ตามรอยองค์หลวงปู่มั่น ภูริทัตโต

ร่วมเดินไปยังสถานที่ที่เกี่ยวเนื่อง กับองค์หลวงปู่มั่น ภูริทตฺโต พร้อมเรื่องราวความสำคัญ ศิษยานุศิษย์ที่เข้ามาฝากตัว เป็นสานุศิษย์ถักทอสู่ "กองทัพธรรมพระกรรมฐาน" โดยเว็บมาสเตอร์ www.luangpumun.org และสุดยอดแฟนพันธุ์แท้ ศิษยานุศิษย์หลวงปู่มั่น ภูริทัตโต จากรายการ แฟนพันธุ์แท้ 2018

เมนูหลัก ตามรอยองค์หลวงปู่มั่น คลิ๊ก

รับสมณศักดิ์ด้วยความเคารพ สละเพื่อทำให้เห็นแจ้ง
วัดเจดีย์หลวง อ.เมือง จ.เชียงใหม่ (ตอนที่
2)
ตามรอยธรรมองค์หลวงปู่มั่น ภูริทตฺโ ตอนที่ 30

รวมรูปหลวงปู่มั่นเดี่ยว - OneDrive - Google Chrome

องค์หลวงปู่มั่น ภูริทตฺโต พระบูรพาจารย์ใหญ่กองทัพธรรมพระกรรมฐาน ท่านได้ทำให้เห็นถึงความความเคารพในครูบาอาจารย์ โดยรับภาระเป็นเจ้าอาวาสวัดเจดีย์หลวง จากท่านเจ้าคุณอุบาลีฯ เมื่อถึงเวลาอันเหมาะสม ก็ไม่ยึดติดในตำแหน่งลาภยศ สละออกเพื่อแสวงโมกขธรรมสมบูรณ์แล้วจึงรับภาระปกครองอบรมหมู่คณะ ให้เห็นธรรมะเช่นเดียวกับองค์ท่าน
(รูปจาก ฐานข้อมูล
Admin)

 

 

2. ช่วงที่ 2 เดินทางขึ้นจากกรุงเทพฯ เข้าจำพรรษาวัดเจดีย์หลวง รับตำแหน่งเจ้าอาวาส ปี พ.ศ.2475

          เป็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ภายหลังจากออกพรรษากาลปี พ.ศ.2474 – ออกพรรษากาลปี พ.ศ.2475 ซึ่งคาดว่าท่านได้รับมอบหมายจาก ท่านเจ้าคุณอุบาลีฯ ขึ้นรักษาการตำแหน่งเจ้าอาวาสวัดเจดีย์หลวง รูปที่ 2 สืบต่อจากท่านเจ้าคุณอุบาลีฯ ที่ขณะนั้นกำลังอาพาธอยู่ องค์หลวงปู่มั่นได้รับหน้าที่ไว้ประมาณ 1 ปี จึงสละออก โดยการออกจาริกในป่าลึกถึงแถบเชียงราย ภายหลังจากออกพรรษากาลปี พ.ศ.2475 แล้วประมาณ 1 เดือน เพื่อภาวนาให้รู้แจ้ง เป็นแบบอย่างของสมณะผู้ข้ามวัฏฏะ มีรายละเอียดบันทึกในช่วงที่ท่านดำรงตำแหน่งเจ้าอาวาส ได้แก่ หน้าที่พระอุปัชฌาย์ การอบรมพระสงฆ์ภายในวัด โดยมีรายละเอียด ดังนี้

 

2.1 เข้ากรุงเทพฯ พักวัดบรมนิวาส เยี่ยมท่านเจ้าคุณอุบาลีฯ และร่วมงานพระราชทานเพลิงศพท่านน้อย เปาโรหิตถ์

พระอุบาลีคุณูปมาจารย์ (จันทร์ สิริจนฺโท)

ถ่ายในช่วงอาพาธ ก่อนมรณภาพ

(รูปจาก เพจวัดบรมนิวาส)

 

          ภายหลังออกจากวัดเจดีย์หลวงแล้ว องค์หลวงปู่มั่นได้จาริกจำพรรษา ปี พ.ศ.2473  ณ วัดพระธาตุจอมแตง อ.แม่ริม จ.เชียงใหม่ ปี พ.ศ.2474  ณ วัดอรัญญวิเวก บ้างปง อ.แม่แตง จ.เชียงใหม่ ออกพรรษาแล้วปลายปี พ.ศ.2474 นั้น ท่านได้เดินทางลงมากรุงเทพฯ ด้วยสองภารกิจ คือ

ภารกิจแรก มาเยี่ยมท่านเจ้าคุณอุบาลีฯ ที่อาพาธขาหัก (ประสบอุบัติเหตุในวันที่ 12 พฤศจิกายน พ.ศ.2474)

ภารกิจที่สอง ท่านมาในงานพระราชทานเพลิงศพ ท่านน้อย เปาโรหิตถ์ (พระราชทานเพลิงวันที่ 26 พฤศจิกายน 2474)  ผู้ที่ศรัทธาท่านมาตั้งแต่เมื่อครั้งงานผูกพัทธสีมา วัดโพธิสมภรณ์ อ.เมือง จ.อุดรธานี ซึ่งทำพิธีผูกพัทธสีมาในวันที่ 6-9 มีนาคม พ.ศ.2467 แต่ถ้าหากนับแบบปัจจุบัน จะอยู่ในปี พ.ศ.2468 (ข้อมูลจาก พันธุลาภิบูชา คณะศิษยานุศิษย์อุทิศบูชาคุณานุคุณในงานพระราชทานเพลิงศพ พระธรรมเจดีย์ (พนฺธุโล จูม) ณ เมรุวัดโพธิสมภรณ์ จังหวัดอุดรธานี วันอาทิตย์ 2 มิถุนายน 2506) ซึ่งจะเห็นได้ว่าทั้งสองเหตุการณ์อยู่ในระยะใกล้เคียงกัน องค์หลวงปู่เทสก์ได้บันทึกถึงที่มาแห่งความศรัทธาของท่านน้อย ไว้ดังนี้

ท่านน้อย เปาโรหิตย์ ผู้เป็นอุปฐายิกาฯ ที่องค์หลวงปู่มั่น เมตตาลงมาในงานบำเพ็ยกุศลฯ

เจ้าพระยามุขมนตรี (อวบ เปาโรหิตย์)

บุตรของท่านน้อย

(รูปจาก คลังสารสนเทศดิจิทัล มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์)

 

          ...พอดีท่านอาจารย์มั่นสั่งให้เรา (หลวงปู่เทสก์) เดินทางไปพบท่านที่อำเภอท่าบ่อ เราจึงได้ลาท่านอาจารย์สิงห์ไปตามคำสั่งของท่าน พอดีมาพบท่านอาจารย์มั่น กับพระอาจารย์เสาร์ซึ่งได้รับนิมนต์จากวัดโพธิสมภรณ์ อุดรฯ ขณะนั้นคุณยายน้อย มารดาพระยาราชนุกุล (คือ ท่านน้อย สำหรับ พระยาราชนุกุลราชทินนามเต็ม คือ พระยาราชนุกูลวิบูลยภักดี ต่อมาคือ เจ้าพระยามุขมนตรี (อวบ เปาโรหิตถ์) Admin) มาในงานผูกพัทธสีมาวัดโพธิสมภรณ์ คุณยายน้อยได้พบ และฟังเทศน์ท่านอาจารย์มั่น ครั้งนี้เป็นครั้งแรก เกิดความเลื่อมใสตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา... (หลวงปู่เทสก์ เทสรํสี)

ภาพเมรุหลวงอิสริยยศ ณ วัดเทพศิรินทราวาส หลังเดิม

(รูปจาก เพจล้านนาประเทศ)

 

          องค์หลวงปู่มั่น ได้พักอยู่ที่วัดบรมนิวาส เพื่อมาเยี่ยมเจ้าคุณอุบาลีฯ และร่วมในงานพระราชทานเพลิงศพท่านน้อย เปาโรหิตถ์ ซึ่งในโอกาสนั้นมีท่านพ่อลี ธมฺมธโร ได้อยู่ร่วมในเหตุการณ์ จนได้ติดตามองค์หลวงปู่มั่น ขึ้นมาจำพรรษายังวัดเจดีย์หลวง โดยมีรายละเอียดตามบันทึกในประวัติท่านพ่อลี ดังนี้

 


พระอุบาลีคุณูปมาจารย์ (จันทร์ สิริจนฺโท)
(รูปจาก กลุ่มพระกริ่งสิทธัตโถฯ วัดบรมนิวาส)

 

          ต่อมาไม่กี่วัน เจ้าคุณพระอุบาลีคุณูปมาจารย์ (จันทร์ สิริจนฺโท) วัดบรมนิวาส เกิดอาพาธขาหัก (ประสบอุบัติเหตุในวันที่ 12 พฤศจิกายน 2474 จากหนังสือประวัติเจ้าคุณพระอุบาลีคุณูปมาจารย์) พระอาจารย์มั่นก็ได้เดินทางมานมัสการเยี่ยมเจ้าคุณพระอุบาลีฯ วันหนึ่งคุณนายน้อย มารดาเจ้าคุณมุขมนตรีได้ถึงแก่กรรม เจ้าภาพได้กำหนดการฌาปนกิจที่วัดเทพศิรินทราวาส คุณนายคนนี้ได้มีอุปการะแก่พระอาจารย์มั่นสมัยที่อยู่ จ.อุดรธานี ท่านได้ตั้งใจมาในงานศพนี้ด้วย เรากับพระอุปัชฌาย์ก็ได้รับนิมนต์ไปในงานฌาปนกิจครั้งนี้ด้วย ได้ไปพบพระอาจารย์มั่นบนเมรุเผาศพ มีความดีใจอย่างยิ่ง แต่ไม่มีโอกาสได้สนทนากับท่านแม้แต่คำเดียว จึงได้เข้าไปถาม เจ้าคุณพระอมราภิรักขิต วัดบรมนิวาส ท่านก็เล่าให้ฟังว่า พระอาจารย์มั่นได้มาพักอยู่ที่วัดบรมนิวาส จึงได้ลาพระอุปัชฌาย์ไปแวะวัดบรมนิวาสเพื่อพบพระอาจารย์มั่น  (ท่านพ่อลี ธมฺมธโร)

