ตามรอยองค์หลวงปู่มั่น ภูริทัตโต

ร่วมเดินไปยังสถานที่ที่เกี่ยวเนื่อง กับองค์หลวงปู่มั่น ภูริทตฺโต พร้อมเรื่องราวความสำคัญ ศิษยานุศิษย์ที่เข้ามาฝากตัว เป็นสานุศิษย์ถักทอสู่ "กองทัพธรรมพระกรรมฐาน" โดยเว็บมาสเตอร์ www.luangpumun.org และสุดยอดแฟนพันธุ์แท้ ศิษยานุศิษย์หลวงปู่มั่น ภูริทัตโต จากรายการ แฟนพันธุ์แท้ 2018

เมนูหลัก ตามรอยองค์หลวงปู่มั่น คลิ๊ก

ติดตามท่านเจ้าคุณอุบาลีฯ สู่วัดเจดีย์หลวง
วัดเจดีย์หลวง อ.เมือง จ.เชียงใหม่ (ตอนที่
1)
ตามรอยธรรมองค์หลวงปู่มั่น ภูริทตฺโต ตอนที่ 29

 

องค์หลวงปู่มั่น ภูริทตฺโต และ อนุสรณ์สถานบ้านเกิด
บ้านคำบง อ.ศรีเมืองใหม่ จ.อุบลราชธานี
(รูปจาก ฐานข้อมูล Admin และถ่ายโดย Admin)

 

ภายหลังจากองค์หลวงปู่มั่น ภูริทตฺโต ได้ไปส่งโยมมารดาคือ แม่ชีจันทร์ แก่นแก้ว ที่บวชชีกลับคืนสู่บ้านเกิด ณ บ้านคำบง อ.ศรีเมืองใหม่ จ.อุบลราชธานี โดยฝากให้ญาติดูแลต่อแล้ว ได้มอบหมู่คณะพระภิกษุสามเณรศิษยานุศิษย์ แก่ พระอาจารย์สิงห์ ขนฺตยาคโม ดูแลหมู่คณะแทนองค์หลวงปู่มั่นต่อไป เป็นการปลดเปลื้องภาระของท่านเอง เนื่องจากท่านเคยพิจารณาตนว่า "กำลังของเรายังไม่พอ แต่ก็จำต้องอยู่รออบรมหมู่คณะพอให้มีหลักฐานทางใจบ้าง" (หลวงตามหาบัว) เป็นโอกาสได้ออกจากหมู่คณะภาวนาส่วนองค์ในช่วงระยะเวลา 12 ปี ระหว่างปี พ.ศ.2472 – 2483 ตามความมุ่งมั่นขององค์ท่าน จนได้ถึงที่สุดแห่งพรหมจรรย์ เผยแผ่พระศาสนาอย่างแจ่มแจ้งต่อไป

พระอาจารย์สิงห์ ขนฺตยาคโม และ สิมเดิม วัดบูรพาอ.เมือง จ.อุบลราชธานี สถานที่ที่องค์หลวงปู่มั่น มอบหมายงานหมู่คณะให้พระอาจารย์สิงห์ ดูแลต่อ

(รูปจาก อาจาราภิวาท)

 

วัดเจดีย์หลวง อ.เมือง จ.เชียงใหม่ คือสถานที่ที่มีความสำคัญในประวัติองค์หลวงปู่มั่น ได้แก่

1. ท่านได้รับตำแหน่งทางการปกครองสงฆ์ สมณศักดิ์ และพระอุปัชฌาย์ ที่วัดเจดีย์หลวงเพียงหนึ่งเดียว ซึ่งเป็นสิ่งที่ท่านไม่ยินดี แต่ด้วยความเคารพในท่านเจ้าคุณพระอุบาลีคุณูปมาจารย์ (จันทร์ สิริจนฺโท) จึงได้รับภาระไว้ โดยปฏิบัติหน้าที่พระอุปัชฌาย์อุปสมบทให้พระเพียงหนึ่งรูป หลังจากนั้นก็ไม่ปรากฏว่าท่านได้อุปสมบทให้ใครอีก รับสมณศักดิ์ เป็นพระครูฐานานุกรม ในท่านเจ้าคุณพระอุบาลีคุณูปมาจารย์ (จันทร์ สิริจนฺโท) ที่ พระครูวินัยธร และรับตำแหน่งทางการปกครองสงฆ์ เป็น เจ้าอาวาสวัดเจดีย์หลวง รูปที่ 2 ซึ่งในหนังสือตราตั้งพระอุปัชฌาย์ ระบุตำแหน่งเป็น หัวหน้าคณะกรรมการสงฆ์วัดเจดีย์หลวง

2. ท่านได้จำพรรษา อยู่ถึง 3 ปี คือในปี พ.ศ.2472, 2475 และ 2481 ซึ่งตามปกติท่านจะไม่จำพรรษาสถานที่ไหนซ้ำ ส่วนช่วงออกพรรษา คาดว่าท่านอาจเข้าพำนักชั่วคราว อีกทั้งยังเป็นสถานที่แรก และสถานที่สุดท้ายของการจาริก 12 ปีในภาคเหนือ

3. เป็นต้นกำเนิดการขนานนามพระธรรมเทศนา โดยองค์หลวงปู่มั่น ว่าเป็น "มุตโตทัย" โดย ท่านเจ้าคุณอุบาลีฯ

4. ได้เก็บรักษาอัฐิธาตุองค์หลวงปู่มั่น ซึ่งมอบให้สำหรับจังหวัดเชียงใหม่ ที่ได้รับแบ่งจากงานฌาปนกิจศพ ในปี พ.ศ.2493 อีกทั้งฟันกราม ที่ต่อมาได้จัดสร้างเป็นอนุสรณ์เป็นที่รำลึกถึง

การเรียงลำดับเรื่องราวที่เกี่ยวเนื่องกับองค์หลวงปู่มั่น กับวัดเจดีย์หลวง ได้แบ่งออกเป็น 4 ช่วง ตามระยะเวลาและเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นนั้นดังนี้

 

1. ช่วงที่ 1 ช่วงที่ท่านเจ้าคุณอุบาลีฯ จำพรรษาที่วัดเจดีย์หลวง และองค์หลวงปู่มั่นเดินทางมาสมทบในปีพ.ศ. 2472

          เป็นช่วงเริ่มต้นที่ท่านเจ้าคุณอุบาลีฯ ขึ้นมาฟื้นฟูวัดเจดีย์หลวง ระหว่างปี พ.ศ.2471 – 2474 โดยกล่าวถึงความเป็นมาที่เจ้าคุณอุบาลีฯ ได้ขึ้นมาวัดเจดีย์หลวง การนิมนต์องค์หลวงปู่มั่นเดินทางขึ้นมาสมทบในปี พ.ศ.2472 และเปิดโอกาสให้องค์หลวงปู่มั่นได้วิเวกภาวนาส่วนองค์ ซึ่งองค์หลวงปู่มั่นได้จำพรรษากับท่านเจ้าคุณอุบาลีฯ ในปี พ.ศ.2472 ออกพรรษาแล้วท่านได้วิเวกและจำพรรษาในพื้นที่รอบๆ อำเภอเมือง ซึ่งเป็นที่ตั้งของวัดเจดีย์หลวง ซึ่งคาดว่าองค์หลวงปู่มั่น อาจจาริกเข้ามาที่วัดเจดีย์หลวงบ้าง เพื่อให้การอบรมธรรมปฏิบัติที่ท่านได้อบรมไว้อย่างต่อเนื่อง โดยเหตุแห่งการกำเนิดแห่ง "มุตโตทัย"และความเกี่ยวเนื่องกับ ครูบาศรีวิชัย ซึ่งร่วมยุคกันในขณะนั้น โดยแบ่งเป็น 8 ตอน ดังนี้

 

1.1 ประวัติวัดโบราณและเริ่มฟื้นฟูธรรมยุติโดยท่านเจ้าคุณอุบาลี

พระอุบาลีคุณูปมาจารย์ (จันทร์ สิริจนฺโท) ถ่ายที่หน้าพระวิหารหลวง วัดเจดีย์หลวง อ.เมือง จ.เชียงใหม่
(รูปจากหนังสือประวัติพระอุบาลีฯ และจากสมโภช 600 ปีฯ)

 

เกี่ยวกับประวัติวัดเจดีย์หลวง ในยุคที่ฟื้นฟูเป็นคณะธรรมยุต โดยท่านเจ้าคุณอุบาลีฯ มาจำพรรษาระหว่างปี พ.ศ.2471-2474 ในยุคนี้ ท่านได้รับตำแหน่งเป็นเจ้าอาวาสรูปที่ 1 ซึ่งพระพุทธพจน์วราภรณ์ (หลวงปู่มหาจันทร์ กุสโล) อดีตเจ้าอาวาสวัดเจดีย์หลวง รูปที่ 7 ได้บันทึกความเป็นมาไว้ ดังนี้

