ภาวนา ณ ถ้ำเชียงดาว
วัดถ้ำเชียงดาว อ.เชียงดาว จ.เชียงใหม่
ตามรอยธรรมองค์หลวงปู่มั่น ภูริทตฺโต ตอนที่ 33
รูปเหมือนองค์หลวงปู่มั่น ภูริทตฺโต ประดิษฐาน ณ วิหารฯ วัดเจดีย์หลวง อ.เมือง จ.เชียงใหม่ สถานที่ต้นทางที่องค์หลวงปู่มั่นจาริก มาจนถึงถ้ำเชียงดาว (รูปโดย Admin)
ภายหลังองค์หลวงปู่มั่น ภูริทัตโต มาพำนักและจำพรรษาอยู่วัดเจดีย์หลวง ในพรรษากาลปี พ.ศ.2472
ออกพรรษาแล้ว ท่านได้กราบลาท่านเจ้าคุณพระอุบาลีฯ เพื่อไปเที่ยวแสวงหาที่วิเวกตามอำเภอต่าง ๆ ในจังหวัดเชียงใหม่ ที่มีป่ามีเขามาก ท่านเจ้าคุณพระอุบาลีฯ ก็อนุญาตตามอัธยาศัยในที่สุดก็เดินทางถึงถ้ำเชียงดาว เป็นปี พ.ศ.2473 (ซึ่งคาดว่าอยู่ในช่วงออกพรรษา Admin)
รูปถ้ำเชียงดาวในอดีตพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระกำแพงเพชรอัครโยธิน ขณะดำรงตำแหน่ง ผู้บัญชาการกรมรถไฟหลวง ได้เสด็จสำรวจพื้นที่ภาคเหนือของสยาม เพื่อวางแผนการขยายเส้นทางรถไฟจากภาคกลางขึ้นสู่จังหวัดเชียงใหม่ หนึ่งในพื้นที่ที่พระองค์เสด็จถึง คือ อำเภอเชียงดาว ซึ่งมีภูมิประเทศโดดเด่นด้วยภูเขาสูงและถ้ำหินปูนขนาดใหญ่ ได้แก่ ถ้ำเชียงดาวในปี พ.ศ. 2470 (รูปจาก Facebook เพจ เรื่องนี้ต้องรู้)
ในขณะนั้นถ้ำเชียงดาวยังไม่มีการปรับปรุงอะไร ชาวบ้านแถว ๆ นั้นมีไม่กี่ครอบครัว (หลวงพ่อวิริยังค์ สิรินฺธโร)โดยมีเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น จากบันทึกต่างๆ ดังนี้
ถ้ำหลวงเชียงดาว วัดถ้ำเชียงดาว อ.เชียงดาว จ.เชียงใหม่ (รูปโดย Admin)
1. ถ้ำที่องค์หลวงปู่มั่น พักอยู่ที่เชียงดาว
หลวงตามหาบัว ญาณสมฺปนฺโน ได้บันทึกถึงตำแหน่งถ้ำที่องค์หลวงปู่มั่นพักอยู่ ดังนี้
...นับเป็นสถานที่เหมาะแก่การบำเพ็ญสมณธรรมเป็นอย่างดียิ่งสำหรับถ้ำที่ท่านมาพักบำเพ็ญเพียรนั้นมิใช่ถ้ำยาวเข้าไปในกลางเขา ที่ประชาชนชอบเข้าไปเที่ยวกันเป็นประจำแต่เป็นถ้ำหนึ่งที่สูงขึ้นไปกว่า เป็นถ้ำที่ท่านพักอยู่...(หลวงตามหาบัว ญาณสมฺปนฺโน)
|
|
|
|