 

2.2 องค์หลวงปู่มั่นเดินทางจากวัดบรมนิวาสสู่วัดเจดีย์หลวง

          ...นับแต่อุปสมบทล่วงแล้วได้ 4 พรรษา เพิ่งจะได้มาพบท่านอีกในคราวนี้ ก็ได้เข้าไปกราบไหว้ ท่านก็เมตตาแสดงธรรมให้ฟังว่า ขีณาชาติ วุสิตัง พรหมจริยันติ แปลได้ใจความสั้นๆ ว่า พระอริยเจ้าขีณาสพทั้งหลาย ท่านทำตนให้เป็นผู้พ้นจากอาสวะแล้วมีความสุข นั้นคือ พรหมจรรย์อันประเสริฐ จำได้เพียงเท่านี้ แต่รู้สึกว่าเราไปนั่งฟังคำพูดของท่านเพียงเล็กน้อยใจนิ่งเป็นสมาธิดีกว่าเรานั่งทำคนเดียวมากมาย ในที่สุดท่านก็สั่งว่า คุณต้องไปกับเราในคราวนี้ ส่วนอุปัชฌาย์นั้นเราจะไปเรียนท่านเอง สนทนากันได้เพียงเท่านั้นแล้วได้ลากลับวัดสระปทุม

พระปัญญาพิศาลเถร (หนู ฐิตปญฺโญ)

พระอุปัชฌาย์ของท่านพ่อลี

(รูปจาก บุญตาแอนติก)

ท่านพ่อลี ธมฺมธโร

สิทธวิหาริก ในพระปัญญาพิศาลเถร

(รุปจาก ฐานข้อมูล Admin)

 

ได้เล่าเรื่องที่ได้ไปพบพระอาจารย์มั่นให้พระอุปัชฌาย์ฟัง ท่านก็นั่งฟังแล้วนิ่งอยู่ วันรุ่งขึ้นพระอาจารย์มั่นได้ไปที่วัดสระปทุม แล้วพูดกับพระอุปัชฌาย์ว่า จะให้พระรูปนี้ติดตามไปด้วยในเมืองเหนือ พระอุปัชฌาย์ก็อนุญาต จึงได้จัดแจงตระเตรียมบริขารของตน ร่ำลาสั่งเสียเพื่อนฝูงและศิษย์ ได้ถามลูกศิษย์ถึงมูลค่าปัจจัยในการเดินทาง ได้รับตอบว่าเหลือเพียง 30 สตางค์ เฉพาะค่ารถจากวัดสระปทุมไปถึงสถานีหัวลำโพง จะต้องจ่ายถึง 50 สตางค์ คิดแล้วค่ารถจากวัดไปถึงสถานีหัวลำโพงก็ไม่พอเสียแล้ว จึงได้กราบเรียนให้พระอาจารย์มั่นทราบ ท่านก็รับรองว่าจะจัดการให้

          ก่อนจะถึงกำหนดเวลาประชุมเพลิงคุณนายน้อย 1 วัน ท่านได้รับนิมนต์ไปแสดงธรรมที่บ้านเจ้าพระยามุขมนตรี เจ้าภาพได้ถวายผ้าไตร 1 ไตร น้ำมันก๊าด 1 ปีบ และเงิน 80 บาท ท่านเล่าให้ฟังว่า ผ้าไตรได้ถวายพระวัดบรมนิวาส น้ำมันก๊าดถวายพระมหาสมบูรณ์ ปัจจัยได้แจกจ่ายแก่ผู้ไม่มี เหลือไว้พอดีค่ารถ 2 คน คือเรากับท่าน... (ท่านพ่อลี ธมฺมธโร)

 

2.3 ออกเดินทางพักที่อุตรดิตถ์ก่อนขึ้นสู่เชียงใหม่

...เมื่อได้พักผ่อนพอสมควรแล้ว เจ้าคุณพระอุบาลีคุณูปมาจารย์ก็ให้ท่านกลับขึ้นไปเมืองเหนือ ได้เดินทางขึ้นไปพักอยู่ที่วัดศัลยพงศ์ จ.อุตรดิตถ์ ก่อนที่จะขึ้นรถด่วนที่สถานีหัวลำโพง ได้พบโยมแม่ง้อ เนตรจำนงค์ ซึ่งจะได้ลงมาในงานฌาปนกิจศพคุณนายน้อยหรืออย่างไรไม่ทราบ โยมแม่ง้อเคยเป็นศิษย์พระอาจารย์มั่น จึงได้รับเป็นโยมอุปัฏฐาก ขณะเดินทางในรถไฟไปตลอดทาง เมื่อเดินทางถึง จ.อุตรดิตถ์ แล้ว ได้ไปพักอยู่ที่วัดศัลยพงศ์หลายวัน แล้วได้ออกไปพักอยู่ในป่าละเมาะแห่งหนึ่งห่างจากกุฏิ เป็นที่เงียบสงัดวิเวกทั้งเวลากลางวันและกลางคืน

องค์หลวงปู่มั่น ภูริทตฺโต
(รูปจาก ฐานข้อมูล Admin)

ท่านพ่อลี ธมฺมธโร
(รูปจาก คลังสารสนเทศดิจิทัล มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์)

องค์หลวงปู่มั่น ได้เดินทางขึ้นไปเชียงใหม่ เดินทางจากกรุงเทพฯ ในช่วงปลายปี พ.ศ.2474 โดยมี ท่านพ่อลี ติดตามถวายการดูแล

 

วันหนึ่งได้เกิดขัดใจกับพระอาจารย์ ท่านก็ได้เอะอะขับไล่ให้หนี ตัวเราเองก็รู้สึกชักโมโห รู้สึกฉิวๆ อยู่ในใจ แต่ก็อดกลั้นไว้มิได้แสดงความโกรธออกมา ได้เคยปฏิบัติท่านมาอย่างไร ก็คงทำไปอย่างนั้น ก็ได้อยู่กับท่านตลอดมา รุ่งขึ้นวันใหม่เดือนยี่จวนจะสิ้นเดือน ได้รับข่าวว่าศิษย์คนหนึ่งทาง จ.เชียงใหม่ ป่วยหนัก มีพระ 2 รูปติดตามพระอาจารย์มั่น เมื่อแจ้งข่าวให้ทราบ เสร็จแล้วพระ 2 รูปนั้นก็เดินทางไป จ.พระนคร ในสมัยนั้นพระอาจารย์ตันเป็นเจ้าอธิการวัดศัลยพงศ์ วัดศัลยพงศ์นี้เจ้าคุณพระอุบาลีฯ วัดบรมนิวาส เป็นผู้ริเริ่มก่อสร้างเป็นคนแรก (ท่านพ่อลี ธมฺมธโร)

 

2.4 เดินทางถึงวัดเจดีย์หลวง ก่อนเข้าพรรษา พ.ศ.2475

...จากจังหวัดอุตรดิตถ์ เรากับพระอาจารย์มั่นได้ออกเดินทางต่อไปยังจังหวัดเชียงใหม่ เมื่อถึงจังหวัดเชียงใหม่แล้วก็ได้ไปพำนักอยู่ที่วัดเจดีย์หลวง ลูกศิษย์คนหนึ่งชื่อนายเบี้ยว อยู่ อ.สันกำแพง มีอาการป่วยหนักมาก พี่ชายและพี่สะใภ้ได้นำตัวไปให้พระอาจารย์มั่น โรคที่นายเบี้ยวเป็นนั้นคือโรคจิต ในปีนั้นได้อยู่จำพรรษาที่วัดเจดีย์หลวง มีพระกรรมฐานที่เป็นเพื่อนฝูงพักอยู่ด้วยกันหลายองค์ แต่ต่างคนต่างไปจำพรรษาอยู่ตามบ้านนอก แม้ตัวเราเองท่านก็ให้ออกไป แต่เราไม่ยอมไป โดยเรียนท่านว่าเราตั้งใจจะอยู่ปฏิบัติกับพระอาจารย์จนตลอดพรรษา ท่านก็ยินยอมตกลง จึงได้อยู่กับท่าน... (ท่านพ่อลี ธมฺมธโร)

 

2.5 ได้รับตำแหน่งเจ้าอาวาสวัดเจดีย์หลวง

          การกลับมายังวัดเจดีย์หลวงในครั้งนี้ เนื่องจากท่านเจ้าคุณอุบาลีฯ อาพาธมิได้ขึ้นมาปกครองวัดเจดีย์หลวง คณะสงฆ์ขาดเสาหลัก ท่านคงพิจารณาแล้วว่า องค์หลวงปู่มั่น ได้รับความเคารพเลื่อมใสจากชาวเมืองเชียงใหม่พอสมควรแล้ว เป็นการเหมาะสมกับตำแหน่งเจ้าอาวาสวัดเจดีย์หลวง เมื่อองค์หลวงปู่มั่นได้ไปเยี่ยมอาพาธ ท่านเจ้าคุณอุบาลีฯ อาจฝากฝังวัดเจดีย์หลวงให้อยู่ในความดูแลขององค์หลวงปู่มั่น แม้ท่านจะมิได้ต้องการยศตำแหน่ง แต่ก็ยากจะปฏิเสธท่านเจ้าคุณอุบาลีฯ ที่กำลังอาพาธอยู่ จึงรับไว้ด้วยความเคารพ ดังบันทึกประวัติ โดย หลวงพ่อวิริยังค์ ได้บันทึกไว้ว่า

หอเขียว ที่พำนักของเจ้าคุณอุบาลีฯ ณ วัดบรมนิวาส

(รูปจาก อาจาราภิวาท)

...พระอาจารย์มั่น ฯ ท่านเล่าว่า ครั้งนั้นท่านเจ้าคุณอุบาลีฯ ขาหักเนื่องมาจากขึ้นธรรมาสน์จะเทศน์ ขาไปกระทบกับลูกกรง หากเราจะทัดทานก็ดูเป็นการขัดผู้ใหญ่ซึ่งกำลังป่วยอยู่ และท่านก็อุตส่าห์ไปขอฐานาสมเด็จพระสังฆราชเจ้าให้ด้วย นัยว่าครั้งแรก สมเด็จพระสังฆราชเจ้าจะไม่ทรงอนุมัติ แต่ทรงเห็นว่าท่านเจ้าคุณอุบาลีฯ ขาหักกำลังป่วย หากไม่อนุมัติจะขัดใจคนป่วย จึงทรงอนุมัติมา... (หลวงพ่อวิริยังค์ สิรินฺธโร)