...มีพระมหาเถระอีกท่านหนึ่งก็ได้เป็นกำลังสำคัญ นำคณะธรรมยุตมาประดิษฐานตั้งมั่นในภาคเหนือ พระมหาเถระท่านนั้น คือ ท่านเจ้าคุณพระอุบาลีคุณูปมาจารย์ (จันทร์ สิริจันโท) วัดบรมนิวาส พระนคร ท่านเจ้าคุณพระอุบาลีฯ เมื่อยังดำรงสมณศักดิ์เป็นพระราชกวี (ระหว่าง พ.ศ.2452-2457) ได้ขึ้นมาเชียงใหม่โดยทางเรือ เข้าใจว่าคงมาพักอยู่วัดหอธรรม เวลานั้นพ่อเจ้าอินทวโรรสถึงแก่พิราลัยแล้ว ท่านเจ้าคุณพระอุบาลีฯ ได้ไปเทศน์โปรดเจ้าแม่ทิพยเนตรที่คุ้มใหม่ (ปัจจุบันเป็นบ้านคุณนายกี่ ลิ้มตระกูล)

 

ธรรมวิจยานุศาสน์ โดย ท่านเจ้าคุณอุบาลี

(รูปจาก คลังสารสนเทศดิจิทัล มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์)

 

ปี พ.ศ.2465 ท่านเจ้าคุณพระอุบาลีฯ ท่านยังดำรงสมณศักดิ์เป็นพระเทพโมลี ท่านได้ขึ้นมาเชียงใหม่เป็นครั้งที่ 2 เหตุที่ท่านขึ้นมาเชียงใหม่ครั้งนี้เนื่องจากท่านแต่งหนังสือเรื่องหนึ่งชื่อว่า "ธรรมวิจยานุศาสน์"ข้อความในหนังสือนี้ขัดต่อนโยบายรัฐประศาสน์ของประเทศ (สมัยรัชกาลที่ 6) จึงถูกถอดออกจากสมณศักดิ์ตำแหน่งพระเทพโมลี ท่านจึงถือโอกาสออกธุดงค์หาความวิเวกในภาคเหนือ

ก่อนเข้าพรรษาเดินทางไปนมัสการพระธาตุจอมยอง ที่เมืองยอง (เป็นอำเภอหนึ่งของเชียงตุง) เจ้าฟ้าเชียงตุงมีหนังสืออาราธนาไป จำพรรษาที่เชียงตุง แต่ไปไม่ทันจึงอยู่จำพรรษาที่วัดพระธาตุจอมยอง ออกพรรษาแล้วได้รับหนังสืออาราธนาจากเจ้าฟ้าเชียงตุงอีก เดือน 12 ข้างแรม เจ้าพระคุณจึงเดินทางไปเมืองเชียงตุงพร้อมด้วยพระ 3 รูป คฤหัสถ์ 2 คน ไปพักที่วัดหัวโขง (วัดหัวข่วงอยู่ใกล้บริเวณสนามหลวงของเชียงตุง) พักอยู่ได้ 15 วัน ระหว่างที่พักอยู่เชียงตุง เจ้าพระคุณได้แสดงธรรมตามบ้าน ตามวัดและในวังหลวงแทบทุกวัน เจ้าฟ้าหลวงพระมารดาและพระเทวีแสดงความเลื่อมใสมาก เจ้าฟ้าเชียงตุงถึงกับพูดว่า "ถ้าซื้อเจ้าคุณฯ ด้วยเงินได้จะขอซื้อไว้" จากนั้น เจ้าพระคุณและคณะก็เดินทางกลับกรุงเทพฯ

 

(รูปจาก กุสลมหาเถรานุสรณ์ เล่ม 1)

 

พ.ศ.2470 เจ้าพระคุณได้รับแต่งตั้งตั้งให้เป็นพระอุบาลีคุปมาจารย์แล้ว เจ้าพระคุณได้ขึ้นมาเชียงใหม่เป็นครั้งที่ 3 การขึ้นมาครั้งนี้เป็นฤดูร้อน เพื่อพักผ่อนในหน้าร้อน น้องชายของเจ้าพระคุณชื่อ พระครูศรีวรคุณ ได้ติดตามขึ้นมาด้วย ได้ขึ้นไปพักร้อนบนดอยสุเทพขณะนั้นพ่อเจ้าแก้วนวรัฐและแม่เจ้าจามรีได้ไปพักร้อนที่คุ้มบริเวณพระธาตุดอยสุเทพเช่นเดียวกัน พ่อเจ้าจึงได้อาราธนาท่านเจ้าคุณไปแสดงพระธรรมเทศนาที่คุ้ม ปรากฏว่าทั้งเจ้าพ่อเจ้าแม่และเจ้านายที่ได้สดับพระธรรมเทศนาแล้ว เกิดศรัทธาเลื่อมใสอยากจะได้เจ้าพระคุณมาจำพรรษาที่เชียงใหม่ จึงพร้อมใจกันขออาราธนา เจ้าพระคุณท่านรับที่จะมาจำพรรษาแต่ขอให้เจ้าพ่อมีหนังสือกราบทูลขออนุญาตไปที่สมเด็จพระสังฆราชเจ้ากรมหลวงชินวรศิริวัฒน์ วัดราชบพิธ เจ้าพ่อได้มีหนังสือกราบทูลขออนุญาตไปตามที่เจ้าพระคุณแนะนำ จากนั้นเจ้าพระคุณก็กลับ

เมื่อสมเด็จพระสังฆราชเจ้าได้รับหนังสือ พ่อเจ้าแก้วนวรัฐแล้ว จึงนำความขึ้นถวายพระพรพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เพื่อขอพระบรมราชานุญาต เมื่อได้รับพระบรมราชานุญาตแล้ว เจ้าพระคุณพร้อมด้วยคณะจึงเดินทางมาเพื่อจำพรรษาที่เชียงใหม่

(รูปจาก กุสลมหาเถรานุสรณ์ เล่ม 1)

 

วันที่ 27 พฤษภาคม 2471 ตรงกับวันอาทิตย์ ขึ้น 9 ค่ำเดือน 5 เป็นวันที่ท่านเจ้าคุณพระอุบาลีคุณูปมาจารย์และคณะเดินทางมาเชียงใหม่ พระภิกษุที่เป็นคณะติดตามเจ้าพระคุณมาครั้งนี้ ทั้งหมด 35 รูป เป็นพระเถระผู้ใหญ่ที่เป็นพระมหาเปรียญ 3 รูป คือพระมหาทอง (โฆสิต) พระมหาผิว พระมหาผล พระเณรนอกจากนี้เป็นพระนักเรียน คณะอุบาสกอุบาสิกาและคณะศิษย์พระอีก 50 คน เดินทางมาโดยทางรถไฟ เหมารถไฟมาโดยเฉพาะ 1 ตู้ เป็นเงิน 950 บาท ค่าชั่งสิ่งของอีก 78 บาท รวมทั้งค่าขนส่งและอาหารด้วย เป็นเงินทั้งหมด 1,062 บาท เวลา 16.00 น. (วันที่ 27 พฤษภาคม พ.ศ.2471) รถไฟออกจากสถานีกรุงเทพฯ ระหว่างทางตามสถานีรถไฟที่ผ่านมา ก็ได้รับการต้อนรับจากอุบาสกอุบาสิกาที่รู้จักคุ้นเคยเคารพนับถือเจ้าพระคุณเป็นอย่างดี

(รูปจาก กุสลมหาเถรานุสรณ์ เล่ม 1)

 

ถึงเชียงใหม่วันที่ 28 พฤษภาคม 2471 เวลา 18.00 น. ผู้ที่ไปคอยต้อนรับคือ พ่อเจ้าแก้วนวรัฐพร้อมด้วยเจ้านาย ข้าราชการ พ่อค้าประชาชนและพระสงฆ์สามเณร ต่างให้การต้อนรับอย่างอบอุ่นสถานที่พักคือ คณะหอธรรม วัดเจดีย์หลวง แต่เสนาสนะไม่พอกับจำนวนพระภิกษุสามเณรที่มา จึงต้องจัดเสนาสนะเพิ่มเติมอย่างรีบด่วน ตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา เจ้าพระคุณท่านเจ้าคุณพระอุบาลีฯ ก็ได้เริ่มบำเพ็ญศาสนกิจตามเจตจำนงที่ได้ตั้งไว้ คือ ได้ทำการเทศนาสั่งสอน เปิดโรงเรียนสอนพระปริยัตินักธรรมแผนกบาลี บูรณะซ่อมแซมเสนาสนะที่เก่าคร่ำคร่า และก่อสร้างเสนาสนะใหม่...(หลวงปู่มหาจันทร์ กุสโล)

(รูปจาก กุสลมหาเถรานุสรณ์ เล่ม 1 และสมโภช 600 ปีฯ)

 