ถ้ำง๊อบ เป็นถ้ำขนาดเล็กที่อยู่เหนือถ้ำหลวงเชียงดาวขึ้นมา มุขปาฐะของชาวบ้านในพื้นที่กล่าวว่า เป็นถ้ำที่องค์หลวงปู่มั่น เคยมาพำนักอยู่ โดยมีตำแหน่งสอดคล้องตามบันทึกประวัติองค์หลวงปู่มั่น โดย หลวงตามหาบัว อนึ่งภายหลังจากองค์หลวงปู่มั่นจากไปแล้ว ได้มีการกั้นผนัง ทำประตูเปิดปิด เขียนรูปภายในน้ำถ้ำ (รูปจาก โครงการท่องเที่ยวโดยชุมชน ตามรอยองค์หลวงปู่มั่น ภูริทตฺโต) |
ตำแหน่งถ้ำที่อยู่เหนือถ้ำเชียงดาวหรือเรียกว่าถ้ำหลวงนั้น จากมุขปาฐะของคนในพื้นที่ อีกทั้งจากการรวบรวมของ ส.กวีวัฒน์ ได้กล่าวถึงในปัจจุบันเรียกว่า ถ้ำง๊อบ ซึ่งอยู่ในตำแหน่งที่อยู่เหนือถ้ำหลวงขึ้นมาเล็กน้อย สอดคล้องกับตำแหน่งที่หลวงตามหาบัว กล่าวถึงในประวัติองค์หลวงปู่มั่น ปัจจุบันมีการต่อเติมเป็นห้องกั้นปากถ้ำและประตูปิดไว้ ด้านในมีการตบแต่งและเขียนผนังถ้ำของผู้ที่ไปอยู่อาศัยในสมัยหลัง
2. อยู่ในถ้ำเชียงดาวเป็นอีกโลกหนึ่ง
....ครั้งแรก ๆ เราก็พักอยู่ตรงตีนเขาและบำเพ็ญสมณธรรม ต่อไปก็ขยับอยู่ที่ปากถ้ำ ตรงปากถ้ำนั้นมีก้อนหินใหญ่ ท่านใช้ก้อนหินนั้นเป็นที่นั่งสมาธิ มีความรู้สึกว่าอยู่ในโลกอีกโลกหนึ่งไม่ใช่โลกนี้ ไม่ว่าจะเดินหรือนั่ง ข้อนี้ทำเอาผู้เขียนสงสัยขึ้น ได้ถามท่านว่า
"ที่ว่าเหมือนอยู่ในโลกหนึ่งไม่ใช่โลกนี้นั้น ท่านอาจารย์หมายความว่าอย่างไร ?"
ท่านตอบว่า ขณะที่เราเร่งความเพียร ความยึดถือต่าง ๆ นี้มันจะหดตัวเข้าทุกที เพราะความยึดถือตัวนี้เองจึงเหมือนหนึ่งไม่ใช่โลกนี้ เพราะโลกนี้นั้นเป็นอยู่ด้วยความเข้าใจกันต่าง ๆ นานา นั้นมาจากความยึดถือทั้งสิ้น โลกนี้จึงอยู่ด้วยอุปาทานคือ ความยึดถือ เรายิ่งอยู่ในป่าลึกไม่ใคร่จะมองเห็นคน และสิ่งก่อสร้างต่าง ๆ นานา ทั้งได้บำเพ็ญกัมมัฏฐาน เพ่งจิตจดจ่ออยู่เฉพาะจิต ความเป็นเหมือนหนึ่งไม่ใช่โลกนี้ก็จะมากยิ่งขึ้น...(หลวงพ่อวิริยังค์ สิรินฺธโร)
3. อยู่ในถ้ำมืดช่วยให้ภาวนาสงบแต่ไม่ควรติด
....ต่อจากนั้นท่านอาจารย์มั่นฯท่านเล่าว่า
เราก็ค่อย ๆ เขยิบเข้าไปในนั่งในถ้ำลึกเข้าไป จนมืดมิดและเย็นมาก หายใจก็รู้สึกอึดอัด เมื่อท่านเข้าไปนั่งในถ้ำลึกนั้น ท่านได้พยายามที่กำหนดจิต ปรากฏว่ามันก็ทำให้มืดไปกับถ้ำด้วย ทำให้จิตรวมได้ง่าย แต่สงบดีมากและสงบง่ายมาก แต่เมื่อสงบแล้วจะพิจารณาอะไรก็ไม่ค่อยจะออก ท่านได้พยายามอยู่หลายเวลา และก็ได้พิจารณาได้ความว่า การทำความสงบในเบื้องต้นนั้น หากว่าใช้สถานที่มิดชิด จะเป็นประโยชน์ได้ผลเร็ว ยิ่งเป็นถ้ำมิดชิดก็ยิ่งดี แต่ถ้ำมิดชิดนี้จะอยู่นานไม่ดี เอาแต่เพียงได้ประโยชน์แล้วก็รีบเปลี่ยนสถานที่เสีย เพราะจะทำให้เคยตัว หรืออีกอย่างหนึ่งก็จะทำให้เกิดโรคภัยไข้เจ็บ เป็นต้นว่าโรคเหน็บชา หรือมาลาเรีย...