 

2.6 เมตตาครูพระสอนปริยัติธรรม

          ในระยะเวลานี้ ยังมีพระมหาเปรียญที่ขึ้นไปฟื้นฟูการศึกษาที่วัดเจดีย์หลวง จากบันทึกที่ค้นพบมี 2 รูป ที่ได้รับการอบรมจากองค์หลวงปู่มั่น แต่ก็ยังไม่ได้ละภารกิจให้การศึกษา คือ พระเทพบัณฑิต (หลวงปู่มหาอินทร์ ถิรเสวี) กับ พระครูอุดมธรรมคุณ (พระอาจารย์มหาทองสุก สุจิตฺโต) นอกจากนี้ ยังมีอดีตสามเณรที่ได้มารับการศึกษา ที่ต่อมาได้เจริญในสมณเพศและเป็นเจ้าอาวาสวัดเจดีย์หลวง รูปที่ 7 คือ พระพุทธพจนวราภรณ์ (หลวงปู่มหาจันทร์ กุสโล) โดยมีรายละเอียดแต่ละท่าน ดังนี้

พระเทพบัณฑิต (อินทร์ ถิรเสวี) วัดศรีจันทร์ อ.เมือง จ.ขอนแก่น

หนึ่งในครูสอนปริยัติที่ขึ้นไปฟื้นฟูการศึกษา วัดเจดีย์หลวง

(รูปจาก อาจาราภิวาท และฐานข้อมูล Admin)

          พระเทพบัณฑิต (หลวงปู่มหาอินทร์ ถิรเสวี) เป็นพระมหาเปรียญอีกรูปหนึ่ง ที่ได้ขึ้นไปวัดเจดีย์หลวง ท่านเกิดเมื่อปี พ.ศ.2445 อุปสมบทเมื่อปี พ.ศ.2465 โดยมีพระเมธาธรรมมารส (เสาร์) เป็นพระอุปัชฌาย์ ณ วัดบรมนิวาส ท่านสำเร็จเปรียญธรรม 5 ประโยค ได้ขึ้นไปปฏิบัติหน้าที่ ครูสอนเปรียญธรรม ณ วัดเจดีย์หลวง ระหว่างปี พ.ศ.2475-2476 โดยในระยะนี้ท่านได้มีโอกาสได้รับการอบรมจากหลวงปู่มั่น และท่านยังได้นิมนต์หลวงปู่มั่นไปวิเวกที่ดอยสุเทพร่วมกัน

          ต่อมาท่านได้มาสอนปริยัติธรรมที่วัดศรีจันทร์ อ.เมือง จ.ขอนแก่น และได้เป็นเจ้าอาวาสวัดศรีจันทร์ ในปี พ.ศ.2480 ท่านมรณภาพในปี พ.ศ.2536 สิริรวมอายุ 91 ปี

จากบันทึกประวัติของท่านตอนหนึ่ง ได้กล่าวไว้ว่า

          …"ไปภาวนาอยู่บนดอยสุเทพน่ะ หลวงปู่ (หลวงปู่มหาอินทร์)เห็นว่ามันใกล้วัดเจดีย์หลวง อันเป็นสถานที่ที่หลวงปู่รับผิดชอบในการเป็นครูสอนหนังสือ จะออกไปให้ไกลกว่านี้ไม่ได้ ท่านพระอาจารย์มั่น ท่านก็เข้าใจความรับผิดชอบของหลวงปู่ดี จึงสอนพระกัมมัฏฐานให้ใกล้ๆ ถ้าเผื่อมีอะไรเร่งด่วนก็ลงไปแก้ไขได้"

ตอนที่ไปภาวนาบนดอยสุเทพครั้งนั้นนะ ก็พยายามฝึกนั่งสมาธิ เดินจงกรม พิจารณาสภาวธรรม ท่านพระอาจารย์มั่นท่านแนะนำไปนั่งภาวนาที่อื่น ก็ไม่ไกลจากที่นั่น ซึ่งเวลานั้นท่านพระอาจารย์มั่น ท่านจำใจต้องอยู่เพื่อฉลองพระคุณพระอุบาลีคุณูปมาจารย์ ท่านถูกแต่งตั้งให้เป็น พระครูวินัยธร แต่ท่านหนักแน่นกับพระกัมมัฏฐานเหลือเกิน ท่านให้เหตุผลว่า "ม้าศึกต้องฝึกอยู่เสมอ ขุนศึกขี้คร้านก็เท่ากับเอาหัวไปให้ศัตรูตัดเล่นเท่านั้นเอง เราไม่รู้จะเกิดศึกสงครามเวลาใด ความตายมาถึงเมื่อไร เราไม่รู้ มารู้ก็ตอนแย่แล้ว…"

นี่เป็นคำสอนที่หลวงปู่ระลึกถึงท่านพระอาจารย์มั่นอยู่เสมอ ท่านเมตตากับหลวงปู่มากยากที่จะลืมเลือน ท่านกลัวหลวงปู่จะหลงกับตำแหน่งที่ตั้งให้ เกรงว่าจะหลงความสุขความสบาย ความห่วงใยที่ท่านพระอาจารย์มั่น มีต่อองค์หลวงปู่นั้นเป็นสิ่งที่หลวงปู่ซาบซึ้งและเคารพเป็นอย่างมาก หลวงปู่ต้องไปกราบเท้าท่านทุกคืนขณะที่พักอยู่ด้วยกันกับท่าน (หลวงปู่มั่นกับดอยสุเทพ, ส.กวีวัฒน์)


พระครูอุดมธรรมคุณ (ทองสุก สุจิตฺโต)
ด้านหลัง คือ หีบศพและเมรุองค์หลวงปู่มั่นในงานฌาปนกิจฯ ปี พ.ศ.2493 ณ วัดป่าสุทธาวาส อ.เมือง จ.สกลนคร
(รูปจาก Facebook)

พระวินัยโสภณ (เล็ก ธมฺมปาโล) อดีตผู้ช่วยเจ้าอาวสวัดปทุมวนารามเขตปทุมวัน กรุงเทพฯ ผู้เปิดเผยเรื่องราวองค์หลวงปู่มั่น กับหลวงปู่พระมหาทองสุก ได้พบและเรียนธรรมครั้งแรกที่วัดปทุมวนาราม ภายหลังเมื่อหลวงปู่มหาทองสุก สร้างอุโบสถวัดป่าสุทธาวาส หลวงปู่เล็ก ได้ช่วยรวบรวมปัจจัยจากกรุงเทพฯ ไปช่วยก่อสร้าง
(รูปจาก Facebook เพจพระวินัยโสภณ)

          พระครูอุดมธรรมคุณ (พระอาจารย์มหาทองสุก สุจิตฺโต) อุปสมบท ณ วัดปทุมวนาราม เขตปทุมวัน กรุงเทพฯ ในปี พ.ศ.2570 ต่อจากนั้นได้เรียนจนสำเร็จเปรียญธรรม 3 ประโยค และสอนบาลี จนถึงปี พ.ศ.2474 ในระหว่างนี้เองคาดว่าพระอาจารย์มหาทองสุก อาจได้พบและรับการอบรมครั้งแรกกับองค์หลวงปู่มั่น ในช่วงที่องค์หลวงปู่มั่นจำพรรษาที่วัดปทุมวนารามในปี พ.ศ.2471 ก่อนที่จะไปเชียงใหม่ (สรุปจากคำบอกเล่าของ พระวินัยโสภณ หลวงปู่เล็ก ธมฺมปาโล) จนกระทั่งออกพรรษาปี 2474 ได้รับบัญชามาสอนปริยัติธรรมยังวัดเจดีย์หลวง อ.เมือง จ.เชียงใหม่ และได้รับการอบรมจากหลวงปู่มั่นอีกครั้ง

ภายหลังเจ้าคุณอุบาลีฯ มรณภาพ อีกทั้งองค์หลวงปู่มั่น ออกจากวัดเจดีย์หลวงไม่รับตำแหน่งทางปกครองแล้ว พระอาจารย์มหาทองสุก ได้เดินทางกลับวัดปทุมวนาราม เพื่อเตรียมออกปฏิบัติ ถึงแม้ทางวัดปทุมวนารามจะขอร้องให้สอนบาลีต่อ แต่ท่านก็ไม่รับ ต่อมาจึงได้จาริกในป่าลึกภาคเหนือร่วมกับองค์หลวงปู่มั่น ในช่วงบั้นปลายชีวิตได้มาเป็นเจ้าอาวาสวัดป่าสุทธาวาส อ.เมือง จ.สกลนคร ในช่วงเดียวกับที่จัดงานฌาปนกิจสรีระองค์หลวงปู่มั่น ณ วัดแห่งนี้ ภายหลังได้รับสมณศักดิ์ที่ พระครูอุดมธรรมคุณ มรณภาพวันที่ 16 สิงหาคม พ.ศ.2508

จากบันทึกประวัติ พระอาจารย์มหาทองสุก ได้กล่าวถึงการอยู่ใต้ร่มบารมีธรรมองค์หลวงปู่มั่น ไว้ดังนี้

...ภายหลังจากออกพรรษาปีนี้ (คือพรรษากาล ปี 2474 Admin) ท่านเจ้าคุณพระอุบาลีคุณูปมาจารย์ (จันทร์ สิริจนฺโท) ได้ขอให้ท่านพระครูอุดมธรรมคุณไปเป็นครูสอนพระปริยัติธรรม ที่สำนักเรียนวัดเจดีย์หลวง ตำบลพระสิงห์ อำเภอเมือง จังหวัดเชียงใหม่ ท่านได้ไปตามคำขอร้องนั้น และได้ทำการสอนพระปริยัติธรรม ซึ่งพอดีกับ ท่านพระอาจารย์มั่น ภูริทตฺตเถระ พระอาจารย์ใหญ่ของคณะพระกัมมัฏฐาน ก็ได้ถูกขอร้องจากท่านเจ้าคุณพระอุบาลีคุณูปมาจารย์ (จันทร์ สิริจนฺโท) ให้มาดำรงตำแหน่งเจ้าอาวาสวัดเจดีย์หลวงเช่นเดียวกัน