1.2 ท่านเจ้าคุณอุบาลีฯ นิมนต์องค์หลวงปู่มั่น

          ภายหลังจากท่านเจ้าคุณอุบาลีฯ ได้ขึ้นมาจำพรรษาวัดเจดีย์หลวง ในพรรษากาล ปี พ.ศ.2471 ซึ่งเป็นปีที่หนึ่งในการฟื้นฟูวัดเจดีย์หลวง ท่านพิจารณาเห็นสมควรที่จะมีพระเถระ ที่มีความเคร่งครัดในพระธรรมวินัยและมั่นคงในทางปฏิบัติภาวนา ขึ้นมาเพื่อเป็นกำลังหลัก ในการฟื้นฟูข้อวัตรปฏิบัติให้เป็นที่เรียบร้อย และสั่งสอนด้านการภาวนาด้วย จึงได้นิมนต์องค์หลวงปู่มั่น อันมีสังฆคุณในด้านนี้ ซึ่งขณะนั้นในปี พ.ศ.2471 จำพรรษาอยู่วัดปทุมวนาราม นำไปสู่การเดินทางครั้งสำคัญขององค์ท่าน ในช่วงก่อนเข้าพรรษาปี พ.ศ.2472

ตามบันทึกประวัติองค์หลวงปู่มั่น โดยหลวงพ่อวิริยังค์ ได้บันทึกไว้ดังนี้ 


(รูปจาก กุสลมหาเถรานุสรณ์ เล่ม 1)

          ....ท่านเล่าต่อไปว่าเมื่อ พ.ศ. 2471 ท่านจำพรรษาที่วัดสระปทุม ครั้งนั้นท่านเจ้าคุณอุบาลีคุณูปมาจารย์ (สิริจนฺโท จันทร์) เจ้าอาวาสวัดบรมนิวาส ได้ไปจัดการดำเนินงานปรับปรุงวัดเจดีย์หลวงที่จังหวัดเชียงใหม่ ซึ่งเป็นวัดธรรมยุตวัดแรก เมื่อการปรับปรุงเข้ารูปเป็นที่มั่นคงพอสมควรแล้ว ท่านได้พยายามที่จะหาพระเถระผู้ทรงคุณวุฒิทั้งทางปริยัติและปฏิบัติ ให้มาเป็นสมภาร ทั้งนี้ตามความประสงค์ต้องการที่จะวางรากฐานคณะธรรมยุตขึ้นในจังหวัดเชียงใหม่ เพราะพระทางภาคนี้ ก่อนนั้นการฉันอาหารในเวลาวิกาลเขาไม่ถือว่าเป็นการผิดวินัย รู้สึกว่าวินัยจะหละหลวมมากในแถบนี้ จึงเป็นเรื่องสำคัญที่จะให้พระเถระผู้มั่นคงรอบคอบน่านับถือมาอยู่ เพื่อให้เป็นประโยชน์จริงๆ ท่านเจ้าคุณอุบาลีคุณูปมาจารย์จึงปรารภว่าควรจะเป็นท่านมั่นฯ เพราะเป็นผู้เจริญทางการปฏิบัติกัมมัฏฐาน

พระปัญญาพิศาลเถร
(หนู ฐิตปญฺโญ)
วัดปทุมวนาราม กรุงเทพฯ

(รูปจาก บุญตา แอนติค)

กุฏิพระปัญญาพิศาลเถร (หนู ฐิตปญฺโญ) องค์หลวงปู่มั่น เคยจำพรรษาที่กุฏินี้

(รูปจาก อาจาราภิวาท)

 

เมื่อออกพรรษาปี พ.ศ. 2471 - ลุมาปี พ.ศ.2472 จึงได้นิมนต์ เรา (หมายถึงพระอาจารย์มั่น ภูริทัตตเถระ) ไป ซึ่งขณะนั้นเราก็พักอยู่ที่วัดสระปทุมกับท่านเจ้าคุณปัญญาพิศาลเถระ (หนู) ให้ไปที่วัดบรมนิวาส เมื่อเราเข้าไปพบ ท่านเจ้าคุณก็บอกว่า ให้เธอไปอยู่ที่วัดเจดีย์หลวง จังหวัดเชียงใหม่ พร้อมกับแต่งตั้งให้เป็นเจ้าอาวาส เป็นพระครูฐานานุกรมของสมเด็จพระมหาสมณเจ้ากรมพระยาวชิรญาณวโรรส สมเด็จพระสังฆราชเจ้า ที่พระครูธรรมธร และตั้งเป็นพระอุปัชฌาย์ พร้อมหมดทุกอย่าง...

....เมื่อเราได้รับอาราธนาเชิงบังคับเช่นนั้นก็ขัดไม่ได้ จึงเดินทางไปที่เชียงใหม่ในปี พ.ศ.2472...(หลวงพ่อวิริยังค์ สิรินฺธโร)

          อนึ่งตามบันทึกนี้ มีรายละเอียดปลีกย่อย ที่ในอดีตข้อมูลชัดเจนอาจค้นคว้าได้ยาก กล่าวคือ ท่านเจ้าคุณอุบาลีฯ ได้ดำเนินการขอตำแหน่งฐานานุกรมใน สมเด็จพระมหาสมณเจ้ากรมพระยาวชิรญาณวโรรส นั้น เนื่องจากสมเด็จพระมหาสมณเจ้าฯ พระองค์ได้สิ้นพระชนม์ เมื่อปี พ.ศ.2464 ก่อนการเดินทางไปฟื้นฟูวัดเจดีย์หลวงถึง 7 ปี และตำแหน่งพระครูฐานานุกรม ได้อิงตามหนังสือตราตั้งพระอุปัชฌาย์ คือ พระครูวินัยธร แต่บริบทจุดประสงค์การเดินทางครั้งนี้ สอดคล้องกับเอกสารอื่นๆ

 

1.3 ภาวนาโดยสารรถไฟไปเชียงใหม่

          ล่วงเลยมาจนถึงในช่วงฤดูแล้ง ก่อนเข้าพรรษา ปี 2472 แล้ว จึงได้ร่วมเดินทางไปวัดเจดีย์หลวง กับเจ้าคุณอุบาลีฯ ด้วยพาหนะรถไฟ ระหว่างนั่งรถไฟ ท่านก็ภาวนาไปด้วย กล่าวกันว่ามีอยู่ช่วงหนึ่งท่านเข้าสมาธิสงบไปนั้น เป็นช่วงที่รถโคลงเคลงไปมา คนในรถต่างทรงตัวไม่ได้ เหวี่ยงไปมา แต่องค์หลวงปู่มั่นกลับนิ่งสงบไม่ไหวติงไปกับแรงเหวี่ยง เป็นที่สนใจของผู้โดยสารคนอื่นๆ ที่แม้จะไม่รู้จักท่านก็ตาม เมื่อรถไฟถึงปลายทางจึงรีบดูแลท่านด้วยความยินดีและต่างพยายามถามถึงความเป็นมาสถานที่ที่ท่านจะไป แต่ท่านก็พยายามไม่ให้เป็นที่จดจำ หลีกเลี่ยงชื่อเสียงที่อาจจะเข้ามา

พระอุบาลีคุณูปมาจารย์ (จันทร์ สิริจนฺโท) ได้อาราธนาองค์หลวงปู่มั่น ภูริทตฺโต มายังวัดเจดีย์หลวง อ.เมือง จ.เชียงใหม่ เพื่อเป็นกำลังในการฟื้นฟูวัดเจดีย์หลวง
(รูปจาก ฐานข้อมูล
Admin)

 

ประวัติฯ องค์หลวงปู่มั่น โดยหลวงตามหาบัว ได้บันทึกไว้ดังนี้

          ...ท่านเจ้าคุณอุบาลีฯ จะไปเชียงใหม่ ท่านนิมนต์ท่านอาจารย์ไปเชียงใหม่ด้วย ท่านเลยไปเที่ยวทางเชียงใหม่กับท่านเจ้าคุณอุบาลีฯ ขณะนั่งรถไฟไปเชียงใหม่ ท่านเล่าว่าท่านเข้าสมาธิภาวนาไปเรื่อย ๆ เกือบตลอดทาง มีพักนอนบ้าง ก็เวลารถไฟออกจากกรุงเทพฯ ไปถึงลพบุรี พอถึงอุตรดิตถ์ รถจะเริ่มเข้าเขา ท่านก็เริ่มเข้าสมาธิภาวนาแต่บัดนั้นเป็นต้นไป จนจะถึงสถานีเชียงใหม่ถึงได้ถอนจิตออกจากสมาธิ เพราะขณะจะเริ่มทำสมาธิภาวนา ท่านตั้งจิตไว้ว่า จะให้จิตถอนจากสมาธิต่อเมื่อรถไฟจวนเข้าถึงตัวเมืองเชียงใหม่ แล้วก็เริ่มปฏิบัติหน้าที่ภาวนาต่อไป โดยมิได้สนใจกับอะไรอีก

