทางมาพร้อมกับหลวงปู่อ่อนสี จากหนังสืออัตตโนประวัติ หลวงปู่เทสก์ เทสรํสี (พระราชนิโรธรังสี คัมภีรปัญญาวิศิษฏ์, 2549) กล่าวคือ เมื่อออกพรรษา ปี พ.ศ.2476 ผ่านมาแล้ว หลวงปู่เทสก์ เทสรํสี เดินทางจากวัดอรัญญวาสี อ.ท่าบ่อ จ.หนองคาย มาภาคเหนือเพื่อติดตามหาหลวงปู่มั่น เนื่องจากหลวงปู่เทสก์ในขณะนั้นกำลังติดขัดในการภาวนา ท่านทั้งสองได้พบกับอุปสรรคนานับประการ จนเมื่อเข้าเขตอำเภอพร้าว จังหวัดเชียงใหม่ ก็ได้ทราบข่าวว่าหลวงปู่มั่น พักอยู่ที่ ป่าเมี่ยงขุนปั๋ง ได้แวะพักค้างคืนที่ถ้ำดอกคำกับพระอาจารย์สาร หลังฉันเช้าเสร็จแล้วจึงได้เดินทางถึง ป่าเมี่ยงขุนปั๋ง ในเวลาประมาณบ่ายสี่โมง
(บน) ซุ้มประตูและบันไดขึ้นไปถ้ำดอกคำ (ล่าง) ถ้ำดอกคำปัจจุบันอยู่ในบริเวณ วัดถ้ำดอกคำ บ้านน้ำแพร่ อำเภอพร้าว จังหวัดเชียงใหม่ (รูปโดย ผู้เขียน, 2556)
ดังนั้น ในช่วงเวลาก่อนเข้าพรรษา ปี พ.ศ. 2477 จึงมีพระที่พำนักกับหลวงปู่มั่น ภูริทตฺโต ที่ป่าเมี่ยงขุนปั๋ง ได้แก่ หลวงปู่เทสก์ เทสรํสี, หลวงปู่อ่อนสี สุเมโธ, หลวงปู่ขาว อนาลโย, หลวงปู่แหวน สุจิณฺโณ และหลวงปู่พร สุมโน ซึ่งตามประวัติหลวงปู่แหวน ได้กล่าวว่า เมื่อมีพระอยู่ด้วยกันหลายรูป เกรงว่าจะเป็นภาระแก่ชาวบ้าน จึงได้แยกย้ายกันไปพำนักในพื้นที่ใกล้เคียง จะมารวมกันเพื่อฟังพระปาฏิโมกข์และรับการอบรมจากหลวงปู่มั่น เสร็จแล้วก็กลับไปสู่ที่อยู่ของแต่ละท่าน โดย หลวงปู่แหวน กับ หลวงปู่ขาวได้กราบลาหลวงปู่มั่น มาจำพรรษาที่ดอยนะโม บ้านทุ่งบวกข้าว ซึ่งต่อมาหลวงปู่พร ก็ได้ลงมาสมทบร่วมจำพรรษาด้วย
พระอาจารย์ที่จำพรรษาที่ป่าเมี่ยงแม่ปั๋ง (ป่าเมี่ยงขุนปั๋ง)
(บน) หลวงปู่มั่น ภูริทตฺโต (ฐานข้อมูลเว็บไซต์ luangpumun.org)
(ล่างซ้าย) หลวงปู่เทสก์ เทสรํสี (รูปจาก Internet)
(ล่างขวา) หลวงปู่อ่อนสี สุเมโธ (รูปจาก นิตยสารโลกทิพย์)