ท่านพระครูอุดมธรรมคุณ ท่านได้พักอยู่ใต้ถุนกุฏิท่านพระอาจารย์มั่น ท่านว่าได้ประโยชน์ 2 ประการ

ประการที่  1 ท่านได้ฟังเทศน์จากท่านพระอาจารย์มั่น

ประการที่ 2 ท่านได้สอนพระปริยัติธรรมให้พระภิกษุสามเณร บางครั้งท่านพระอาจารย์มั่นจะมานั่งฟังการแปลหนังสือบาลีด้วยความสนใจตอนกลางคืน ท่านพระอาจารย์มั่นได้สอนกัมมัฏฐาน วิธีปฏิบัติตั้งแต่เบื้องต้นของการทำจิต โดยเฉพาะอย่างยิ่งการสอนของท่านหนักไปทางกัมมัฏฐาน คือให้พิจารณา ผม-ขน-เล็บ-ฟัน-หนัง ท่านได้ให้เหตุผลว่า

"ทุกคนที่เกิดมาไม่ได้ไปติด คือยึดมั่นที่อื่นหรอก โดยเฉพาะก็มายึดมั่นถือมั่นที่ ผม-ขน-เล็บ-ฟัน-หนัง นี้เอง ให้พยายามพิจารณาให้ตามความเป็นจริงแก่การยึดถือ ผม-ขน-เล็บ-ฟัน-หนัง เป็นสิ่งสวยงาม ด้วยสามารถแห่งกำลังสมาธิ ก็จะเป็นทางไปสู่ความเป็นอริยเจ้าได้"... (หลวงพ่อวิริยังค์ สิรินฺธโร)

พระพุทธพจน์วราภรณ์ (จันทร์ กุสโล) อดีตเจ้าอาวาสวัดเจดีย์หลวง รูปที่ 7 เมื่อครั้งยังเป็นสามเณร ได้มีโอกาสพบ และรับฟังธรรมโอวาทจากองค์หลวงปู่มั่น ภูริทตฺโต

(รูปจาก กุสลมหาเถรานุสรณ์ เล่ม 1)

          นอกจากนั้น ยังมีสามเณรจันทร์ แสงทอง ที่ต่อมาได้เจริญในสมณเพศ เป็น พระพุทธพจนวราภรณ์ (หลวงปู่มหาจันทร์ กุสโล) อดีตเจ้าอาวาสวัดเจดีย์หลวงรูปที่ 7 ท่านได้บรรพชาเป็นสามเณร ณ วัดเจดีย์หลวง ในปี พ.ศ.2475  ท่านได้มีโอกาสกราบและรับฟังธรรมะจากองค์หลวงปู่มั่น จากหนังสือบูรพาจารย์ ได้บันทึกเกี่ยวกับบรรยากาศการแสดงธรรมขององค์หลวงปู่มั่นในยุคนั้น รวมถึงข้อธรรมที่ท่านได้รับไว้ดังนี้

          ...ตามปกติจะมีพระสงฆ์เข้าไปกราบรับฟังโอวาทธรรมของท่าน (องค์หลวงปู่มั่น) เป็นประจำทุกวัน ตอนเย็นๆ หลังสรงน้ำแล้ว พระเถระผู้ใหญ่ประมาณสิบรูป มีพระมหาหนูหล้า รูปร่างผอมสูงเป็นต้น จะพากันไปกราบรับฟังโอวาทท่าน ตอนนั้นหลวงพ่อ (หลวงปู่มหาจันทร์ในขณะนั้น) ยังเป็นสามเณรน้อยอยู่ ยังไม่สนใจโอวาทท่านเท่าที่ควร

แต่เท่าที่หลวงพ่อจำได้นั้น ท่านจะเทศน์สติปัฏฐานและกายคตาสติ ซึ่งโอวาทธรรมของท่านจะเน้นเรื่องศีลมาก ท่านสอนให้พระเณรมีความสำรวมระวังในการปฏิบัติรักษาข้อวัตร และรักษาศีล เพราะถ้าไม่รักษาศีลก็เป็นการหลอกลวงชาวบ้าน ทำอะไรก็ทำให้แน่นอน ธรรมเนียมพระเณรนั้น โดยปกติในวันโกน หลังจากไหว้พระสวดมนต์แล้ว จะมีธรรมเนียมสังฆกรรม คือ เป็นการขอขมาหากได้ประมาทพลาดพลั้งในศีลไป


พระพุทธพจนวราภรณ์ รับพระราชทานพัดยศสมณศักดิ์ที่พระราชาคณะ ชั้น เจ้าคณะรอง
(รูปจาก กุสลมหาเถรานุสรณ์ เล่ม 1)

ตกตอนเย็น มีเณรไปขอต่อศีลกับท่านพระอาจารย์มั่นอบรมว่า "มัวแต่ไปขอ ไปต่อศีล ต่อได้อย่างไร มันเป็นปมไม่สะอาดนะซิ" ท่านไม่เห็นด้วยกับการขอต่อศีล ความประสงค์ของท่าน ก็คือรักษาให้ดี ก็ไม่ต้องไปต่อทุกวัน เฉพาะวันโกนต่อสักครั้งหนึ่ง... (บูรพาจารย์, 2549, หน้าที่ 450-456)

 

2.7 ในพรรษา พ.ศ.2475 ท่านพ่อลีปฏิบัติอุปัฏฐากถวายองค์หลวงปู่มั่น

...ปีนั้นตรงกับ พ.ศ.2475 ท่านเจ้าคุณพระอุบาลีฯ ได้มรณภาพในพรรษานั้น (วันที่ 19 กรกฎาคม 2475 ซึ่งอยู่ในช่วงกลางพรรษา Admin) ระหว่างเข้าพรรษาได้ตั้งใจปฏิบัติกับพระอาจารย์อย่างใกล้ชิด ท่านก็ได้ทรมานสั่งสอนทุกสิ่งทุกอย่าง เวลาตอนเย็นก็ได้นั่งสมาธิอยู่บนองค์พระเจดีย์ทางทิศเหนือ มีพระพุทธรูปใหญ่องค์หนึ่ง พระพุทธรูปองค์นี้ยังคงมีอยู่จนกระทั่งทุกวันนี้ ท่านบอกว่าที่ตรงนั้นเป็นมหามงคล เคยมีพระบรมธาตุเสด็จมาบ่อยๆ ให้ไปนั่งสมาธิตรงนั้น ก็ได้ทำตามท่านบอกทุกอย่าง บางวันนั่งจนไม่ได้นอน

ระหว่างที่พักอยู่กุฏิหลังเล็กๆ ในป่าดงกล้วย กุฏิหลังนี้คุณนายทิพย์และหลวงยง ผู้กำกับการตำรวจ เป็นผู้สร้างถวาย นายทิพย์ เสมียนคลังจังหวัด กับภริยาคือนางตา ได้ปฏิบัติส่งเสียอาหารพระอาจารย์เป็นอย่างดี ในระหว่างพรรษาก็ได้ออกติดตามบิณฑบาตกับท่านเป็นนิจ ระหว่างเดินบิณฑบาตท่านได้สอนกรรมฐานเตือนอกเตือนใจอยู่เสมอ พอเห็นผู้หญิงสวยๆ งามๆ ท่านก็บอกว่า "มองดูทีรึนั่นเป็นอย่างไร สวยไหม ดูให้ดีๆ ดูเข้าไปข้างใน" ไม่ว่าจะเห็นอะไร เช่นบ้านหรือถนน ท่านก็คอยสอนเตือนใจทุกวัน


ท่านพ่อลี ธมฺมธโร
(รูปจาก คลังสารสนเทศดิจิทัล มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์)

เวลานั้นอายุเพิ่งได้ 26 ปี พรรษา 5 กำลังหนุ่ม ท่านก็คอยตักเตือนอยู่เสมอ รู้สึกว่าท่านสนใจในตัวเรามาก แต่มีที่แปลกใจอยู่อย่างหนึ่งเกี่ยวกับเครื่องใช้บริขารของเราดีๆ ใหม่ๆ ท่านคอยชี้มือบอกให้ย้อม ให้ซัก ให้ทำลายสีเดิม ของดีๆ ก็ไม่ค่อยยอมให้ใช้ บางทีก็ขอเอาไปให้คนอื่น ตัวเองก็นึกไม่ถึงว่าท่านมีความหมายอย่างไร พูดหลายครั้งหลายหนเข้า เราไม่ทำตาม เช่น ผ้าเช็ดหน้า ผ้าเช็ดตัว ซึ่งเป็นสีขาว ก็ให้ย้อมเป็นสีแก่นขนุน ถ้าเราทำเฉยไม่ย้อม ท่านก็ลงมือย้อมให้เอง ชอบหาจีวรสบงเก่าๆ ขาด ๆ มาปะแล้วก็ให้เราใช้สอย... (ท่านพ่อลี ธมฺมธโร)

 

2.8 หลวงปู่มั่นเมตตาทำบริขารจากผ้าบังสุกุลข้างทางให้ท่านพ่อลี

...วันหนึ่งเดินออกไปบิณฑบาตพร้อมกับท่าน เดินไปทางสถานีตำรวจ ได้เดินสวนทางกับหญิงหาบของขายในตลาด แต่ก็ใจดีเหลือเกินไม่ได้เดินออกจากทางบิณฑบาต สำรวมใจแน่วแน่ สำรวมตนเต็มที่ ต่อมาอีกวันหนึ่งได้เดินตามท่านไปบิณฑบาต เราเดินห่างจากท่านนิดหน่อย ท่านเดินเร็ว แต่เราเดินช้า เห็นท่านเอาเท้าเตะกางเกงขาดของตำรวจที่ทิ้งไว้ข้างถนน ท่านเตะไปเตะมา เราก็นึกในใจว่าเราต้องเข้าในทางเสมอ พอถึงรั้วสถานีตำรวจ ท่านก็ก้มลงเก็บกางเกงขาดตัวนั้นเหน็บไว้ใต้จีวร เราก็แปลกใจว่าของเขาทิ้งแล้วท่านจะเอาไปทำไมกัน