ขณะนั่งทำสมาธิไม่นาน ประมาณ 20 นาที จิตก็รวมลงสู่ความสงบถึงฐานของสมาธิอย่างเต็มที่ จากขณะนั้นแล้วก็ไม่ทราบว่ารถไฟวิ่งหรือไม่ มีแต่จิตที่แน่วลงสู่ความสงบระงับตัวจากสิ่งภายนอกทั้งมวล ไม่มีอะไรปรากฏ แม้ที่สุดกายก็ได้หายไปในความรู้สึก เป็นจิตที่ดับสนิทจากการรับรู้และรบกวนจากสิ่งต่าง ๆ เป็นเหมือนโลกธาตุไม่มีอะไรเหลืออยู่เลย ประหนึ่งได้ดับไปพร้อมกับความคิดปรุงและความสำคัญรับรู้ต่าง ๆ ของขันธ์โดยสิ้นเชิง ขณะนั้นเป็นความรู้สึกว่ากายหายไป รถไฟและเสียงรถหายไป ผู้คนโดยสารในรถไฟหายไป ตลอดสิ่งต่าง ๆ ที่เคยเกี่ยวข้องกันกับจิตได้หายไปจากความรู้สึกโดยสิ้นเชิง สิ่งที่เหลืออยู่ในเวลานั้นก็น่าจะเป็นสมาธิสมาบัติอย่างเดียวเท่านั้น เพราะในขณะนั้นมิได้สำคัญตนว่าอยู่ในที่เช่นไร

จิตทรงตัวอยู่ในลักษณะนี้ตลอดมาแต่ 20 นาทีแรกเริ่มสมาธิ จนถึงชานเมืองเชียงใหม่จึงได้ถอนตัวออกมาเป็นปกติจิต ลืมตาขึ้นมองดูสภาพทั่วไป ก็พอดีเห็นตึกรามบ้านช่องขาวดาดาษไปทุกทิศทุกทาง จากนั้นก็เริ่มออกจากที่และเตรียมจะเก็บสิ่งของบริขาร มองดูผู้คนในรถรอบ ๆ ข้าง ต่างพากันมองมา นัยน์ตาจับจ้องมองดูท่านอย่างพิศวงสงสัยไปตาม ๆ กัน รู้สึกจะเป็นที่ประหลาดใจของคนในรถไฟทั้งขบวน นับตั้งแต่เจ้าหน้าที่รถไฟลงมาไม่น้อยเลย มาทราบได้ชัดเจนเอาตอนท่านจะขนสิ่งของบริขารลงจากรถ ขณะที่รถจะถึงที่เจ้าหน้าที่รถไฟต่างมาช่วยขนสิ่งของลงรถช่วยท่านด้วยสีหน้ายิ้มแย้มแจ่มใส ทั้งที่ไม่เคยรู้จักกันมาก่อนเลย ทั้งคนโดยสารและเจ้าหน้าที่รถไฟต่างยืนมองท่านจนวาระสุดท้ายอย่างไม่กะพริบตาไปตาม ๆ กัน

แม้ก่อนจะลงจากรถก็มีเจ้าหน้าที่รถไฟและคนโดยสารมาถามท่านว่า ท่านอยู่วัดไหน และท่านจะเดินทางไปไหนต่อไป ท่านก็ได้ตอบว่าท่านเป็นพระอยู่ตามป่า ไม่ค่อยมีหลักฐานวัดวาแน่นอนนัก และตั้งใจจะมาเที่ยววิเวกตามเขาแถบนี้ เจ้าหน้าที่รถไฟและผู้โดยสารบางคนก็ถามท่านด้วยความเอื้อเฟื้อเลื่อมใสว่า ขณะนี้ท่านจะไปพักวัดไหนและมีผู้มารับหรือตามส่งหรือยัง ท่านแสดงความขอบคุณเจ้าหน้าที่รถไฟ และเรียนว่ามีผู้มารับเรียบร้อยแล้ว เพราะท่านไปกับท่านเจ้าคุณอุบาลีฯ ซึ่งเป็นพระผู้ใหญ่และเป็นที่เคารพเลื่อมใสของชาวเมืองเป็นอย่างยิ่ง นับแต่เจ้าผู้ครองนครลงมาถึงพ่อค้าประชาชน

ขณะนั้นปรากฏว่ามีผู้คนพระเณรไปรอรับท่านเจ้าคุณอุบาลีฯ อยู่คับคั่ง แม้รถยนต์ซึ่งเป็นของหายากในสมัยนั้น แต่ก็ปรากฏว่ามีรถไปรอรับอยู่หลายคัน ทั้งรถข้าราชการและพ่อค้าประชาชน รับท่านเจ้าคุณฯ จากสถานีมาวัดเจดีย์หลวง....(หลวงตามหาบัว ญาณสมฺปนฺโน)

สถานีรถไฟเชียงใหม่ในอดีต

(รูปจาก Facebook เชียงใหม่ที่ไม่เคยเห็น)

 

จากบันทึกประวัติองค์หลวงปู่มั่นฯ โดย หลวงพ่อวิริยังค์ ได้บันทึกถึงบรรยากาศวัดเจดีย์หลวง จากคำบอกเล่าขององค์หลวงปู่มั่นไว้ว่า

พระอาจารย์มั่นฯท่านเล่าว่า วัดเจดีย์หลวงเป็นวัดร้างมาแต่เดิม มาสถาปนาเป็นวัดธรรมยุตขึ้นสมัยท่านเจ้าคุณอุบาลีนี้เอง เป็นแหล่งที่มีความสงบพอสมควรไม่พลุกพล่าน มีที่สงบพอที่จะบำเพ็ญสมณธรรมได้พอสมควรขณะที่อยู่นั้นก็ได้แนะนำให้ภิกษุสามเณร อุบาสก อุบาสิกาบำเพ็ญกัมมัฏฐาน...(หลวงพ่อวิริยังค์ สิรินฺธโร)

 

1.4 ท่านเจ้าคุณอุบาลีฯ ยกย่องเทศน์เป็น มุตโตทัย

          เป็นที่ทราบกันว่า พระธรรมเทศนาของ ท่านเจ้าคุณอุบาลีฯ มีความไพเราะ สร้างความเลื่อมใสให้กับผู้ฟัง เมื่อได้สดับธรรมแล้วก็อยากจะได้ฟังอีก แต่เมื่อองค์หลวงปู่มั่น มาพำนักยังวัดเจดีย์หลวงแล้ว เจ้าคุณอุบาลีฯ กลับมอบหมายให้ องค์หลวงปู่มั่น ขึ้นแสดงธรรม ซึ่งเจ้าคุณอุบาลีฯ ได้ฟังอยู่ด้วยและยกย่องธรรมที่องค์หลวงปู่มั่นแสดงนั้นว่า "มุตโตทัย" คือ แดนเกิดแห่งความหลุดพ้น นอกจากนั้น ยังเป็นโอกาสให้ชาวเชียงใหม่ได้รู้จักและสร้างศรัทธาให้กับองค์หลวงปู่มั่น ซึ่งต่อมา "มุตโตทัย" ได้เป็นเอกลักษณ์แห่งธรรมคำสอนของท่าน

"มุตโตทัย" เกิดจากการขนานนามโดย พระอุบาลีคุณูปมาจารย์ (จันทร์ สิริจนฺโท) ต่อมาได้นำเป็นหัวข้อบันทึกธรรมะ เพื่อจัดพิมพ์ในหนังสือที่ระลึก ในการฌาปนกิจศพองค์หลวงปู่มั่น ภูริทตฺโต ในปี พ.ศ.2493

(รูปจาก คลังสารสนเทศดิจิทัล มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์)

         

จากบันทึกประวัติองค์หลวงปู่มั่น โดย หลวงตามหาบัว ได้กล่าวไว้ดังนี้

...เมื่อประชาชนทราบว่า ท่านเจ้าคุณอุบาลีฯ มาพักที่วัดเจดีย์หลวง จังหวัดเชียงใหม่ ต่างก็มากราบนมัสการเยี่ยมและฟังโอวาทท่าน ในโอกาสที่ประชาชนมามากนั้น ท่านเจ้าคุณอุบาลีฯ ได้อาราธนาท่านพระอาจารย์มั่นเป็นองค์แสดงธรรมให้ประชาชนฟัง ปรากฏว่าท่านแสดงธรรมไพเราะเพราะพริ้งจับใจท่านผู้ฟังมากมาย ไม่อยากให้จบลงง่าย ๆ เทศน์กัณฑ์นั้นทราบว่า ท่านเริ่มแสดงมาแต่ต้นอนุปุพพิกถาขึ้นไปเป็นลำดับ จนจบลงในท่ามกลางแห่งความเสียดายของพุทธศาสนิกชนที่กำลังฟังเพลิน พอเทศน์จบลง ท่านลงมากราบพระเถระ แล้วหลีกออกไปหาที่พักผ่อนตามอัธยาศัย

ขณะนั้นท่านเจ้าคุณอุบาลีฯ กล่าวชมเชยธรรมเทศนาของท่านในท่ามกลางบริษัทว่า ท่านมั่นแสดงธรรมไพเราะมาก หาผู้เสมอเหมือนได้ยาก และแสดงธรรมเป็นมุตโตทัย คือแดนแห่งความหลุดพ้น ที่ผู้ฟังไม่มีที่น่าเคลือบแคลงสงสัย นับว่าท่านแสดงได้อย่างละเอียดลออดีมาก แม้แต่เราเองก็ไม่อาจแสดงได้ในลักษณะแปลก ๆ และชวนให้ฟังเพลินไปอย่างท่านเลย สำนวนโวหารของพระธุดงคกรรมฐานนี้แปลกมาก ฟังแล้วทำให้ได้ข้อคิดและเพลินไปตาม ไม่มีเวลาอิ่มพอและเบื่อง่ายเลย