สำหรับองค์หลวงปู่มั่น หลวงปู่เทสก์ และหลวงปู่อ่อนสี ยังคงจำพรรษาอยู่ที่ ”ป่าเมี่ยงขุนปั๋ง” (มูลนิธิหลวงปู่แหวน สุจิณฺโณ, มปพ.:73-74) โดยในอัตตโนประวัติหลวงปู่เทสก์กล่าวว่า หลวงปู่มั่น กับ หลวงปู่อ่อนสี จำพรรษาอยู่ในบริเวณเชิงเขา ส่วนหลวงปู่เทสก์ จำพรรษาอยู่บนเขา (พระราชนิโรธรังสี คัมภีรปัญญาวิศิษฏ์, 2549:97-98) ในประวัติหลวงปู่แหวนกล่าวว่า หลวงปู่มั่นจำพรรษาในถ้ำฤาษี โดยชาวบ้านได้สร้างกุฏิชั่วคราวถวายให้พักจำพรรษา (มูลนิธิหลวงปู่แหวน สุจิณฺโณ, มปพ.:74) และในประวัติหลวงปู่อ่อนสี ได้ระบุว่าหลวงปู่อ่อนสี พักอยู่บริเวณเฉลียงกุฏิหลวงปู่มั่น เนื่องจากในขณะนั้นหลวงปู่อ่อนสี มีหน้าที่ในการอุปัฏฐากหลวงปู่มั่น (ดำรง ภู่ระย้า, 2529:37)
พระอาจารย์ที่ได้เดินทางมากราบหลวงปู่มั่น ที่ป่าเมี่ยงขุนปั๋ง ต่อมาได้ไปจำพรรษาที่ดอยนะโม ในปี พ.ศ. 2477
(บน) หลวงปู่ขาว อนาลโย (รูปจาก Internet ไม่ทราบที่มา)
(ล่างขวา) หลวงปู่แหวน สุจิณฺโณ (รูปจาก วัดสันติธรรม จังหวัดเชียงใหม่)
(ล่างซ้าย) หลวงปู่พร สุมโน (รูปจาก วัดบูรพา จังหวัดอุบลราชธานี)
หลวงปู่มั่น แนะนำการภาวนา หลวงปู่เทสก์
ย้อนกลับไปเมื่อหลวงปู่เทสก์ เดินทางมาถึงป่าเมี่ยงขุนปั๋งแล้ว ได้กราบเรียนถึงผลการปฏิบัติธรรม พร้อมกับขอคำชี้แนะจากหลวงปู่มั่น ความว่า
บ้านขุนปั๋ง ตำบลแม่ปั๋ง อำเภอพร้าว จ.เชียงใหม่ (รูปโดยผู้เขียน, 2556)
“ ที่ต้องตามหาท่านอาจารย์ในครั้งนี้ ด้วยจุดประสงค์อยากจะมาขอความกรุณาให้ท่านอาจารย์ได้ช่วยแก้อุบายภาวนาให้ เพราะกระผมได้คิดและได้ศึกษาจากหมู่คณะมามากแล้ว เห็นว่านอกจากท่านอาจารย์แล้วคงไม่มีใครแก้อุบายนี้ของกระผมได้แน่” (พระราชนิโรธรังสี คัมภีรปัญญาวิศิษฏ์, 2549:95)
หลวงปู่มั่น ได้ตอบหลวงปู่เทสก์ ความว่า
“ถ้าองค์ไหนดำเนินตามรอยของผมจนชำนิชำนาญมั่นคง องค์นั้นย่อมเจริญก้าวหน้า อย่างน้อยก็คงตัวอยู่ได้ตลอดรอดฝั่ง ถ้าองค์ไหนไม่ดำเนินตามรอยของผม องค์นั้นย่อมอยู่ไม่ทนนานต้องเสื่อมหรือสึกไป ผมเองหากมีภาระมาก ยุ่งกับหมู่คณะ การประกอบความเพียรไม่สม่ำเสมอ เพ่งพิจารณาในกายคตาไม่ละเอียด จิตใจก็ไม่ค่อยจะปลอดโปร่ง การพิจารณาอย่าให้จิตหนีออกนอกกาย อันนี้จะชัดเจนแจ่มแจ้งหรือไม่ก็อย่าได้ท้อถอยเพ่งพิจารณาอยู่ ณ ที่นี่ล่ะ จะพิจารณาให้เห็นเป็นอสุภะหรือให้เห็นเป็นธาตุก็ได้ หรือจะพิจารณาให้เห็นเป็นขันธ์หรือให้เห็นเป็นไตรลักษณ์ได้ทั้งนั้น แต่ให้พิจารณาเพ่งลงเฉพาะในเรื่องนั้นจริง ๆ ตลอดอิริยาบถทั้งสี่ แล้วก็มิใช่ว่าเห็นแล้วก็จะหยุดเสียเมื่อไร จะเห็นชัดหรือไม่ชัดก็พิจารณาอยู่อย่างนั้นแหละ เมื่อพิจารณาอันใดชัดเจนแจ่มแจ้งด้วยใจตนเองแล้ว สิ่งอื่นนอกนี้จะมาปรากฏชัดในที่เดียวกันดอก ท่านอย่าให้จิตมันรวมเข้าเป็นภวังค์ได้” (พระราชนิโรธรังสี คัมภีรปัญญาวิศิษฏ์, 2549:95-96)
ในพรรษานั้น หลวงปู่เทสก์ ได้ปฏิบัติตามคำแนะนำของหลวงปู่มั่น พร้อมกับภาวนาอย่างเต็มที่ โดยท่านได้บันทึกไว้ว่า “พอท่านพูดจบ เรานึกตั้งปณิธานไว้ในใจว่า เอาละคราวนี้เราจะเรียนกัมมัฏฐานใหม่ ผิดถูกเราจะทำตามท่านสอน ขอให้ท่านเป็นผู้ดูแลและชี้ขาดแต่ผู้เดียว นับแต่วันนั้นเป็นต้นมาเราตั้งสติกำหนดพิจารณาอยู่แต่เฉพาะกาย โดยให้เห็นเป็นอสุภะเป็นธาตุสี่ เป็นก้อนทุกข์อยู่ตลอดทั้งกลางวันและกลางคืน เราใช้เวลาปรารภความเพียรอยู่ด้วยความไม่ประมาทสิ้นเวลา 6 เดือน (พรรษานี้เราจำพรรษาอยู่ที่นี่) โดยไม่มีความเบื่อหน่าย ใจของเราจึงได้รับความสงบและเกิดอุบายเฉพาะขึ้นมา...” (พระราชนิโรธรังสี คัมภีรปัญญาวิศิษฏ์, 2549:97)
การอบรมสั่งสอนชาวบ้าน
หลวงพ่อวิริยังค์ สิรินฺธโร ได้มีโอกาสสอบถามชาวบ้านในพื้นที่ ที่ทันได้รับการอบรมจากองค์หลวงปู่มั่น ถึงสิ่งที่องค์หลวงปู่มั่น ได้สั่งสอน ได้แก่ ให้ชาวบ้านไม่งมงาย ให้ทุกคนเป็นพุทธมามกะ การไหว้พระรัตนตรัยให้ไหว้ที่พระคุณ และศาสนาอยู่ที่ตัวเรานั้นเอง
วัดขุนปั๋ง (สำนักสงฆ์ป่าเมี่ยงขุนปั๋ง) บ้านขุนปั๋ง ตำบลแม่ปั๋ง อำเภอพร้าว จ.เชียงใหม่ (รูปโดยผู้เขียน, 2556)
จากบันทึกประวัติองค์หลวงปู่มั่น โดย หลวงพ่อวิริยังค์ ได้บรรยายถึงรายละเอียด ไว้ดังนี้