(หลวงพ่อวิริยังค์ สิรินฺธโร)
ภายในถ้ำหลวงเชียงดาวอันมืดมิด บริเวณนี้ที่กล่าวกันว่า องค์หลวงปู่มั่น ได้เคยมาบำเพ็ญภาวนา (รูปโดย Admin)
4. พัฒนาจิตในถ้ำมืดจนสลายความอึดอัด
...เมื่อเข้าไปอยู่ลึกอย่างนั้น การพิจารณาก็ขยายออกยากมาก แต่ท่านเป็นนักผจญภัยและนักสู้ที่แท้จริง ไม่ยอมแพ้แก่ธรรมชาติอย่างง่ายๆ ท่านได้พยายามอยู่ในถ้ำลึกคืนหนึ่ง กำหนดจิตอย่างหนักเพื่อให้เกิดพลังของการพิจารณา ท่านว่าไม่ยอมให้มันมิดไปเฉย ๆ กำหนดความรู้และใช้กำลังพิจารณาควบคู่กันไป เมื่อปล่อยให้มันมิดแต่ตามกำหนดรู้ แล้วก็ขยายการมิดให้ออกมาพิจารณา
ภายในถ้ำหลวงเชียงดาวอันมืดมิด บริเวณนี้ที่กล่าวกันว่า องค์หลวงปู่มั่น ได้เคยมาบำเพ็ญภาวนา (รูปโดย Admin)
ท่านพูดว่า
ได้กำหนดเป็นอนุโลม และปฏิโลม อนุโลม คือปล่อยให้มันไป ปฏิโลมคือไม่ยอมให้มิด กำหนดพิจารณา พิจารณาอะไร พิจารณาถึงสังขารทั้งหลายว่าเป็นของไม่เที่ยง เกิดขึ้นดับไป อาศัยการพิจารณาอยู่อย่างนี้ ด้วยความมีสติกำหนดไม่ปล่อย กำลังของปัญญาก็รวมจุดเกิดเป็นพลังใหญ่ ใช้เวลาประมาณ 2.00 น. กลางคืน (ตี 2) ปรากฏขึ้นในใจของท่านว่า ถ้ำเชียงดาวได้แยกออกเป็นสองซีก สว่างไปหมดที่แยกออกนั้น แยกออกจริง ๆ การหายใจที่เคยอึดอัดหายหมด ความเป็นเช่นนั้นได้ปรากฏอยู่ตลอดคืน ท่านเล่าว่าทุกอย่างเหมือนไม่ได้อยู่ในถ้ำ ทำให้รู้สึกถึงอดีตอะไรมากอย่างทีเดียว พร้อมทั้งเข้าใจวิธีการแก้ไขในขณะที่เกิดความหลงอยู่ในสมถะ ท่านเคยตำหนิผู้ที่หลงอยู่ในสมถะมากมายหลายองค์ เพราะว่าการหลงอยู่ในสมถะก็เท่ากับสมาธิหัวตอ ท่านพูดอยู่เสมอๆ ว่าสมาธิหัวตอนั้นเป็นอย่างไร คือมันไม่งอกเงยอะไรขึ้นมา เป็นอย่างไรก็แค่นั้นเอง ข้อนี้ท่านหมายความว่า ผู้มีสมถะแล้วให้มีวิปัสสนาด้วยจึงจะเป็นการถูกต้อง…(หลวงพ่อวิริยังค์ สิรินฺธโร)
5. โปรดพญานาคให้คลายทิฐิ