ท่านเทศน์ในสิ่งที่เราเหยียบย่ำไปมาอยู่นี่แล คือสิ่งที่เราเคยเห็นเคยได้ยินอยู่เป็นประจำ แต่มิได้สนใจคิดและนำมาทำประโยชน์ เวลาท่านเทศน์ผ่านไปแล้วถึงระลึกได้ ท่านมั่นท่านเป็นพระกรรมฐานองค์สำคัญที่ใช้สติปัญญาตามทางมรรคที่พระพุทธเจ้าทรงสอนไว้จริง ๆ ไม่นำมาเหยียบย่ำทำลายให้กลายเป็นโลก ๆ เลว ๆ ไปเสียดังที่เห็น ๆ กัน ท่านเทศน์มีบทหนักบทเบาและเน้นหนักลงเป็นตอน ๆ พร้อมทั้งการคลี่คลายความสลับซับซ้อนแห่งเนื้อธรรมที่ลึกลับ ซึ่งพวกเราไม่อาจแสดงออกมาได้อย่างเปิดเผย และสามารถแยกแยะธรรมนั้น ๆ ออกมาชี้แจงให้เราฟังได้อย่างถึงใจโดยไม่มีปัญหาอะไรเลย นับว่าท่านฉลาดแหลมคมมากในเชิงเทศนา วิธีซึ่งหาตัวจับได้ยาก อาตมาแม้เป็นอาจารย์ท่าน แต่ก็ยกให้ท่านสำหรับอุบายต่าง ๆ ที่เราไม่สามารถซึ่งมีอยู่เยอะแยะ

รูปการแสดงธรรม ณ พระวิหารหลวง วัดเจดีย์หลวง ในอดีต
(รูปจาก สมโภช 600 ปี พระธาตุเจดีย์หลวง)

 

เฉพาะท่านมั่นท่านสามารถจริง อาตมาเองยังเคยถามปัญหาขัดข้องใจที่ตนไม่สามารถแก้ได้โดยลำพังกับท่าน แต่ท่านยังสามารถแก้ได้อย่างคล่องแคล่วว่องไวด้วยปัญญา เราพลอยได้คติจากท่านไม่มีประมาณ อาตมาจะมาเชียงใหม่จึงได้นิมนต์ท่านมาด้วย ซึ่งท่านก็เต็มใจมาไม่ขัดข้อง ส่วนใหญ่ท่านอาจเห็นว่าที่เชียงใหม่เรามีป่า มีภูเขามาก สะดวกแก่การแสวงหาที่วิเวก ถึงได้ตกลงใจมากับอาตมาก็เป็นได้ เป็นแต่ท่านมิได้แสดงออกเท่านั้นเอง พระอย่างท่านมั่นเป็นพระที่หาได้ยากมาก อาตมาแม้จะเป็นผู้ใหญ่กว่าท่าน แต่ก็เคารพเลื่อมใสธรรมของท่านอยู่ภายใน ท่านเองก็ยิ่งมีความอ่อนน้อมถ่อมตนต่ออาตมามากจนละอายท่านในบางคราว ท่านพักอยู่ที่นี่พอสมควรก็ออกแสวงหาที่วิเวกต่อไป อาตมาก็จำต้องปล่อยตามอัธยาศัยท่าน ไม่กล้าขัดใจ เพราะพระจะหาแบบท่านมั่นนี้รู้สึกจะหาได้ยากอย่างยิ่ง เมื่อท่านมีเจตนามุ่งต่อธรรมอย่างยิ่ง เราก็ควรอนุโมทนา เพื่อท่านจะได้บำเพ็ญประโยชน์แก่ตนและประชาชน พระเณรในอนาคตอันใกล้นี้

ท่านผู้ใดมีข้อข้องใจเกี่ยวกับการอบรมภาวนาก็เชิญไปศึกษาไต่ถามท่าน จะไม่ผิดหวังแน่นอน แต่กรุณาอย่าไปขอตะกรุดวิชาคาถาอาคมอยู่ยงคงกระพันชาตรี ความแคล้วคลาดปลอดภัยต่าง ๆ ที่ผิดทาง จะเป็นการไปรบกวนท่านให้ลำบากโดยมิใช่ทาง บางทีท่านอาจใส่ปัญหาเจ็บแสบเอาบ้างจะว่าอาตมาไม่บอก เพราะท่านมั่นมิใช่พระประเภทนั้น ท่านเป็นพระจริง ๆ และสั่งสอนคนให้เห็นผิดเห็นถูก เห็นชั่วเห็นดีและเห็นบาปเห็นบุญจริง ๆ มิได้สั่งสอนออกนอกลู่นอกทางไปจากคลองธรรม ท่านเป็นพระปฏิบัติจริงและรู้ธรรมตามที่พระพุทธเจ้าทรงสั่งสอนไว้จริง ๆ

เท่าที่ได้สนทนาธรรมกับท่านแล้วรู้สึกได้ข้อคิดอย่างน่าอัศจรรย์ ซึ่งใคร ๆ ไม่อาจพูดได้อย่างท่านเลยเท่าที่ผ่านมาในสมัยปัจจุบัน อาตมาเคารพเลื่อมใสท่านมากภายในใจ โดยที่ท่านไม่ทราบว่าอาตมาเคารพท่าน ถ้าท่านไม่ทราบด้วยญาณเอง เพราะมิได้พูดให้ท่านฟัง ท่านเป็นพระที่น่าเคารพบูชาจริง ๆ และอยู่ในข่ายแห่งปุญฺญกฺเขตฺตํ โลกสฺส ขั้นใดขั้นหนึ่งแน่นอนไม่สงสัย แต่ท่านเองมิได้แสดงตัวว่าเป็นพระที่ตั้งอยู่ในธรรมขั้นนั้น ๆ หากพอรู้ได้ในเวลาสนทนากันโดยเฉพาะ ไม่มีใครเข้ามาเกี่ยวข้องด้วย

อาตมาเองเชื่อว่าเป็นผู้ตั้งอยู่ในอริยธรรมขั้นสามอย่างเต็มภูมิ ทั้งนี้ทราบจากการแสดงออกแห่งธรรมที่ท่านรู้เห็น แม้ท่านจะไม่บอกภูมิที่บรรลุว่าภูมินั้น ๆ แต่ก็ทราบได้อย่างไม่มีข้อสงสัย เพราะธรรมที่ท่านแสดงให้ฟังเป็นธรรมในภูมินั้น ๆ แน่นอน ไม่ผิดกับปริยัติที่แสดงไว้ ท่านเป็นพระที่มีความเคารพและจงรักภักดีต่ออาตมามากตลอดมา ไม่เคยแสดงอากัปกิริยากระด้างวางตัวเย่อหยิ่งแต่อย่างใดให้เห็นเลย นอกจากวางตัวแบบผ้าขี้ริ้ว ซึ่งเห็นแล้วอดเลื่อมใสอย่างจับใจไม่ได้ทุก ๆ ครั้งไปเท่านั้น นี่เป็นคำของเจ้าคุณอุบาลีฯ กล่าวชมเชยท่านพระอาจารย์มั่นในที่ลับหลังให้ญาติโยมและพระเณรฟัง หลังจากท่านแสดงธรรมจบลงแล้วหลีกไป

พระที่ได้ยินคำชมเชยนี้แล้วนำไปเล่าให้ท่านฟัง ท่านจึงนำเรื่องนี้มาเล่าให้คณะลูกศิษย์ฟังเวลามีโอกาสดี ๆ คำว่า "มุตโตทัย" ที่มีในชีวประวัติย่อของท่าน ซึ่งพิมพ์แจกในงานฌาปนกิจศพท่าน ก็เป็นนิมิตตกนามไปจากคำชมเชยของท่านเจ้าคุณอุบาลีฯ ครั้งนั้นสืบต่อมา ทราบว่าท่านไปพักบำเพ็ญเพียรอยู่ที่จังหวัดเชียงใหม่ เมื่อ พ.ศ. 2472 จนถึงพ.ศ. 2483 จึงได้ไปจังหวัดอุดรธานีตามคำอาราธนาของท่านเจ้าคุณธรรมเจดีย์ วัดโพธิสมภรณ์ จังหวัดอุดรธานี ....(หลวงตามหาบัว ญาณสมฺปนฺโน)

จากประวัติหลวงปู่จาม ได้กล่าวถึงเหตุที่เจ้าคุณอุบาลีฯ ยกย่องไว้ว่า

...เพื่อปลดเปลื้องความไม่พอใจของชาวศรัทธาออกไป เพราะเขาไม่พอใจว่าท่านเจ้าคุณอุบาลีฯ ก็มีลูกศิษย์ที่เป็นมหาเปรียญก็มากรูปหลายตน ทำไมเอาพระทางอีสานนักธรรมก็ไม่ได้สักนักธรรม ศึกษาเล่าเรียนก็ไม่มาก มาอยู่เป็นเค้าเป็นหลักวัด จนบางคนแสดงความไม่พอใจออกมาก็มี