...ชาวบ้านเล่าว่า ท่านได้แนะนำให้พวกเขาแสดงตัวเป็นพุทธมามกะ (ผู้รับเอาพระรัตนเป็นที่พึ่ง-ผู้ใกล้ชิดพระรัตนตรัย) และสอนให้พวกเขาเข้าใจในเหตุผลแห่งความเป็นจริง โดยไม่ให้มีความเชื่อถืออย่างงมงายไร้เหตุผล เพราะเหตุผลเป็นความจริงในพระพุทธศาสนา โดยท่านได้สอนเน้นถึงว่า คุณธรรมนั้นมีความสำคัญยิ่งนัก เช่นที่เราพากันกราบไหว้พระพุทธปฏิมากรนี้ มิใช่ว่าเราไหว้หรือนอบน้อมต่ออิฐ-ปูน-ทองเหลือง-ทองแดง-ทองคำ-หรือไม้-ดิน เพราะนั่นเป็นแต่เพียงวัตถุก่อสร้างธรรมดาอย่างหนึ่งเท่านั้น เมื่อเราจะกราบไหว้พระพุทธรูป เราต้องกราบไหว้คุณธรรม คือมาระลึกถึงว่า พระพุทธเจ้าพระองค์ท่านตรัสรู้เองโดยชอบ เป็นผู้ไกลจากกิเลสเครื่องยั่วยวน ซึ่งถ้าไม่ไกลจากกิเลสแล้วเราก็ไม่ไหว้ เราไหว้เฉพาะท่านที่ห่างไกลจากกิเลสเท่านั้น อย่างนี้ชื่อว่า ไหว้พระองค์ท่านด้วยคุณธรรม จึงจะไม่ชื่อว่า ไหว้อิฐ-ปูน- ฯลฯ
การไหว้พระธรรมซึ่งเป็นคุณธรรมที่มีอยู่ในพระพุทธองค์ก็เช่นกัน โดยกล่าวคำเป็นต้นว่า สฺวากฺขาโต ภควตา ธมฺโม ธมฺมํ นมสฺสามิ-พระธรรมที่พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสไว้ดีแล้ว ข้าพเจ้าขอนอบน้อมนมัสการกราบไหว้พระธรรมนั้น เพราะถ้าพระธรรม (คำสอน) ที่กล่าวแล้วไม่ดีและเมื่อพิจารณาเห็นประจักษ์แล้วว่าไม่มีเหตุผล เราก็ไม่ไหว้ไม่นอบน้อม ดังนั้นเราจึงไหว้แต่พระธรรมที่กล่าวดี มิฉะนั้นแล้วเราก็จะกราบถูกเพียงแต่ใบลาน คือใบไม้ เพราะไปเข้าใจว่า ใบไม้คือธรรมนี้ชื่อว่าไม่ถูกต้อง เราจะต้องกราบให้ถูกให้ตรงต่อคำสอน คือพระธรรมของพระพุทธองค์อย่างแท้จริง
(บน) สวนเมี่ยงของนางพันธ์ นิววันรัตน์ (ล่าง) บริเวณสันเขาด้านบนของสวนเมี่ยงนางพันธ์ นิววันรัตน์
(รูปโดยผู้เขียน, 2556)
สำหรับพระสงฆ์อันเป็นสาวกผู้สืบพระศาสนา คือหลักธรรมของพระพุทธเจ้าก็มีนัยเช่นเดียวกัน การที่เราให้ความเคารพกราบไหว้สักการะก็โดยมาระลึกถึงว่า ท่านเป็นผู้ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบ มีการเป็นอยู่อย่างสงบ ไม่เป็นพิษเป็นภัยแก่ใครๆ พร้อมกันนี้ท่านยังดำรงภาวะเป็นเนื้อนาบุญอันเอกอุของชาวโลก ดังนั้นเมื่อเราจะกราบไหว้เราก็กล่าวคำว่า สุปฏิปนฺโน ภควโต สาวกสงฺโฆ สงฺฆํ นมามิ-พระสงฆ์ผู้ปฏิบัติดี ชื่อว่าเป็นสาวกของพระพุทธเจ้า ข้าพเจ้านอบน้อมกราบไหว้พระสงฆ์นั้น ถ้าพระสงฆ์มีการปฏิบัติไม่ดีเราก็ไม่กราบ เรากราบผู้ที่ท่านปฏิบัติดี