ท่านพ่อลี ธมฺมธโร
(รูปจาก ฐานข้อมูล Admin)

เมื่อกลับถึงกุฏิแล้วท่านก็นำเอาไปพาดไว้ที่ราวผ้าแห่งหนึ่ง เราก็ได้ทำการปัดกวาดปูอาสนะ เมื่อฉันอาหารเสร็จแล้วก็เข้าไปในห้องปูที่นั่งที่นอนของท่าน บางวันท่านก็ดุเอาว่า ทำอะไรไม่เรียบร้อย แต่ไม่ยอมบอกว่าทำอย่างไรจึงจะเป็นที่พอใจ เราก็ต้องพยายามทำให้ถูกใจท่านทุกเวลา ถึงกระนั้นก็ต้องถูกเคี่ยวเข็ญอยู่จนตลอดพรรษา

ต่อมาวันหลังได้เห็นกางเกงขาดตัวนั้น กลายเป็นถุงย่ามและสายรัดประคดห้อยแขวนอยู่ด้วยกันที่ข้างฝา วันหนึ่งท่านบอกว่าถุงย่ามใบนี้และรัดประคดอันนี้เอาไปใช้เสีย เรารับเอามามองดูมีแต่รอยปะหลายแห่ง ของดีๆ ก็มีอยู่แต่ท่านไม่ยอมให้... (ท่านพ่อลี ธมฺมธโร)

 

2.9 กุฏิที่องค์หลวงปู่มั่นใช้จำวัด


รูปวาด "กุฏิทัณตเขต" กุฏิที่องค์หลวงปู่มั่น ภูริทตฺโต เคยจำวัด
(รูปจาก จารึกไว้ในล้านนา)

          ท่านพ่อลี ได้เล่าถึงบรรยากาศกุฏิที่ท่านจำพรรษาร่วมกับองค์หลวงปู่มั่น จากบันทึกของวัดเจดีย์หลวง กุฏินี้มีนามว่า "กุฏิทัณตเขต" ตั้งอยู่ที่ลานพระธาตุเจดีย์หลวง ด้านทิศตะวันออกเฉียงใต้ บริเวณใต้ร่มเงาต้นยางนาใหญ่ ปัจจุบันคือบริเวณด้านหน้าวิหารองค์หลวงปู่มั่น จัดสร้างโดย รองอำมาตย์เอก พระทัณฑเขตประชานุการ (ทองอยู่ วาริน) พะธำมะรง ผู้บัญชาการเรือนจำมณฑลเชียงใหม่ และนางทัณฑเขตประชานุการ (สา) ภริยา

กล่าวกันว่ากุฏิหลังนี้มีอยู่ 2 ห้อง ในพรรษานี้ ห้องหนึ่ง องค์หลวงปู่มั่นจำวัด อีกห้องหนึ่งท่านพ่อลีจำวัด โดยท่านพ่อลี จะคอยถวายอุปัฏฐากหลวงปู่มั่น ซึ่งจะต้องสังเกตว่าปกติองค์หลวงปู่มั่น ท่านทำอย่างไร ต้องทำให้ถูกกับที่ท่านเคยทำ ในระยะแรกที่ยังไม่ถูกต้องก็จะถูกดุ ท่านพ่อลีต้องสังเกต อาศัยที่มองลอดช่องที่กั้นระหว่างห้อง ว่าองค์หลวงปู่มั่นท่านทำอย่างไร แก้ไขจนไม่ผิดพลาด อีกทั้งได้เห็นข้อวัตรปฏิบัติขององค์หลวงปู่มั่น ที่เป็นแบบอย่างโดยตลอด ซึ่งท่านพ่อลี ได้บันทึกรายละเอียดไว้ในประวัติดังนี้


พระเทพวุฒาจารย์ อดีตเจ้าอาวาสวัดเจดีย์หลวง รูปที่ 8 ยืนในตำแหน่งที่เคยเป็นที่ตั้ง "กุฏิทัณตเขต" ที่องค์หลวงปู่มั่นเคยจำวัดอยู่ ที่วัดเจดีย์หลวง อ.เมือง จ.เชียงใหม่
(รูปจาก จารึกไว้ในล้านนา)

...การได้ปฏิบัติพระอาจารย์นี้เป็นการดีที่สุด ยากที่สุด ต้องยอมฝึกหัดทุกสิ่งทุกอย่าง ต้องเป็นนักสังเกตที่ดี และละเอียดรอบคอบจึงจะอยู่ได้ เวลาเดินพื้นกระดานทำเสียงดังไม่ได้ เดินไปแล้วมีรอยเท้าติดพื้นก็ไม่ได้ เวลากลืนน้ำเสียงดังก็ไม่ได้ เวลาเปิดประตูมีเสียงดังไม่ได้ เวลาตากผ้า เก็บผ้า พับผ้า ปูที่นั่ง ที่นอน ฯลฯ ทุกสิ่งทุกอย่างต้องทำอย่างเป็นผู้มีวิชา มิฉะนั้นจะต้องถูกไล่หนีทั้งๆ กลางพรรษา แต่ถึงอย่างนั้นต้องอดทน พยายามใช้ความสังเกตของตน

บางวันเมื่อฉันแล้ว จัดแจงเก็บบาตร เก็บจีวร ผ้าปูนั่ง ปูนอน กระโถน กาน้ำ หมอน ฯลฯ และทุกสิ่งทุกอย่างในห้องของท่าน ต้องเข้าไปจัดไว้ก่อน ท่านเข้าไปข้างใน จัดเสร็จแล้วก็จดจำไว้ในใจแล้วรีบกลับออกไปอยู่ในห้องของตน ซึ่งกั้นไว้ด้วยใบตองเจาะช่องฝาไว้พอมองเห็นบริขารในห้องของท่าน เมื่อท่านเข้าไปในห้องแล้ว เห็นท่านมองข้างล่าง ข้างบน ตรวจตราดูบริขารของท่าน บางอย่างท่านก็หยิบย้ายที่ บางอย่างท่านก็ปล่อยวางที่เดิมไม่จับต้อง เราก็ต้องคอยมองดูแล้วจดจำเอาไว้ วันหลังก็ทำใหม่ จัดใหม่ให้ถูกต้องอย่างที่ท่านทำ ว่าท่านทำเองท่านทำอย่างไร เราก็จัดทำอย่างที่เรามองเห็น

ต่อมาวันหลังเมื่อเข้าไปจัดเสร็จแล้วก็กลับเข้าห้องของตน มองลอดช่องฝาสังเกตดูว่าเวลาท่านเข้าไปในห้อง เห็นท่านเข้าไปแล้วนั่งนิ่ง มองซ้ายมองขวา มองหน้ามองหลัง มองดูข้างบน ข้างล่าง แล้วก็ไม่จับต้องอะไรอีก ผ้าปูนอนก็ไม่กลับ แล้วท่านก็กราบพระ สักครู่หนึ่งท่านก็จำวัด เมื่อเห็นเช่นนี้ เราก็ดีใจว่าได้ปฏิบัติเป็นที่ถูกอกถูกใจพระอาจารย์ นอกจากเรื่องต่างๆ เหล่านี้ ในการนั่งสมาธิก็ดี เดินจงกรมก็ดี ก็ได้ฝึกหัดจากท่านไปจนเป็นที่พอใจทุกอย่าง แต่ก็เอาอย่างท่านได้อย่างมาก 60 เปอร์เซ็นต์เท่านั้น...(ท่านพ่อลี ธมฺมธโร)

 

2.10 มุ่งเผยแผ่ธรรม แต่ธรรมภายในก็ยังต้องดำเนิน

...ในปี พ.ศ.2475 นี้ ท่านอาจารย์มั่น ภูริทตฺตเถระ ก็ได้กลับมาจำพรรษาที่วัดเจดีย์หลวงในเมืองเชียงใหม่อีกครั้ง โดยมีความประสงค์จะได้ดำเนินการพระศาสนา ให้เป็นประโยชน์แก่บริษัททั้งหลาย


(รูปจาก สมโภช 600 ปี พระธาตุเจดีย์หลวง)

และก็ได้ผลตามที่ท่านเล่าว่า มีพุทธบริษัทมาเรียนกัมมัฏฐานกันมาก ทั้งพระภิกษุ สามเณรและอุบาสกอุบาสิกา ต่างก็พากันตื่นตัวขึ้น แล้วท่านก็ได้แนะนำการปฏิบัติในทางจิตใจให้ นับว่าเป็นประโยชน์ เพราะการปฏิบัติธรรมในขณะนั้น โดยทั่วไปยังพากันสนใจน้อยมาก ต่อเมื่อเขาปฏิบัติจนเกิดผลคือ ความสงบทางใจแล้วและได้เล่าต่อ ๆ กันไป ก็ทำให้เกิดความกระตือรือร้นขึ้น จึงเป็นเหตุให้มีบุคคลใคร่เพื่อให้ได้ความสุขอันเป็นภายใน แต่การปฏิบัตินั้นต้องอาศัยผู้แนะนำที่ถูกต้องก็จะทำให้เกิดความก้าวหน้าต่อไป

เนื่องจากการแนะนำในด้านการปฏิบัติจิตใจขณะนั้น ยังไม่แพร่หลาย จึงทำให้บุคคลผู้มาปฏิบัติอยู่ในวงจำกัด

...ครั้นเมื่อจำพรรษาอยู่ที่วัดเจดีย์หลวง ด้วยความประสงค์ที่จะให้พระภิกษุสามเณรได้สนใจในการปฏิบัติ โดยการที่ท่านแนะนำพร่ำสอน กับทั้งความเพียรซึ่งท่านได้กระทำเป็นตัวอย่าง ผลที่เกิดขึ้นนั้นน้อยมาก ทั้งนี้หมายความถึงธรรมที่เกิดขึ้นภายใน...(หลวงพ่อ วิริยังค์สิรินฺธโร)

 

2.11 ออกพรรษาปี พ.ศ.2475 พระราชทานเพลิงเจ้าคุณพระอุบาลีฯ มรณภาพ มอบตำแหน่งเจ้าอาวาสให้องค์หลวงปู่มั่น อย่างเป็นทางการ