แต่เมื่อได้ฟังธรรมเทศนาของเพิ่นครูบาอาจารย์มั่น (ภูริทตฺโต) แล้ว ก็เป็นอันกำราบจิตใจของเขาให้ลดพยศทิฐิมานะลงได้เมื่อชาวศรัทธาเมืองเชียงใหม่วัดเจดีย์หลวง เขาเคารพเลื่อมใสศรัทธา ยินดี พออกพอใจแล้ว ท่านเจ้าคุณอุบาลีฯ ก็แต่งตั้งให้เป็นพระอุปัชฌาย์ ให้ได้เป็นพระครูวินัยธร บวชพระบวชเณรได้...(พระธมฺมทโร ครูบาแจ๋ว หน้า 181-182)

 

1.5 จากวัดเจดีย์หลวงออกวิเวกภาวนา

          ในพรรษากาลปี พ.ศ.2472 ท่านเจ้าคุณอุบาลีฯ ยังคงจำพรรษาและปฏิบัติหน้าที่เจ้าอาวาสวัดเจดีย์หลวง เป็นพรรษาที่ 2 สำหรับองค์หลวงปู่มั่นได้ร่วมจำพรรษากับเจ้าคุณอุบาลีฯ เป็นพรรษาแรกร่วมกับท่านเจ้าคุณอุบาลีฯ (จากประวัติองค์หลวงปู่มั่น โดย พระอริยคุณาธาร) ออกพรรษาแล้วจึงได้ขออนุญาตท่านเจ้าคุณอุบาลีออกวิเวกและจำพรรษาในสถานที่อื่น เพื่อทำความรู้แจ้งในส่วนขององค์ท่านเอง โดยในระยะนี้ท่านอยู่ในพื้นที่ใกล้เคียงกับวัดเจดีย์หลวง ได้แก่ อ.แม่แตง อ.แม่ริม อ.สันกำแพง อ.เชียงดาว และอ.สันทราย เป็นต้น ซึ่งคาดว่าองค์หลวงปู่มั่น อาจจาริกเข้ามาที่วัดเจดีย์หลวงบ้างเพื่อให้การอบรมธรรมปฏิบัติที่ท่านได้อบรมไว้อย่างต่อเนื่อง จากบันทึกต่างๆ ได้ให้รายละเอียดไว้ดังนี้


วัดเจดีย์หลวง อ.เมือง จ.เชียงใหม่
(รูปจาก สมโภช 600 ปี พระธาตุเจดีย์หลวง)

 

...ส่วนภายในจิตใจ...ของเพิ่นอาจารย์มั่น (ภูริทตฺโต) นั้นรู้ถึงกันอยู่ว่ากิจของเพิ่นครูอาจารย์มั่น (ภูริทตฺโต) ยังอยู่ และท่านเจ้าคุณพระอุบาลีฯ ก็รู้แก่ใจภายในว่าเหมือนกับการปล่อยเสือเข้าป่า เพราะธรรมชาติของเสือต้องอยู่ป่า เพิ่นครูอาจารย์มั่น (ภูริทตฺโต) เป็นพระธุดงคกรรมฐานก็ต้องเข้าป่าแน่นอน เหตุนี้จึงได้บอกว่า "ท่านมั่นเห็นตัวเองมาแล้ว แต่ยังไม่แจ้งในตนเอง แล้วอย่าได้กังวลกับผมนะ เพราะผมนี้อายุมากแล้ว ผมรักษากาย วาจา ใจของผมได้ถึงสุขแล้ว" (พระธมฺมธโร ครูบาแจ๋ว หน้า 181-182)

          ...ท่านพักอยู่วัดเจดีย์หลวง จังหวัดเชียงใหม่ พอสมควรแล้ว ก็กราบลาท่านเจ้าคุณอุบาลีฯ เพื่อไปเที่ยวแสวงหาที่วิเวกตามอำเภอต่าง ๆ ที่มีป่ามีเขามาก ท่านเจ้าคุณอุบาลีฯ ก็อนุญาตตามอัธยาศัย ท่านเริ่มออกเที่ยวครั้งแรกที่จังหวัดเชียงใหม่ ทราบว่าท่านไปเที่ยวองค์เดียว จึงเป็นโอกาสอันเหมาะอย่างยิ่ง ที่ช่วยให้ท่านมีตนเป็นผู้เดียวในการบำเพ็ญเพียรอย่างสมใจที่หิวกระหายมานาน นับแต่สมัยที่อยู่เกลื่อนกล่นกับหมู่คณะมาหลายปี เพิ่งได้มีเวลาเป็นของตนในคราวนั้น ทราบว่าท่านเที่ยววิเวกไปทางอำเภอแม่ริม เชียงดาว เป็นต้น เข้าไปพักในป่าในเขาตามนิสัย ทั้งหน้าแล้งหน้าฝน...(หลวงตามหาบัว ญาณสมฺปนฺโน)

          ...ท่านเล่าว่าเมื่อออกพรรษาไปในปีที่แล้วก็เดินธุดงค์จากวัดเจดีย์หลวง เพื่อไปแสวงหาความสงบต่อไป ซึ่งตั้งใจว่าจะกลับมาแนะนำสั่งสอนประชาชนในเมืองเป็นครั้งคราว เพื่อให้ประชาชนชาวเมืองได้รับความรู้เกี่ยวกับการปฏิบัติตามสมควร ท่านจึงมุ่งหน้าไปอำเภอสันทราย อำเภอนี้ไม่ไกลจากหัวเมืองเชียงใหม่เท่าใดนัก แต่ก็ลำบากมิใช่น้อยเพราะไม่มีถนนรถยนต์ ใช้การเดินเท้าตลอดตามที่ต่าง ๆ ก็มีหมู่บ้านเล็ก ๆ เป็นแห่งๆ ไป ท่านเล่าต่อไปว่า พยายามหลีกเลี่ยงหมู่บ้านใหญ่ ๆ เพราะกลัวคนจะมารบกวน จึงพยายามหาที่สงบ เมื่อเห็นว่าสถานที่สงบดีก็พักอยู่นาน แต่เมืองเชียงใหม่นี้มาลาเรียชุมนัก มักเล่นงานเอาท่านหลายครั้ง ทั้งยาก็หายาก ใช้ยาสมุนไพรแก้ไขกันไปตามเรื่อง บางครั้งก็ต้องใช้กำลังใจกำจัดมันก็หายไปได้... (หลวงพ่อวิริยังค์ สิรินฺธโร)

         

1.6 สองสหายธรรมญัติธรรมยุต

หลวงปู่แหวน สุจิณฺโณ กับหลวงปู่ตื้อ อจลธมฺโม ท่านทั้งสองเป็นสหธรรมมิกกันมาตั้งแต่ยังสังกัดคณะสงฆ์มหานิกายภายหลังท่านทั้งสอง ได้ญัติเป็นธรรมยุต โดยมีพระอุปัชฌาย์รูปเดียวกัน คือ พระอุบาลีคุณูปมาจารย์ (จันทร์ สิริจนฺโท) กระทำพิธี ณ พัทธสีมา วัดเจดีย์หลวง อ.เมือง จ.เชียงใหม่
(รูปจาก นิตยสารโลกทิพย์)

 

หลวงปู่แหวน สุจิณฺโณ กับหลวงปู่ตื้อ อจลธมฺโม เป็นสหธรรมมิกสนิทสนมกันมาตั้งแต่ท่านทั้งสองยังมีสังกัดในคณะสงฆ์มหานิกาย

กล่าวกันว่า พระที่ได้คัดเลือกให้เดินทางขึ้นมา พร้อมกับท่านเจ้าคุณพระอุบาลีฯ หนึ่งในนั้นมี หลวงปู่แหวน สุจิณฺโณ ได้ติดตามขึ้นมาด้วย ซึ่งขณะนั้นทั้งยังสังกัดคณะสงฆ์มหานิกาย เมื่อถึงเชียงใหม่แล้ว ท่านเจ้าคุณอุบาลีฯ พิจารณาเหมาะสม จึงได้ให้หลวงปู่แหวน ญัติเป็นธรรมยุต ณ พัทธสีมาวัดเจดีย์หลวง โดยมี ท่านเจ้าคุณอุบาลีฯ เป็นพระอุปัชฌาย์

ซึ่งต่อมา หลวงปู่ตื้อ ก็ได้ญัติเป็นธรรมยุต โดย ท่านเจ้าคุณอุบาลีฯ เป็นพระอุปัชฌาย์ ณ วัดเจดีย์หลวง เช่นเดียวกัน

 

1.7 จากความทรงจำพระมหาเปรียญสอนปริยัติธรรม

          พระราชเมธาจารย์ (หลวงปู่มหาผิว ฐิตเปโม) อดีตเจ้าบวรมงคล เขตบางพลัด กรุงเทพฯ ท่านเกิดเมื่อปี พ.ศ.2441 อุปสมบทเมื่อปี พ.ศ.2462 โดยมี ท่านเจ้าคุณอุบาลีฯ เป็นพระอุปัชฌาย์ สำเร็จการศึกษาเปรียญธรรม 7 ประโยคเป็นหนึ่งในพระมหาเปรียญ ที่ติดตามท่านเจ้าคุณอุบาลีฯ ขึ้นไปฟื้นฟูวัดเจดีย์หลวงในระยะแรก ปฏิบัติงานในช่วงปี พ.ศ.2471 – 2475 ภายหลังเจ้าคุณอุบาลีฯ มรณภาพ จึงได้กลับมาวัดบรมนิวาส และเป็นเจ้าอาวาสวัดบวรมงคล ในปี พ.ศ.2477 และมรณภาพในปี พ.ศ.2538 อายุได้ 97 ปี