อย่างนี้ชื่อว่า กราบถูก มิฉะนั้นจะเป็นว่าเรากราบคนหรือธาตุ 4 เท่านั้น ดังนั้นขณะที่เรากราบโดยกล่าวคำระลึกดังที่กล่าวมาแล้วและมีพระสงฆ์อยู่ต่อเฉพาะหน้าเรา อาจจะไม่ถูกเรากราบ ถ้าพระสงฆ์รูปนั้นปฏิบัติไม่ดี เมื่อทำได้ดังกล่าวชื่อว่าเรากราบได้อย่างถูกต้องไม่ผิดพลาด
สรุปแล้วกราบไหว้ใด ๆ ก็ตามถ้าเรากราบโดยยึดเอาคุณธรรมเป็นที่คงเป็นหลักแล้ว เราจะไม่มีการกราบผิดเลยเพราะการกราบไหว้โดยเท้าความถึงคุณธรรมนั้นจึงจะชื่อว่าเป็นเหตุผล หรือสมกับเหตุผลนั้นก็คือ กราบได้ไม่ผิดจึงจะได้รับความสงบร่มเย็นเป็นบุญ ฯ
ผู้เขียนรู้สึกอิ่มอกอิ่มใจมาก ที่ได้ฟังโยมเขาอธิบายถึงคำสั่งสอนของท่านอาจารย์มั่น ฯ ที่เขาได้พากันจดจำเอาไว้และได้นำมาเล่าให้ฟังได้อีกจึงทำให้ได้ความจริงมาอีกข้อหนึ่งว่า ท่านอาจารย์ท่านได้สอนคนบ้านนอกที่กลการศึกษาให้เข้าใจถึงข้อเท็จจริงซึ่งบางทีอาจจะดีกว่าผู้ที่ศึกษาแล้วอยู่ในเมืองหลวงเสียอีก....
ศาลบริเวณสันเขาด้านบนสวนเมี่ยงนางพันธ์ นิววันรัตน์
ที่เล่าสืบต่อกันมาว่า หลวงปู่มั่น กับหลวงปู่แหวน ได้มาพำนักบริเวณนี้
(รูปโดยผู้เขียน, 2556)
โยมคนนั้นได้เล่าถึงท่านอาจารย์มั่น ฯ ท่านสอนต่อไปว่า ศาสนา คือตัวของเราและอยู่ที่ตัวของเราเพราะเหตุไร ? ก็เพราะว่า ตัวตนของคนเรานี้เป็นที่ตั้งของพระพุทธศาสนาที่พระพุทธองค์ทรงแสดงธรรมก็ทรงแสดงถึง ตา หู จมูก ลิ้น กายและใจ ปฏิบัติก็ให้ปฏิบัติที่ ตา หู จมูก ลิ้น กาย และที่ใจ ไม่เห็นให้ปฏิบัติที่อื่น ๆ
นอกจากที่ดังกล่าว บางคนก็ว่า ศาสนาอยู่ในคัมภีร์ใบลาน
โยมคนนั้นได้เล่าให้ฟังว่า ไม่ใช่อยู่ในคัมภีร์ใบลาน ก็ในใบลานหรือในกระดาษหนังสือทั้งหลาย ก็คนเรานั่นแหละไปจารึกไว้หรือไปเขียนไว้และทำมันขึ้นมา ซึ่งถ้าคนไม่ไปเขียนหรือไปทำมันขึ้นมา มันจะเป็นหรือมีขึ้นมาได้อย่างไร
บางคนว่าศาสนาอยู่ในวัดวาอารามหรือพระสงฆ์
โยมคนนั้นก็ได้รับอรรถาธิบายจากท่านอาจารย์มั่น ฯ ว่า วัดนั้นใครเล่าไปสร้างให้มันเกิดขึ้น ก็คนนั้นแหละ พระสงฆ์ใครเล่าไปบวช ก็คนนั่นแหละบวชขึ้นมา ก็เป็นอัน ศาสนาอยู่ที่ตัวของเรา. ..