...ส่วนหน้าที่ในวงการคณะสงฆ์ ท่านพระอาจารย์ได้รับพระกรุณาจากสมเด็จพระสังฆราชเจ้าในฐานะเจ้าคณะให้คณะธรรมยุตติกนิกายให้เป็นพระอุปัชฌายะในคณะธรรมยุตติกนิกายตั้งแต่อยู่จังหวัดเชียงใหม่ และได้รับแต่งตั้งเป็น พระครูวินัยธร ฐานานุกรมของเจ้าพระคุณพระอุบาลีฯ (สิริจนฺทเถร จันทร์) ท่านก็ได้ทำหน้าที่นั้นโดยเรียบร้อยตลอดเวลาที่ยังอยู่เชียงใหม่... (พระอริยคุณาธาร)

          จากตราตั้งพระอุปัชฌาย์ ที่ทรงแต่งตั้ง โดย สมเด็จพระสังฆราชเจ้า กรมหลวงชินวรสิริวัฒน์ ได้ตั้ง ณ วันที่ 23 กุมภาพันธ์ พ.ศ.2475 ส่วนหนึ่งได้ระบุว่า


ตราตั้ง พระครูวินัยธร (ภูริทตฺโต มั่น) เป็นพระอุปัชฌาย์ ที่ 1216/2475 ลงวันที่ 23 กุมภาพันธ์ พ.ศ.2475 ลงพระนาม โดย สมเด็จพระสังฆราชเจ้า กรมหลวงชินวรสิริวัฒน์ วัดราชบพิธฯ สมเด็จพระสังฆราช พระองค์ที่ 11 แห่งกรุงรัตนโกสินทร์
(รูปจาก ฐานข้อมูล Admin)

          ...บัดนี้ หยั่งทราบว่า พระครูวินัยธร (มั่น) (ภูริทตฺโต) ฉายา ภูริทตฺโต วัดเจดีย์หลวง มีตำแหน่งเป็น หัวหน้าคณะกรรมการสงฆ์ จังหวัด เชียงใหม่ มีอายุ 62 ปี พรรษา 39 ประกอบด้วย สุปฏิบัติ และคุณธรรมนำให้เกิดความเลื่อมใส และความนับถือของพุทธบริษัท เป็นผู้เห็นแก่พระพุทธศาสนา มีอุตสาหะและความสามารถ พอจะฝึกสอนภิกษุผู้เป็นนิสสิต และเข้าใจในวิธีอุปสมบท พอจะทำให้ถูกธรรมเนียม จึงตั้งให้เป็นอุปัชฌายะ มีหน้าที่ให้บรรพชาอุปสมบท แก่กุลบุตรทั้งหลายในคณะธรรมยุตติกนิกาย จังหวัดเชียงใหม่ มณฑลพายัพ ... (ปรับคำ และเว้นวรรค ตามปัจจุบัน Admin)

          กระนั้นก็ตาม ท่านคงรับปฏิบัติหน้าที่ให้ระยะหนึ่ง และพร้อมที่จะสละด้วยความไม่ยึดติดในตำแหน่ง ซึ่งอาจจะนำมาซึ่งลาภยศ เป็นอุปสรรคต่อการภาวนา ดังที่ท่านพ่อลี ได้บันทึกไว้ ดังนี้


(รูปจาก สมโภช 600 ปี พระธาตุเจดีย์หลวง)

...อยู่ต่อมาเมื่อออกพรรษาแล้ว ทางวัดบรมนิวาสได้จัดงานเพื่อฌาปนกิจศพ เจ้าคุณพระอุบาลีคุณูปมาจารย์ (จันทร์ สิริจนฺโท) (จัดขึ้นระหว่างวันที่ 28 – 31 ตุลาคม พ.ศ.2475 จากหนังสือประวัติท่านเจ้าคุณอุบาลีฯ Admin) พระผู้ใหญ่ที่อยู่วัดเจดีย์หลวงได้ทยอยมาเพื่อช่วยงานเกือบหมด เจ้าอาวาสได้มอบให้พระอาจารย์มั่นเฝ้าวัดเจดีย์หลวง เมื่อเสร็จงานฌาปนกิจ ได้เห็นหนังสือฉบับหนึ่งมีถึงพระอาจารย์มั่น ตั้งให้ท่านเป็นพระอุปัชฌาย์ ท่านได้เปิดออกอ่านมีใจความว่า พระอาจารย์มั่น ขอให้ท่านรับเป็นเจ้าอาวาสวัดเจดีย์หลวง พร้อมทั้งตำแหน่งพระอุปัชฌาย์ สั่งให้เจ้าแก้วนวรัตน ณ เชียงใหม่ เป็นผู้เเทนการ ขอให้พระอาจารย์มั่นทำหน้าที่แทนเจ้าอาวาสเดิมต่อไป สรุปได้ใจความสั้นๆ อย่างนี้ พอพระอาจารย์มั่นได้ทราบเรื่องราวแล้ว ท่านก็เรียกไปหาแล้วพูดว่า "เราต้องออกจากวัดเจดีย์หลวงไปอยู่ที่อื่น"... (ท่านพ่อลี ธมฺมธโร)

         

2.12 ให้การอุปสมบท นายเกตุ มณีโชติเพียงหนึ่งเดียว

พระปลัดเกตุ วณฺณโก (หลวงตาเกตุ)

ผู้เป็นสิทธวิหาริก ในองค์หลวงปู่มั่น ภูริทตฺโต เพียงรูปเดียว ที่องค์หลวงปู่มั่น เป็นอุปัชฌาย์จารย์อุปสมบทให้

(รูปจาก จารึกไว้ในล้านนา และ ฐานข้อมูล Admin)

 

หลวงปู่มั่น ได้ให้การบรรพชาอุปสมบทแก่บุคคลเพียงคนเดียว (หรือเมื่อกลับไปอยู่ภาคอีสานแล้ว อาจยังเมตตาเป็นพระอุปัชฌาย์เยาวชนเป็นสามเณรเป็นครั้งคราวอยู่บ้าง ไม่อาจทราบได้) บุคคลที่หลวงปู่มั่นเมตตาให้นั้น ชื่อ นายเกตุ มณีโชติ เป็นชาวจังหวัดเพชรบุรี เกิดเมื่อวันที่ 10 ธันวาคม พ.ศ.2435 เป็นบุตรของ นายแก้ว นางเปี่ยม อาศัยอยู่ที่ ต.ท่าราบ อ.คลองกระแซง จ.เพชรบุรี อาชีพค้าขาย

น่าสังเกตก็คือ นายเกตุเป็นคนพิการตามองเห็นได้ไม่ถนัด เวลาเดินเหมือนคนขาสั้นขายาวไม่เท่ากัน รูปร่างผอม องค์หลวงปู่มั่น เมตตาเป็นพระอุปัชฌาย์ให้ ได้ฉายาว่า วณฺณโก

ต่อมาได้รับแต่งตั้งเป็น พระปลัดเกตุ ฐานานุกรม ของพระพุทธิโศภน (แหวว ธมฺมทินโน)เจ้าอาวาสวัดเจดีย์หลวงรูปที่ 3 พระปลัดเกตุอยู่'ครองสมณเพศ จำพรรษาอยู่วัดเจดีย์หลวงตลอดมา ทำหน้าที่เป็น "ภัณฑาคาริก" (ภัณฑารักษ์) ดูแลสิ่งของสมบัติของวัด

ท่านมรณภาพ เมื่อวันที่ 2 กรกฎาคม พ.ศ.2512 ณ กุฏิจงจิตร ที่ท่านพำนักอยู่วัดเจดีย์หลวง

ความเป็นมาและเหตุที่องค์หลวงปู่มั่น บวชให้หลวงตาเกตุ เพียงรูปเดียวนั้น มีกล่าวไว้ในประวัติหลวงปู่จาม ได้เล่าไว้พอเป็นเกร็ด ทำให้ได้เค้าลางว่า หลวงตาเกตุเป็นคนเมืองเพชรบุรีมาบวชเมื่อแก่ แต่ที่ได้ไปลงหลักปักฐานที่เชียงใหม่นั้นเป็นเพราะ "หลวงตาเกตุเป็นญาติพี่น้องกับนายตำรวจ นายสถานี อ.พร้าว ติดตามญาติขึ้นไป จึงได้เข้าทำงานเป็นสมุห์บัญชี แก่เฒ่าก็มาบวชกับเพิ่นครูอาจารย์มั่น (ภูริทัตโต)" (บวชให้รูปเดียวพอ, ส.กวีวัฒน์)

พระเถรานุเถระในงานฌาปนกิจองค์หลวงปู่มั่น ภูริทตฺโต ในรูป หลวงตาเกตุ คือองค์ที่ระบุเลขที่ 33 ท่านได้รับอัฐิองค์หลวงปู่มั่นมารับในนามของ จ.เชียงใหม่ เมื่อปี พ.ศ.2493
(รูปจาก คลังสารสนเทศดิจิทัล มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์)

หลวงปู่จาม เล่าถึงสาเหตุที่หลวงปู่มั่นอุปสมบทให้หลวงตาเกตุ ตามที่ได้ฟังมาจากหลวงปู่ตื้อ อจลธมฺโม ว่า "เหตุที่เพิ่นครูอาจารย์มั่น (ภูริทัตโต) บวชให้ก็เพราะต่อไปเมื่อหน้าจะเป็นผู้สานต่อประโยชน์ของครูอาจารย์มาไว้ทางเหนือ เพราะหลวงตาเกตุเคารพนับถือครูอาจารย์ใหญ่อย่างแท้จริง ก็คงจริงอย่างนั้น" (พระธมฺมธโร ครูบาแจ๋ว)

หลวงตาเกตุ หน้ากุฏิจงจิตร สถานที่เก็บอัฐิธาตุ องค์หลวงปู่มั่น
(รูปจาก จารึกไว้ในล้านนา)

รูปอัฐิและฟันกรามองค์หลวงปู่มั่น ภูริทตฺโต จากหนังสือกองทัพธรรมพระกรรมฐาน ซึ่งเป็นปฐมเหตุแห่งการสืบค้น ปูชนียวัตถุนี้ ให้กลับมาเป็นสิ่งรำลึกบูชาถึงองค์พระบูรพาจารย์อีกครั้ง
(รูปจาก หนังสืองานพระราชทานเพลิงศพ นางพุ่ม งามเอก)
 