เกี่ยวกับพญานาคในถ้ำเชียงดาว ที่องค์หลวงปู่มั่น ได้เมตตาไปโปรดพญานาคให้คลายทิฐิ จากการที่ชอบติเตียนพระสงฆ์ที่ไปพักอยู่ แต่สุดท้ายพญานาคก็ไม่สามารถสละนิสัยเก่าได้ จนองค์หลวงปู่มั่นต้องจากไป เพื่อไม่ให้พญานาคตนนี้มีกรรมยิ่งขึ้น
|
|
บริเวณที่กล่าวกันว่า องค์หลวงปู่มั่น เมตตาโปรดพญานาคในถ้ำเชียงดาว มุขปาฐะในพื้นที่เชื่อกันว่า ปัจจุบัน คือ บริเวณที่เรียกว่าถ้ำม้า มีรูปเหมือนองค์หลวงปู่มั่น ประดิษฐานอยู่ (รูปโดย Admin) |
จากบันทึกประวัติองค์หลวงปู่แหวน ได้ระบุถึงตำแหน่งของถ้ำที่พญานาคอาศัยอยู่ จากมุขปาฐะของชาวบ้านในพื้นที่ กล่าวกันว่าปัจจุบันเรียกบริเวณถ้ำนี้ว่า ถ้ำม้า เป็นส่วนหนึ่งของถ้ำหลวงเชียงดาว ที่ปัจจุบันจะต้องให้ไกด์ท้องถิ่นพานำเข้าไป
จากบันทึกประวัติองค์หลวงปู่มั่น โดย หลวงตามหาบัว และ บันทึกประวัติหลวงปู่แหวน ได้กล่าวถึงรายละเอียดไว้ ดังนี้
...ท่านกล่าวว่าในถ้ำที่ท่านพักมีพญานาคตนหนึ่งรักษาถ้ำอยู่เป็นประจำมาเป็นเวลานาน แต่รู้สึกจะเป็นพญานาคมิจฉาทิฐิ จึงชอบยกโทษพระไม่มีประมาณแห่งความพอดีไม่ว่าการไปการมา การเข้าการออกในบริเวณนั้น ท่านต้องทำความระมัดระวังเป็นพิเศษ แม้เช่นนั้นยังต้องได้รับความตำหนิจากพญานาคตัวมิจฉาทิฐิจนได้ตั้งหน้าสร้างแต่ความโมโหโทโสอันเป็นไฟเผาตัวอยู่ตลอดเวลา
ท่านเองก็เมตตาสงสารกลัวพญานาคตนนั้นจะเป็นบาปกรรมหนักเข้าทุกที แต่ก็สุดวิสัยที่จะอนุเคราะห์ได้ในระยะนั้น เพราะพญานาคไม่มาสนใจในเหตุผลอรรถธรรมเอาเลย มีแต่คอยยกโทษอยู่ท่าเดียวบางครั้งท่านก็เตือนเธอให้ทราบเรื่องของสมณะบ้าง
"...การตำหนิติเตียนผู้อื่นแม้เขาจะเป็นผู้ผิดจริง ยังจัดว่าเป็นการก่อกวนจิตใจตนให้ขุ่นมัวไปด้วยอยู่นั่นเอง...การยกโทษผู้อื่นโดยขาดความไตร่ตรองนั้น ไม่มีอะไรดีขึ้นพอได้รับประโยชน์บ้างเลย นอกจากเป็นการสั่งสมโทษและบาปกรรมใส่ตนให้ได้รับความทุกข์ ไม่มีวันสิ้นสุดเท่านั้น จึงควรสลดสังเวชต่อความผิดของตน แล้วงดความรู้ความเห็นชนิดเป็นภัยแก่ตนเสีย ก็จะกลายเป็นผู้ดีมีหวังสุคติเป็นที่ไปในเบื้องหน้า ใจที่เคยเหี้ยมโหดโกรธกริ้วก็จะมีวันสงบเย็น เวลาถ่ายภพถ่ายชาติเกิดในภพใหม่ชาติใหม่ก็มีหวังผลเป็นกำไร คือความสุขเป็นสมบัติ ไม่ล่มจมระงมทุกข์ไปตลอดกาล..."