พระราชเมธาจารย์ (ผิว ฐิตเปโม) วัดบวรมงคล เขตบางพลัด กรุงเทพฯ หนึ่งในครูสอนปริยัติธรรม ที่ขึ้นมาเริ่มต้นฟื้นฟูการศึกษาวัดเจดีย์หลวง

(รูปจาก ที่ระลึกงานพระราชทานเพลิงศพพระราชเมธาจารย์ และ สุริยาส่องฟ้า จันทร์ศรีส่องธรรม)

 

          หลวงปู่มหาผิว ได้เคยเล่าไว้ว่า ท่านเคยได้ติดตามท่านเจ้าคุณอุบาลีฯ ออกธุดงค์ และยังติดตามมาอยู่เชียงใหม่เป็นเวลา 6 ปี

          ในช่วงที่อยู่เชียงใหม่นี้เอง ได้พบกับ หลวงปู่แหวน ในขณะนั้นยังเป็นพระสงฆ์สังกัดมหานิกาย เคยได้ร่วมธุดงค์ตามที่ต่างๆ ด้วยกัน 2 ครั้ง แบกกลดช่วยกันและกัน

หลวงปู่แหวน สุจิณฺโณ กับพระราชเมธาจารย์ (ผิว ฐิตเปโม) เคยธุดงค์ร่วมกัน เมื่อครั้งยังอยู่ที่ จ.เชียงใหม่
(รูปจาก คุณกมล นิลปาน และ ที่ระลึกงานพระราชทานเพลิงศพพระราชเมธาจารย์)

 

          สำหรับองค์หลวงปู่มั่นนั้น ท่านไม่ค่อยจะยุ่งกับหมู่คณะเท่าไร ฉะนั้นผู้ที่ติดตามไปเป็นหมู่คณะ เวลาเข้าพรรษา จึงอยู่ร่วมกันที่วัดเจดีย์หลวง อยู่กันตามกุฏิต่างๆ ที่ในตอนนั้นมีลักษณะเป็นกระท่อม อยู่รอบๆ วัดเจดีย์หลวง...ในช่วงที่อยู่เชียงใหม่ ท่านได้มีโอกาสพบกับหลวงปู่มั่น จำพรรษาร่วมกันเป็นเวลา 2 ปี ส่วนจะเป็นปีไหนนั้น ท่านบอกว่าจำไม่ค่อยได้ วันที่หลวงพ่อมีโอกาสได้พบกับหลวงปู่มั่น ตั้งแต่ปีแรกที่ขึ้นไปอยู่เชียงใหม่ แต่ท่านก็ไม่ค่อยได้จำพรรษาอยู่ที่วัดเจดีย์หลวงเท่าไรนัก โดยมากจะไปจำพรรษาที่อื่น เป็นพระป่า ... ท่านเจ้าคุณอุบาลีฯ ได้ให้หลวงปู่มั่น ขึ้นไปจำพรรษาไปอยู่ที่ อ.สันกำแพง ....จำพรรษาที่สันกำแพงบ้าง ที่ป่าบ้าง...ไม่ค่อยจะไปยุ่งกับใคร... (หนังสืออนุสรณ์ในงานพระราชทานเพลิง พระราชเมธาจารย์ (ผิว ฐิตเปโม) วันที่ 3 มิถุนายน พ.ศ.2538)

 

1.8 เกี่ยวเนื่องกับครูบาศรีวิชัย

          ระหว่างปี พ.ศ.2467-2478 ครูบาศรีวิชัย ได้รับอาราธนามาพำนักและจำพรรษา ณ วัดพระสิงห์ (ภายหลังได้รับพระราชทานยกฐานะเป็นพระอารามหลวงชั้นเอก ชนิดวรมหาวิหาร เมื่อปี พ.ศ. 2483) อ.เมือง จ.เชียงใหม่ เพื่อทำการฟื้นฟูบูรณะวัดวาอาราม ปูชนียสถาน ถาวรวัตถุต่างๆ ในเขตจังหวัดเชียงใหม่ และจังหวัดใกล้เคียง ซึ่งเป็นระยะเวลาเดียวกันกับท่านเจ้าคุณพระอุบาลีฯ ได้ขึ้นมาฟื้นฟูวัดเจดีย์หลวง และช่วงต้นที่องค์หลวงปู่มั่นได้มาวิเวกยังภาคเหนือ

พระอุบาลีคุณูปมาจารย์
(จันทร์ สิริจนฺโท)
(รูปจาก ฐานข้อมูล
Admin)

องค์หลวงปู่มั่น ภูริทตฺโต
(รูปจาก ฐานข้อมูล Admin)

ครูบาศรีวิชัย สิริวิชโย

(รูปจาก คุณกมล นิลปวน)

ท่านทั้งสามรูป ร่วมยุคกันเมื่อครั้งยังจำพรรษาในเขตเชียงใหม่ มีเรื่องเล่าจากผู้เคยใกล้ชิดว่า ท่านได้เคยพบกัน

 

          ความสัมพันธ์ของครูบาอาจารย์ทั้งสามรูป จากการเปิดเผยของ พระมงคลวุฒาจารย์ (ดวงจันทร์ กนฺตสีโล) อดีตเจ้าอาวาสวัดเม็งรายมหาราช จ.เชียงราย ท่านเกิดเมื่อปี พ.ศ.2457 ได้ฝากตัวเป็นศิษย์วัดเจดีย์หลวงและบรรพชาเป็นสามเณรเมื่อปี พ.ศ.2472 สามเณรดวงจันทร์ได้มีโอกาสอยู่รับใช้ใกล้ชิดเจ้าคุณพระอุบาลีฯ โดยตลอด เมื่อเจ้าคุณอุบาลีฯ เดินทางกลับกรุงเทพฯ สามเณรดวงจันทร์จึงลาสิกขา ในปี พ.ศ.2474 ต่อมาปี พ.ศ.2500 ได้กลับมาบรรพชาอุปสมบทที่วัดเจดีย์หลวงอีกครั้ง ได้ย้ายไปจำพรรษาวัดเม็งรายมหาราช เมื่อปี พ.ศ.2506 ได้รับพระราชสมณศักดิ์ที่ "พระมงคลวุฒาจารย์" เมื่อปี พ.ศ.2535 และมรณภาพในปี พ.ศ.2538 ซึ่งบันทึกโดย ส.กวีวัฒน์ ดังนี้

พระมงคลวุฒาจารย์ (ดวงจันทร์ กนฺตสีโล) วัดเม็งรายมหาราช จ.เชียงราย และรูปในอดีตเมื่อเป็น สามเณรดวงจันทร์ สุริยา ซึ่งเป็นช่วงที่มีโอกาสรับใช้ใกล้ชิด ท่านเจ้าคุณอุบาลีฯ และอยู่ในเหตุการณ์ที่ ครูบาศรีวิชัย ได้มากราบท่านเจ้าคุณอุบาลีฯ ต่อมาเจ้าคุณอุบาลีฯ ได้หาโอกาสไปเยี่ยมครูบาศรีวิชัย เป็นการตอบแทน
(รูปจาก กุสลมหาเถรานุสรณ์ เล่ม 1 และ จารึกไว้ในลานนา)

 

          จากการที่เป็นผู้รับใช้ใกล้ชิด ท่านเจ้าคุณอุบาลีฯ ตั้งสามเณรของสามเณรดวงจันทร์นั้น

          เรื่องแรก ช่วงปี พ.ศ.2473 ขณะที่สามเณรดวงจันทร์ อยู่อุปัฏฐากรับใช้ ท่านเจ้าคุณอุบาลีฯ อยู่นั้น ท่านเจ้าคุณอุบาลีฯ ตั้งใจตระเตรียมว่าจะไปเยี่ยมครูบาฯ ที่วัดพระสิงห์ถึง 2 ครั้ง 2 ครา ครูบาเจ้าฯ ก็จะชิงมากราบคารวะท่านเจ้าคุณอุบาลีฯ ณ ที่วัดเจดีย์หลวงก่อนทุกครั้งไป พร้อมกับให้คนขนเอาข้าวสาร อาหารแห้ง พืชผักต่างๆ มาถวายด้วย (ปฏิปทาบูรพาจารย์ ผู้นำจิตวิญญาณล้านนา โดย ส.กวีวัฒน์)

          เรื่องการรู้จิตใจนี้ สอดคล้องกับที่กล่าวไว้ในประวัติ หลวงปู่จาม มหาปุญฺโญ ได้กล่าวไว้ว่า