          แม้องค์หลวงปู่มั่น จะจากวัดเจดีย์หลวงไป แต่หลวงตาเกตุ ยังคงจำพรรษาอยู่วัดเจดีย์หลวงตลอดอายุขัย จนกระทั่งองค์หลวงปู่มั่นมรณภาพ หลวงตาเกตุ ได้เดินทางไปร่วมในพิธีฌาปนกิจศพ ในปี พ.ศ.2493 หลวงตาเกตุ ยังได้รับอัฐิองค์หลวงปู่มั่น ในฐานะตัวแทนจังหวัดเชียงใหม่ และท่านยังรักษาฟันกราม ที่กล่าวกันว่า องค์หลวงปู่มั่นได้มอบให้กับ หลวงปู่อ่อนสี สุเมโธ แต่เมื่อองค์หลวงปู่มั่น ได้จากวัดเจดีย์หลวงไปในปี พ.ศ.2483 หลวงปู่อ่อนสี มิได้นำฟันซี่นี้ลงไปด้วย ซึ่งหลวงตาเกตุ ได้เก็บรักษาสืบต่อมา จนมรณภาพไป

ภายในกุฏิจงจิตร สถานที่เก็บอัฐิธาตุ องค์หลวงปู่มั่น

(รูปจาก จารึกไว้ในล้านนา)

 

 


ฟันกรามและอัฐิธาตุองค์หลวงปู่มั่น ภูริทตฺโต ที่หลวงตาเกตุ วณฺณโก ได้เก็บรักษาไว้ ปัจจุบันประดิษฐาน ณ พระวิหารหลวงปู่มั่น ภูริทตฺโต วัดเจดีย์หลวง อ.เมือง จ.เชียงใหม่

(รูปโดย Admin)


หลวงปู่อ่อนสี สุเมโธ

ผู้ได้รับมอบฟันกรามจากองค์หลวงปู่มั่น

แต่ได้ไว้ที่วัดเจดีย์หลวง มิได้นำกลับไปด้วย
(รูปจาก ฐานข้อมูล Admin)

          เรื่องราวอัฐิและฟันกรามองค์หลวงปู่มั่น ได้เลือนลางไป พร้อมกับเรื่องราวองค์หลวงปู่มั่น ที่เกี่ยวเนื่องกับวัดเจดีย์หลวง จนกระทั่งได้ถูกค้นพบอีกครั้ง ในปี พ.ศ.2544 จนเป็นปฐมนิมิตให้เริ่มก่อสร้างวิหารบูรพาจารย์เพื่อประดิษฐานฟันกรามและอัฐิธาตุ เมื่อวันที่ 2 กุมภาพันธ์ 2545 สร้างแล้วเสร็จ ทำพิธีถวายเมื่อวันที่ 7 พฤศจิกายน 2546 เป็นอนุสรณ์ถึงองค์หลวงปู่มั่น อีกทั้งตำแหน่งของวิหารยังอยู่ใกล้กับตำแหน่งที่ตั้งของกุฏิทัณตเขต บริเวณด้านหน้าวิหารบูรพาจารย์ หากยืนหันหลังให้วิหารเยื้องไปทางขวามือเล็กน้อย ด้านหน้าต้นยางใหญ่ข้างวิหาร คุณูปการของหลวงตาเกตุ ที่ให้ไว้แก่วัดเจดีย์หลวง จึงทำให้เรื่องราวของหลวงปู่มั่น ได้จารึกไว้ตั้งแต่นั้น

 

2.13 ละพัดยศตราตั้งออกปฏิบัติ

ภายหลังจากออกพรรษาไปแล้ว 2 วัน องค์หลวงปู่มั่น ได้ให้ท่านท่านพ่อลี ไปวิเวกบนดอย จ.ลำพูน ผ่านไปแล้วไปมาณ 12 วัน ในเย็นวันหนึ่งมีคนส่งจดหมายขององค์หลวงปู่มั่น มาถึงท่านพ่อลี ให้รีบกลับวัดเจดีย์หลวงโดยด่วน เนื่องด้วยองค์หลวงปู่มั่น จะออกจากวัดเจดีย์หลวง แต่ทว่าท่านพ่อลีตามไปวัดเจดีย์หลวงไม่ทัน องค์หลวงปู่มั่น ได้ออกจากวัดเจดีย์หลวงไปแล้ว โดยไม่ทราบว่าไปไหน

ซึ่งปรากฏว่า ในพรรษากาลปี พ.ศ.2476 องค์หลวงปู่มั่นจำพรรษาที่ ป่าเมี่ยงห้วยทราย อ.เวียงป่าเป้า จ.เชียงราย ซึ่งเป็นสถานที่ที่ไกลจากวัดเจดีย์หลวงมากกว่าช่วงที่ 1 ซึ่งอาจเป็นการสละตำแหน่งต่างๆ อย่างเด็ดขาด เพราะท่านเองยังเห็นว่า ท่านเองก็ยังปฏิบัติไม่แจ่มแจ้ง อีกทั้งได้สนองพระเดชพระคุณท่านเจ้าคุณอุบาลีฯ ด้วยความเคารพอย่างสุดความสามารถแล้ว สมควรที่จะละทิ้งสิ่งที่จะก่อให้เกิดลาภยศ ซึ่งเป็นสิ่งที่ปุถุชนจะสละออกได้ยาก ดังบันทึกในประวัติท่านพ่อลี ที่กล่าวถึงระยะเวลาช่วงที่ท่านเดินทางออกจากวัดเจดีย์หลวง ซึ่งน่าจะผ่านไปแล้วประมาณเกือบ 1 เดือน และจากบันทึกประวัติองค์หลวงปู่มั่น บันทึกโดยหลวงพ่อวิริยังค์ ที่อธิบายถึงเหตุผลและจุดหมายการเดินทาง ที่จะไปให้ไกลที่สุด  ดังนี้


(รูปจาก กุสลมหาเถรานุสรณ์ เล่ม 1)
 

... ประมาณ 5 โมงเย็น มีคนถือจดหมายของพระอาจารย์มั่นขึ้นไปให้บนยอดดอย ในจดหมายนั้นมีใจความว่า

"ให้ท่านรีบเดินทางกลับวัดโดยด่วน ผมจะต้องออกเดินทางจากวัดเจดีย์หลวงในตอนเช้า เพราะรถด่วนจะถึงเชียงใหม่ในตอนเย็น"

จึงรีบเดินทางจากยอดดอย...พอดีพลบค่ำจึงไปพักในป่าช้า 1 คืน เช้าออกเดินทางเข้าเมืองเชียงใหม่ ทราบว่าพระอาจารย์มั่นเดินทางออกจากวัดเจดีย์หลวงตั้งแต่เช้า สอบถามดูก็ไม่มีใครทราบว่าไปทางไหนจึงจะพบ... (ท่านพ่อลี ธมฺมธโร)

...แม้เราจะพยายามแนะนำเท่าไรก็ไม่เห็นจะเกิดประโยชน์เท่าที่ควร ไม่มีใครเอาจริงเอาจัง เป็นอย่างไรหนอจึงเป็นเช่นนั้น แม้เราจะได้แสดงธรรม และทั้งทำเป็นตัวอย่างก็ไม่เห็นใครคิดว่าจะเป็นเรื่องสำคัญ เราจึงพิจารณาว่าควรไหมที่จะเอาเกลือมาแลกพิมเสน วันและคืนที่ล่วงไป จะเป็นการเสียประโยชน์อย่างยิ่ง ทั้งตนเองและผู้อื่น

เมื่อคิดถึงท่านเจ้าคุณอุบาลีคุณูปมาจารย์ ที่มีความหวังดี โดยต้องการจะให้วัดเจดีย์หลวงเจริญทั้งด้านปริยัติและปฏิบัติ อันความหวังดีของท่านนั้นก็ดี อยู่ที่ท่านยังไม่รู้ความจริงอีกหลายๆ ประการซึ่งเราเองก็เคารพท่านอยู่ ส่วนการเคารพก็เคารพ แต่ส่วนความจริงก็ต้องมีส่วนหนึ่ง ศาสนาเป็นสิ่งให้คุณประโยชน์ แต่ถ้าเราทำไม่ถูกจังหวะกาลเทศะมันอาจจะทำให้เสียกาลเวลาที่ล่วงไป โดยจะพึงได้ประโยชน์น้อยไป ความจริงท่านพระเถระทั้งหลาย ท่านชอบจะทำในสิ่งที่ท่านเห็นว่ามันเป็นประโยชน์ ทั้งๆ ที่สิ่งนั้นจะเป็นโทษแก่คนอื่นเพราะมองแง่เดียว ครั้นเมื่อผู้น้อยไม่ทำตามก็หาว่าดื้อรั้นชอบตำหนิ นี้ก็เป็นเหตุหนึ่งที่ควรจะคำนึงไว้ให้มาก หากว่าจะมีการติดต่อ อยู่ร่วมใกล้ชิดในสังคมนั้น

ท่านอาจารย์มั่นฯได้เล่าให้ผู้เขียนฟังต่อไปว่า

เมื่อเราได้พิจารณาโดยรอบคอบแล้ว กับการคิดถึงตัวว่าจำเป็นจะต้องฝึกฝนตนต่อไป หากว่าได้เป็นสมภารและอยู่นานไป ความเป็นห่วงทั้งการงานญาติโยมมากขึ้น เรามาคิดว่าการเป็นเช่นนั้นก็ได้ประโยชน์อยู่หรอก แต่มันน้อยนักสำหรับนักปฏิบัติ เพราะถือเป็นอาวาสปลิโพธิ ทั้งจะเป็นตัวอย่างไม่ดีแก่ศิษย์ของเราอีกจำนวนมาก ซึ่งธรรมดาก็ชอบอยากจะเป็นสมภารกันอยู่แล้ว เมื่อมีคนนับถือมาก ลาภสักการะก็มากตามขึ้นด้วย

ท่านได้ยกพุทธภาษิตว่า "สกฺกาโร ปุริสํ หนฺติ" สักการะฆ่าบุรุษให้ตาย เพราะมัวเมาในลาภ ในยศ แล้วการปฏิบัติก็ค่อยๆ จางลงๆ ทุกที ในที่สุดก็เกิดการฆาตกรรมตัวเอง คือเอาแต่สบาย ไม่มีการบำเพ็ญกัมมัฏฐานให้ยิ่งขึ้น มีแต่จะหาชื่อเสียง อยากให้คนนับถือมากยิ่งขึ้นโดยวิธีการต่างๆ นี้คือฆาตกรรมตัวเอง...