ท่านก็ถามพญานาคว่าเป็นอย่างไรบ้างที่อาตมาอธิบายธรรมให้ฟังพอเข้าใจบ้างหรือเปล่า
พญานาคได้ตอบท่านว่า เข้าใจได้ดี แต่ตัวผมพญานาคเองมีกรรมหนามาก คงยังไม่เบื่อความอาภัพของตน จึงกำลังถกเถียงกับตัวเองอยู่เวลานี้ ยังไม่ลงรอยกันได้เลย ใจคอยแต่จะไหลลงทางต่ำที่เคยเป็นมาอยู่เรื่อย ๆ ไม่ยอมฟังเสียงอรรถธรรมที่นำมาพร่ำสอนบ้างเลย
พอจบการสนทนา พญานาครับคำท่านว่า จะพยายามทำตามที่ท่านแนะนำ หลังจากนั้นท่านเองก็ทำความเพียรไปและสังเกตพญานาคไป ผลปรากฏว่าดีขึ้นบ้าง ตอนที่ขณะจิตพญานาคซึ่งคอยจะยกโทษท่านบ่อย ๆ ปรากฏขึ้นมาตามนิสัย พญานาคคอยทำความกวดขันตัวเองอยู่เรื่อย ๆ ไม่ปล่อยตัวดังที่เคยเป็นมานัก แต่ก็รู้สึกว่าเป็นความลำบากไม่น้อย เมื่อท่านเห็นความลำบากในการรักษาจิตของพญานาคที่คอยจะคิดไม่ดีอยู่เรื่อย ๆ ท่านเลยหาอุบายลาไปบำเพ็ญสมณธรรมที่อื่น ซึ่งพญานาคก็ยินดีให้ท่านไป เรื่องพญานาคกับท่านจึงเป็นอันยุติลงเพียงแค่นี้...(หลวงตามหาบัว ญาณสมฺปนฺโน)
บริเวณที่กล่าวกันว่า องค์หลวงปู่มั่น เมตตาโปรดพญานาคในถ้ำเชียงดาว มุขปาฐะในพื้นที่เชื่อกันว่า ปัจจุบัน คือ บริเวณที่เรียกว่าถ้ำม้า มีรูปเหมือนองค์หลวงปู่มั่น ประดิษฐานอยู่(รูปโดย โครงการท่องเที่ยวโดยชุมชน ตามรอยองค์หลวงปู่มั่น ภูริทตฺโต)
...ถ้ำดังกล่าวนี้ ต้องแยกขึ้นไปทางซ้ายมือ อยู่เหนือถ้ำหลวงเล็กน้อย พื้นถ้ำมีก้อนหินเป็นรูปกงจักรกับดอกบัว มีพญานาคเฝ้าอยู่ภายใต้แผ่นหินนี้
เวลามีพระเข้าไปภาวนาอยู่ภายในถ้ำนั้น ท่านแทบกระดุกกระดิกตัวไม่ได้เลย เป็นต้องถูกพญานาคกล่าวโทษทันทีว่า สมณะอะไรช่างไม่สำรวม คะนองกายเหมือนเด็กๆ
...อย่างไรก็ตาม ไม่มีพระองค์ใดเข้าไปอยู่ในถ้ำนั้นได้นาน เพราะในถ้ำมีช่องให้อากาศเข้าไปทางเดียว คือ ทางปากถ้ำ เมื่อพระเข้าไปอยู่ข้างในแล้วปิดประตู อากาศภายนอกแทบเข้าไปไม่ได้เลย ทำให้อึดอัดหายใจไม่สะดวก