การที่เราจะปฏิบัติหรือไม่ปฏิบัติศาสนา จึงเป็นสิ่งที่ตัวเราจะต้องมีความรับผิดชอบ ถ้าไม่ปฏิบัติดี ปฏิบัติชอบ คือการละบาป บำเพ็ญบุญ เราจะต้องไปทำชั่วซึ่งผิดศีลธรรมก็ต้องถูกลงโทษให้ได้รับความทุกข์ทรมาน ถ้าปฏิบัติดีปฏิบัติชอบคือละความชั่วประพฤติความดี ผลที่เกิดขึ้นก็คือความสุขสงบ และความหลุดพ้นจากทุกข์ในที่สุด นี้ก็คือการปฏิบัติพระพุทธศาสนาแล้วก็มีผล คือการปฏิบัติโดยการยกตัวของตนขึ้นจากหล่มหลุมแห่งวังวนวัฏสงสารเป็นต้น. .
ผู้เขียนได้ฟังแล้วรู้สึกจับใจและมาเข้าใจว่า คนที่อยู่ในตำบลนอก ๆ ห่างไกล ก็ยังมีความรู้ซึ้งในพระพุทธศาสนาได้ก็นับว่ายังดีมาก แต่ก็เกิดขึ้นจากท่านผู้รู้ที่ยอมเสียสละความสุขส่วนตัวโดยเข้าไปสอนให้รู้ธรรมได้...(หลวงพ่อวิริยังค์ สิรินฺธโร)
ขณะผู้เขียนเดินทางไปถึงในเช้าวันที่ 15 เมษายน พ.ศ. 2556 กำลังมีการตัดถนน และถึงบริเวณห้วยตุ๊เจ้าพอดี (รูปโดยผู้เขียน, 2556)
ออกพรรษาปี พ.ศ.2477 ไปดอยนะโม
พอออกพรรษา หลวงปู่เทสก์ กับ หลวงปู่อ่อนสี ยังคงพำนักอยู่ที่ ป่าเมี่ยงขุนปั๋ง ส่วนหลวงปู่มั่น ได้ลงมาที่บ้านทุ่งหมากข้าว (พระราชนิโรธรังสี คัมภีรปัญญาวิศิษฏ์, 2549:97) ในปัจจุบันเรียกว่าบ้านทุ่งบวกข้าว สอดคล้องกับในประวัติหลวงปู่แหวน ที่กล่าวถึงสาเหตุที่หลวงปู่มั่น เดินทางลงจาก”ป่าเมี่ยงขุนปั๋ง” มาที่บ้านทุ่งบวกข้าว และระบุว่าสถานที่ในบ้านทุ่งบวกข้าวนั้น คือ “ดอยนะโม” ซึ่ง หลวงปู่แหวน หลวงปู่ขาว และหลวงปู่พร ได้จำพรรษาในช่วงเข้าพรรษาปี พ.ศ. 2477 นั้น
(บน) ดอยนะโม (ล่าง) พระธาตุดอยนะโมบ้านทุ่งบวกข้าว ตำบลแม่ปั๋ง อำเภอพร้าว จังหวัดเชียงใหม่
(รูปโดยผู้เขียน, 2556)
เมื่อออกพรรษาแล้ว แคว่นมี (กำนันมี) จะขึ้นไปป่าเมี่ยงขุนปั๋ง หลวงปู่แหวนจึงมอบหมายให้ขึ้นไปกราบอาราธนานิมนต์หลวงปู่มั่น ที่ ”ป่าเมี่ยงขุนปั๋ง” ให้ลงมาที่ ”ดอยนะโม” บ้านทุ่งบวกข้าว เมื่อแคว่นมีไปถึงและกราบเรียนหลวงปู่มั่น ซึ่งท่านไม่ขัดข้อง เก็บบริขารเสร็จ แคว่นมีสะพายบาตรได้ออกเดินทางมาดอยนะโม พร้อมกัน ต่อมาหลวงปู่มั่น ได้จำพรรษาที่ดอยนะโมในพรรษาปี พ.ศ. 2478 (มูลนิธิหลวงปู่แหวน สุจิณฺโณ, มปพ.:74)