          "ท่านอาจารย์ตื้อ (อจลธมฺโม) เล่าให้ฟังว่า "ครูบาศรีวิชัย (สิริวิชโยภิกฺขุ) ท่านเทศน์น้อย แต่รู้จักความนึกคิดคน รู้ได้ไกล เจริญแต่คาถาอิติปิโสฯ อยู่เป็นนิจ..." (พระธมฺมธโร ครูบาแจ๋ว, หน้า 177)

ครูบาศรีวิชัย สิริวิชโย ถ่าย ณ วัดพระสิงห์ อ.เมือง จ.เชียงใหม่ ซึ่งน่าจะเป็นช่วงเวลาใกล้เคียงกับที่ครูบาศรีวิชัย ได้พบกับ ท่านเจ้าคุณอุบาลีฯ

(รูปจาก คุณกมล นิลปวน กุสลมหาเถรานุสรณ์ เล่ม 1)

 

สุดท้าย ท่านเจ้าคุณอุบาลีฯ ก็หาโอกาสไปเยี่ยม ครูบาเจ้าฯ เป็นการตอบแทน ก่อนที่จะเดินทางกลับกรุงเทพฯ

เรื่องที่สอง ท่านเจ้าคุณอุบาลีฯ สนใจใคร่รู้ถึงภูมิธรรมและปฏิปทาตามวิถีทางที่พระครูบาศรีวิชัยดำเนินอยู่ จึงได้สอบถามพระอาจารย์มั่น ซึ่งท่านได้กราบเรียนพระเดชพระคุณให้ทราบว่า "พระศรีวิชัยองค์นี้เป็นพระโพธิสัตว์ ปรารถนาพระโพธิญาณ ขณะนี้กำลังบำเพ็ญเพียรสร้างสมบารมีอยู่ ซึ่งต้องเวียนว่ายตายเกิดในวัฏสงสารอีกนาน จนกว่าการสั่งสมบารมีธรรมจะบริบูรณ์" (ปฏิปทาบูรพาจารย์ ผู้นำจิตวิญญาณล้านนา โดย ส.กวีวัฒน์)

เรื่องนี้ สอดคล้องกับที่กล่าวไว้ในประวัติ หลวงปู่จาม มหาปุญฺโญ ได้กล่าวไว้ว่า

"...ทีแรกครูบาอาจารย์มั่น (ภูริทตฺโต) จะสอนวิปัสสนากรรมฐานบอกอุบายธรรมให้ แต่เมื่อท่านเจ้าคุณพระอุปัชฌาย์ท่านให้พิจารณา จึงรู้ได้ว่า ยังไม่อาจที่จะบรรลุมรรคผลได้ แต่จะได้ด้วยตนของครูบาเจ้าเอง เป็นอิติปิโสฯ ได้เอง" (พระธมฺมธโร ครูบาแจ๋ว)

ขอขอบคุณ
คุณบุ๊ค คุณแอน คุณกุ่ย คุณแจน ช่วยอ่านตรวจแก้ตัวอักษา
บุญตาแอนติค และ คุณกมล นิลปาน อนุเคราะห์รูปครูบาอาจารย์
คลังสารสนเทศดิจิทัล มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ อนุเคราะห์ข้อมูล
โครงการท่องเที่ยวโดยชุมชน ตามรอยองค์หลวงปู่มั่น ภูริทัตโต อุปถัมป์การดำเนินการรวบรวมข้อมูล
หากมีข้อผิดพลาดประการใด Admin กราบขออภัยไว้ ณ ที่นี้

อ้างอิง

1) ประวัติพระอาจารย์มั่น ภูริทตฺตเถร โดย หลวงปู่มหาบัว ญาณสมฺปนฺโณ พ.ศ. 2547

2) ประวัติหลวงปู่มั่นฉบับสมบูรณ์ โดย หลวงพ่อวิริยังค์ ฯ พ.ศ.2541

3) หนังสือที่ระลึกในงานพระราชทานเพลิง พระญาณวิศิษฏ์ (พระอาจารย์สิงห์ ขนฺตยาคโม) โดย พระอริยคุณาธาร พ.ศ. 2505

4) อัตตโนประวัติ พระราชนิโรธรังสีคัมภีรปัญญาวิศิษฏ์ ลายมือหนังสือธรรมของ พระอาจารย์ฝั้น อาจาโร วงศ์ธรรมยุติในภาคอีสาน โดย หลวงปู่เทศก์ เทสรํสี พ.ศ.2539

5) อาจาราภิวาท อนุสรณ์ พระอาจารย์ฝั้น อาจาโร พ.ศ.2520

6) ตามรอยธุดงควัตร พระอาจารย์เสาร์ กนฺตสีโล โดย ธิดาวรรณ-พิศิษฐ์ ไสยสมบัติ พ.ศ. 2546

7) ชีวประวัติพระคุณเจ้าหลวงปู่ชอบ ฐานสโม, ฉบับปรับปรุง พศ.2535

8) จนฺทปชฺโชตเถรปูชา ที่ระลึกในงานพระราชทานเพลิงศพ สมเด็จพระมหามุนีวงศ์ (สนั่น จนฺทปชฺโชโต) วันที่ 7 มิถุนายน พ.ศ.2542

9) ทางสู่สันติ อนุสรณ์ในงานฌาปนกิจศพ พระอาจารย์กงมา จิรปุญฺโญ วันที่ 3 มีนาคม พ.ศ.2506

10) ธรรมประวัติ หลวงปู่จาม มหาปุญฺโญ ผู้มากมีบุญ โดย พระธมฺมธโร ครูบาแจ๋ว พ.ศ.2555

11) บทความ "คณะธรรมยุตติกนิกายภาคเหนือ" โดย พระวินัยโกศล (ภายหลัง คือ พระพุทธพจน์วราภรณ์ (หลวงปู่มหาจันทร์ กุสโล))  จากหนังสือ สมโภช 600 ปี พระธาตุเจดีย์หลวง พ.ศ.2538

12) บทความ "ปฏิปทาบูรพาจารย์ ผู้นำจิตวิญญาณล้านนา" โดย ส.กวีวัฒน์ จากหนังสือ จารึกไว้ในล้านนา พ.ศ.2563

13) บทความ "หลวงปู่มั่นกับดอยสุเทพ" โดย ส.กวีวัฒน์ จากหนังสือ จารึกไว้ในล้านนา พ.ศ.2563

14) บทความ "บวชให้รูปเดียวพอ" โดย ส.กวีวัฒน์ จากหนังสือ จารึกไว้ในล้านนา พ.ศ.2563

15) พันทุลาภิบูชา คณะศิษยานุศิษย์อุทิศบูชาคุณานุคุณ ในงานพระราชทานเพลิงศพ พระธรรมเจดีย์ (จูม พนฺธุโล) วันอาทิตย์ที่ 2 มิถุนายน พ.ศ.2506

16) บูรพาจารย์ โดย สุกัญญา มกุฏอรฤดี, ณิชารีย์ แก้วพรรณา พ.ศ.2549

17) ประชุมปกรณัม ภาคที่ 5 นนทุกปกรณัม โดย ราชบัณฑิตยสภา พระโสภณอักษรกิจ พิมพ์สนองคุณในงานพระราชทานเพลิงศพ ท่านน้อย เปาโรหิตย์ มารดาเจ้าพระยามุขมนตรี เมื่อปีมะแม พ.ศ.2474

18) หนังสืออนุสรณ์ในงานพระราชทานเพลิง พระราชเมธาจารย์ (ผิว ฐิตเปโม) วันที่ 3 มิถุนายน พ.ศ.2538

19) ทางสู่สันติ และประวัติพระครูอุดมธรรมคุณ (ทองสุก สุจิตฺโต) พิมพ์เป็นอนุสรณ์ในงานฌาปนกิจศพพระครูอุดมธรรมคุณ (ทองสุก สุจิตฺโต) วันที่ 1 กุมภาพันธ์ พ.ศ.2509 โดย พระครูญาณวิริยะ (หลวงพ่อวิริยังค์ สิรินฺธโร)

20) หลวงปู่เหรียญ วรลาโภ จัดพิมพ์เป็นธรรมบรรณาการ เนื่องในการเสด็จพระราชทานเพลิงศพ พระสุธรรมคณาจารย์ (หลวงปู่เหรียญ วรลาโภ) วันที่ 14 ธันวาคม พ.ศ.2552

21) หลวงปู่เจี๊ยะ จุนฺโท พระผู้เป็นดั่งผ้าขี้ริ้วห่อทอง ฉบับสมบูรณ์ เนื่องในพิธีพระราชทานเพลิงศพ วันพฤหัสบดีที่ 23 ธันวาคม พ.ศ.2547 โดย พระมหาธีรนาถ อคฺคธีโร

22) ญาณสัมปันนธัมมานุสรณ์ อนุสรณ์ในงานพระราชทานเพลิงฯ พระธรรมวิสุทธิมงคล (หลวงตาพระมหาบัว ญาณสัมปันโน)

23) บทความ "สามสมเด็จศิษย์หลวงปู่มั่น" โดย Admin เพจ แฟนพันธุ์แท้ศิษย์หลวงปู่มั่น, พ.ศ.2563

< ตอนก่อนหน้า : ตอนต่อไป >