...เมื่อได้เวลาอันสมควรแล้ว ท่านก็พูดว่า พัดยศ ประกาศนียบัตร พวกเจ้าจงพากันอยู่วัดเจดีย์หลวงนี้เถิด ส่วนพระมั่นฯ จะไปแล้ว เท่านั้นเองท่านก็ลาจากความเป็นเจ้าอาวาส และพระครู โดยไม่มีหนังสือลา เป็นการลาโดยธรรมชาติ ซึ่งมีสิ่งหนึ่งภายในให้เป็นไปตามกาลเวลา อันเป็นสิ่งที่จะพึงมีแก่นักปฏิบัติธรรมทั้งหลาย ซึ่งไม่มีอะไรเป็นเบื้องหน้าเบื้องหลัง หรือความเคลือบแคลง มิได้เป็นกลอุบาย อย่างบางท่านปากว่าตาขยิบ ฉันไม่อยากเป็นเจ้าอาวาส แต่ใจของฉันนั้นอยากจะเป็นแทบจะระเบิด


รูปเหมือนองค์หลวงปู่ ภูริทตฺโต ภายในวิหารหลวงปู่มั่น ภูริทตฺโต วัดเจดีย์หลวง อ.เมือง จ.เชียงใหม่
(รูปจาก โครงการท่องเที่ยวโดยชุมชน ตามรอยองค์หลวงปู่มั่น ภูริทัตโต)

เมื่อท่านจัดบริขารของการไปธุดงค์ เป็นต้นว่ากลดมุ้ง บาตร และสิ่งจำเป็นอื่น ๆ ที่จะพึงใช้ สิ่งเหล่านี้ท่านบอกว่าก็ใช้อยู่เป็นประจำ แม้จะมาอยู่ที่วัดเจดีย์หลวงก็ยังปฏิบัติทุกอย่างเช่นกับอยู่ในป่าดงและธุดงค์ การฝึกตนนั้นเราก็ต้องทำอยู่เป็นอกาลิโก ไม่เลือกกาลเวลาและสถานที่ โอกาสให้เมื่อไหร่ก็ต้องทำ ทั้งนี้เพื่อความไม่ประมาท การที่นักปฏิบัติธรรม ผู้รอกาลเวลาสถานที่ แม้โอกาสให้แล้วแต่ก็มัวแต่รอ รอว่าแก่ก่อน อายุมากก่อน รอว่าเข้าป่าก่อน อยู่ในดงในเขาก่อนจึงจะทำ รอเข้าพรรษาก่อน ออกพรรษาไม่ทำ มัวแต่เลือกกาล เลือกสถานที่ ก็เลยเสียเวลาไปโดยใช่เหตุ

การเดินเข้าไปหาที่วิเวก ออกจากวัดเจดีย์หลวงครั้งนั้น ท่านเล่าว่า ถนนรถยนต์ไม่มี เป็นป่าดงที่มืดครึ้มโดยความประสงค์เราต้องการที่จะไปให้ไกลที่สุด จึงได้มุ่งตรงไปทางอำเภอพร้าว เราก็เดินไปค้างแรมไปตามทาง เมื่อเห็นว่าเป็นที่สงบสงัดดีก็พักอยู่นาน เพื่อปรารภความเพียร เมื่อเห็นว่าจะเป็นการคุ้นเคยกับญาติโยมมากเข้าก็ออกเดินทางต่อไป.. (หลวงพ่อวิริยังค์ สิรินฺธโร)

ขอขอบคุณ
คุณบุ๊ค คุณแอน คุณกุ่ย คุณแจน ช่วยอ่านตรวจแก้ตัวอักษา
บุญตาแอนติค และ คุณกมล นิลปาน อนุเคราะห์รูปครูบาอาจารย์
คลังสารสนเทศดิจิทัล มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ อนุเคราะห์ข้อมูล
โครงการท่องเที่ยวโดยชุมชน ตามรอยองค์หลวงปู่มั่น ภูริทัตโต อุปถัมป์การดำเนินการรวบรวมข้อมูล
หากมีข้อผิดพลาดประการใด Admin กราบขออภัยไว้ ณ ที่นี้

อ้างอิง

1) ประวัติพระอาจารย์มั่น ภูริทตฺตเถร โดย หลวงปู่มหาบัว ญาณสมฺปนฺโณ พ.ศ. 2547

2) ประวัติหลวงปู่มั่นฉบับสมบูรณ์ โดย หลวงพ่อวิริยังค์ ฯ พ.ศ.2541

3) หนังสือที่ระลึกในงานพระราชทานเพลิง พระญาณวิศิษฏ์ (พระอาจารย์สิงห์ ขนฺตยาคโม) โดย พระอริยคุณาธาร พ.ศ. 2505

4) อัตตโนประวัติ พระราชนิโรธรังสีคัมภีรปัญญาวิศิษฏ์ ลายมือหนังสือธรรมของ พระอาจารย์ฝั้น อาจาโร วงศ์ธรรมยุติในภาคอีสาน โดย หลวงปู่เทศก์ เทสรํสี พ.ศ.2539

5) อาจาราภิวาท อนุสรณ์ พระอาจารย์ฝั้น อาจาโร พ.ศ.2520

6) ตามรอยธุดงควัตร พระอาจารย์เสาร์ กนฺตสีโล โดย ธิดาวรรณ-พิศิษฐ์ ไสยสมบัติ พ.ศ. 2546

7) ชีวประวัติพระคุณเจ้าหลวงปู่ชอบ ฐานสโม, ฉบับปรับปรุง พศ.2535

8) จนฺทปชฺโชตเถรปูชา ที่ระลึกในงานพระราชทานเพลิงศพ สมเด็จพระมหามุนีวงศ์ (สนั่น จนฺทปชฺโชโต) วันที่ 7 มิถุนายน พ.ศ.2542

9) ทางสู่สันติ อนุสรณ์ในงานฌาปนกิจศพ พระอาจารย์กงมา จิรปุญฺโญ วันที่ 3 มีนาคม พ.ศ.2506

10) ธรรมประวัติ หลวงปู่จาม มหาปุญฺโญ ผู้มากมีบุญ โดย พระธมฺมธโร ครูบาแจ๋ว พ.ศ.2555

11) บทความ "คณะธรรมยุตติกนิกายภาคเหนือ" โดย พระวินัยโกศล (ภายหลัง คือ พระพุทธพจน์วราภรณ์ (หลวงปู่มหาจันทร์ กุสโล))  จากหนังสือ สมโภช 600 ปี พระธาตุเจดีย์หลวง พ.ศ.2538

12) บทความ "ปฏิปทาบูรพาจารย์ ผู้นำจิตวิญญาณล้านนา" โดย ส.กวีวัฒน์ จากหนังสือ จารึกไว้ในล้านนา พ.ศ.2563

13) บทความ "หลวงปู่มั่นกับดอยสุเทพ" โดย ส.กวีวัฒน์ จากหนังสือ จารึกไว้ในล้านนา พ.ศ.2563

14) บทความ "บวชให้รูปเดียวพอ" โดย ส.กวีวัฒน์ จากหนังสือ จารึกไว้ในล้านนา พ.ศ.2563

15) พันทุลาภิบูชา คณะศิษยานุศิษย์อุทิศบูชาคุณานุคุณ ในงานพระราชทานเพลิงศพ พระธรรมเจดีย์ (จูม พนฺธุโล) วันอาทิตย์ที่ 2 มิถุนายน พ.ศ.2506

16) บูรพาจารย์ โดย สุกัญญา มกุฏอรฤดี, ณิชารีย์ แก้วพรรณา พ.ศ.2549

17) ประชุมปกรณัม ภาคที่ 5 นนทุกปกรณัม โดย ราชบัณฑิตยสภา พระโสภณอักษรกิจ พิมพ์สนองคุณในงานพระราชทานเพลิงศพ ท่านน้อย เปาโรหิตย์ มารดาเจ้าพระยามุขมนตรี เมื่อปีมะแม พ.ศ.2474

18) หนังสืออนุสรณ์ในงานพระราชทานเพลิง พระราชเมธาจารย์ (ผิว ฐิตเปโม) วันที่ 3 มิถุนายน พ.ศ.2538

19) ทางสู่สันติ และประวัติพระครูอุดมธรรมคุณ (ทองสุก สุจิตฺโต) พิมพ์เป็นอนุสรณ์ในงานฌาปนกิจศพพระครูอุดมธรรมคุณ (ทองสุก สุจิตฺโต) วันที่ 1 กุมภาพันธ์ พ.ศ.2509 โดย พระครูญาณวิริยะ (หลวงพ่อวิริยังค์ สิรินฺธโร)

20) หลวงปู่เหรียญ วรลาโภ จัดพิมพ์เป็นธรรมบรรณาการ เนื่องในการเสด็จพระราชทานเพลิงศพ พระสุธรรมคณาจารย์ (หลวงปู่เหรียญ วรลาโภ) วันที่ 14 ธันวาคม พ.ศ.2552

21) หลวงปู่เจี๊ยะ จุนฺโท พระผู้เป็นดั่งผ้าขี้ริ้วห่อทอง ฉบับสมบูรณ์ เนื่องในพิธีพระราชทานเพลิงศพ วันพฤหัสบดีที่ 23 ธันวาคม พ.ศ.2547 โดย พระมหาธีรนาถ อคฺคธีโร

22) ญาณสัมปันนธัมมานุสรณ์ อนุสรณ์ในงานพระราชทานเพลิงฯ พระธรรมวิสุทธิมงคล (หลวงตาพระมหาบัว ญาณสัมปันโน)

23) บทความ "สามสมเด็จศิษย์หลวงปู่มั่น" โดย Admin เพจ แฟนพันธุ์แท้ศิษย์หลวงปู่มั่น, พ.ศ.2563

< ตอนก่อนหน้า : ตอนต่อไป >