ป่าเมี่ยงขุนปั๋งในปัจจุบัน
จากบทความ ป่าเมี่ยงในประวัติหลวงปู่มั่น โดย Admin แฟนพันธุ์หลวงปู่มั่น www.luangpumun.org ที่ได้ลงพื้นที่ ได้ระบุว่าองค์หลวงปู่มั่น ได้มาพักอยู่บริเวณซึ่งปัจจุบันเป็นสวนเมี่ยงของนางพันธ์ นิววันรัตน์ โดยมีแหล่งน้ำที่อยู่ใกล้เคียงกันที่เรียกว่า “ห้วยตุ๊เจ้า” หรือ “ห้วยพระเจ้า” ที่มีเรื่องเล่ากันว่า มีพระธุดงค์มาอยู่ในบริเวณนั้น และใช้แหล่งน้ำใกล้เคียงกัน ทำให้ชาวบ้านได้ขนานนามตามนี้จนถึงปัจจุบัน
ขณะผู้เขียนเดินทางไปถึงในเช้าวันที่ 15 เมษายน พ.ศ. 2556 กำลังมีการตัดถนน และถึงบริเวณห้วยตุ๊เจ้าพอดี (รูปโดยผู้เขียน, 2556)
(บน) นายวิชิต เมืองตุต ชี้ขึ้นไปบริเวณที่เป็นต้นน้ำของห้วยตุ๊เจ้าที่ห่างขึ้นไปอีกประมาณ 2 กิโลเมตร
(ล่าง) ต้นไม้ใหญ่ด้านบน คือ บริเวณสันเขาด้านบนของสวนเมี่ยงนางพันธ์ นิววันรัตน์
(รูปโดยผู้เขียน, 2556)
จากบทความ เมี่ยงอาชีพเก่าแก่คนเมือง โดย ส.กวีวัฒน์ ในจาริกไว้ในลานนา ได้สอบถามชาวบ้าน ได้กล่าวไว้ว่า องค์หลวงปู่มั่น พักอยู่ในบริเวณที่เป็นวิหารวัดป่าเมี่ยงขุนปั๋ง ในปัจจุบัน ซึ่งในบทความได้สรุปว่า “...นอกจากสถานที่อยู่จะไม่ตรงกันแล้ว แม้ปี พ.ศ.ที่อยู่จำพรรษาก็ไม่ตรงกันอีก เพราะไม่มีผู้ใดเขียนบันทึกไว้นั้นเอง จำต่อๆ กันมานานเข้า ก็สับสนเป็นเรื่องธรรมดา...” (ส.กวีวัฒน์) ในมุมของ Admin ผู้เขียน การเดินทางที่ยากลำบากแม้ในปัจจุบันและเรียบเรียงข้อมูลนี้ ทำให้เห็นถึงความเสียสละของ องค์หลวงปู่มั่น ที่ไม่เพียงมุ่งปลดเปลื้องตนให้เห็นแจ้ง แต่ยังมีกรุณาต่อลูกศิษย์ โดยเฉพาะหลวงปู่เทสก์ ที่บากบั่นเข้ามา ด้วยเห็นธรรมะเป็นสำคัญ สถานที่นี้ถึงแม้จะยังไม่ชัดเจน แต่ก็ควรเป็นที่จารึกไว้ในตำนานแก่อนุชนรุ่นหลังต่อไป
(บน) นายชนิต นิววารัตน์ อายุ 63 ปี
(ล่าง) นายบุญเติง เททิน อายุ 66 ปี อดีตผู้ใหญ่บ้านขุนปั๋ง
(รูปโดยผู้เขียน, 2556)
● คณะศิษยานุศิษย์, 80 ปี หลวงพ่อคำบ่อ ฐิตปัญโญ, วัดใหม่บ้านตาล : สกลนคร, 2554.
● คณะศิษยานุศิษย์, ตามรอยพระอาจารย์พรหม จิรปุญโญ พระอรหันต์แห่งบ้านดงเย็น, วัดประสิทธิธรรม : อุดรธานี, 2549.
● เฉลิมชนม์ บุญเกียรติสกุล, ภูมิปัญญาท้องถิ่นกับการอนุรักษ์และใช้ประโยชน์ความหลากหลายทางชีวภาพของอาหารธรรมชาติในป่าเมี่ยง กรณีศึกษา บ้านปางมะโอ ตำบลแม่นะ อำเภอเชียงดาว จังหวัดเชียงใหม่, วิทยานิพนธ์วิทยาศาสตร์มหาบัณฑิต สาขาวิชาการใช้ที่ดินและการจัดการทรัพยากรธรรมชาติอย่างยั่งยืน บัณฑิตวิทยาลัย มหาวิทยาลัยเชียงใหม่, 2550.
● ดำรง ภู่ระย้า, หลวงปู่อ่อนสี สุเมโธ, นิตยสารโลกทิพย์ (ฉบับที่ 76 ปีที่ 5) มีนาคม (ฉบับแรก), 2529.
● เนาวรัตน์ ลินพิศาล, การประเมินความยั่งยืนและปัจจัยที่มีผลต่อความยั่งยืนของชุมชนป่าเมี่ยงในภาคเหนือของประเทศไทย, วิทยานิพนธ์วิทยาศาสตร์มหาบัณฑิต สาขาเศรษฐศาสตร์เกษตร บัณฑิตวิทยาลัยมหาวิทยาลัยเชียงใหม่, 2551.
● พระบวร พุทฺธญาโณ, ใต้จิตสำนึก หลวงปู่ขาว อนาลโย, คณะศิษยานุศิษย์วัดถ้ำกลองเพล : อุดรธานี, 2532.
● พระราชธรรมเจติยาจารย์ (วิริยังค์ สิรินฺธโร), ประวัติพระอาจารย์มั่น ภูริทัตตเถระ (ฉบับสมบูรณ์), สถาบันพลังจิตตานุภาพ : กรุงเทพฯ, 2541.
● พระราชนิโรธรังสี คัมภีรปัญญาวิศิษฏ์ (เทสก์ เทสรังสี), อัตตโนประวัติพระราชนิโรธรังสี คัมภีรปัญญาวิศิษฏ์(เทสก์ เทสรังสี), คณะศิษยานุศิษย์วัดป่าเชิงเลน : กรุงเทพฯ, 2549.
● มูลนิธิหลวงปู่แหวน สุจิณฺโณ, อนุสรณ์หลวงปู่แหวน สุจิณฺโณ, โรงพิมพ์มูลนิธินวมราชานุสรณ์ : นครนายก, มปพ.
● ปฏิปทาหลวงปู่พรหม จิรปุญฺโญ จากคำบอกเล่าของ หลวงพ่อคำบ่อ ฐิตปญฺโญ ใน ตามรอยพระอาจารย์พรหม จิรปุญฺโญ พระอรหันต์แห่งบ้านดงเย็น พ.ศ.2549.
● พระกรรมฐานสู่ล้านนา ตอน 2 โครงการหนังสือบูรพาจารย์ เล่ม7 โดย รศ.ดร.ปฐม-ภัทรา นิคมานน์ พ.ศ. 2546:357-360
● http://www.baanjomyut.com, ป่าเมี่ยง, Online, เข้าถึงเมื่อ 28 มกราคม 2557.
● Admin แฟนพันธุ์แท้ศิษย์หลวงปู่มั่น และ www.luangpumun.org บทความ ป่าเมี่ยงในประวัติหลวงปู่มั่น พ.ศ.2565 https://www.facebook.com/100039176607158/posts/pfbid026o6sw9Tuar95XFsZBA5DobFPYavePp9Ezk9kkGPMD4bfooiZpmi2ApQMRWxov3Fvl/?mibextid=Nif5oz