ยกเว้นหลวงปู่มั่นองค์เดียว ที่ท่านเข้าไปอยู่ในถ้ำนั้นได้นานเป็นวันๆ
หลวงปู่มั่นเคยเทศน์แนะนำพญานาค แต่เธอไม่ยอมรับคำแนะนำ เพราะยังอาลัยอัตภาพปัจจุบันของตนอยู่ ในที่สุดท่านเห็นว่าเข้าไปทำความรำคาญให้แก่เธอ จึงไม่เข้าไปในถ้ำนั้นอีกเลย...(มูลนิธิหลวงปู่แหวน สุจินฺโณ)
6. พระอรหันต์มานิพพานที่ถ้ำเชียงดาว 3 องค์
องค์หลวงปู่มั่น ได้กล่าวถึงความสำคัญของดอยหลวงเชียงดาว ซึ่งเป็นสถานที่มงคล โดยเฉพาะมีพระอรหันต์มานิพพานอยู่ในบริเวณดอยหลวงเชียงดาวถึง 3 องค์ ซึ่งแต่ละองค์ได้ทำให้เห็นถึงอิริยาบถที่แต่ละท่านเข้านิพพาน โดยเฉพาะ
ดอยหลวงเชียงดาว เป็นเทือกเขาหินปูนสลับซับซ้อน เต็มไปด้วยถ้ำมากมาย องค์หลวงปู่มั่นได้เคยกล่าวไว้ว่า มีพระอรหันต์มานิพพานอยู่ในบริเวณดอยหลวงเชียงดาวถึง 3 องค์ จึงเป็นพื้นที่มงคลสำหรับการภาวนา(รูปโดย Admin)
ยังสอดคล้องกับเรื่องเล่าของหลวงปู่เจริญ ญาณวุฑฺโฒ เจ้าอาวาสวัดถ้ำปากเปียง ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของถ้ำในอาณาบริเวณดอยหลวงเชียงดาว ท่านได้ถ่ายทอดให้ฟังว่า หลวงปู่แหวน สุจิณฺโณ ได้เมตตาเล่าให้หลวงปู่เจริญฟัง เกี่ยวกับถ้ำปากเปียงนี้ หลวงปู่มั่นเป็นผู้เล่าให้หลวงปู่แหวนฟังว่าให้ท่าน (คือหลวงปู่แหวน) ไปภาวนาที่ถ้ำนี้ซึ่งถือเป็นมงคล เพราะองค์หลวงปู่มั่นเองก็เคยมาภาวนา แล้วยังเคยมีพระอรหันต์เนิพพานที่นี่ เมื่อหลวงปู่แหวนได้นั่งสมาธิดูจึงทราบว่าพระอรหันต์ที่มานิพพานที่ถ้ำนี้ ท่านนิพพานในอิริยาบถยืน
หลวงตามหาบัว (หันข้าง) นมัสการ หลวงปู่แหวน (นั่งบนเก้าอี้) โดยมี หลวงปู่เจริญ (องค์กลางด้านข้าง) และ หลวงปู่เพียร (องค์ริมขวามือ) อยู่ในเหตุการณ์ด้วย ณ กุฏิหลวงปู่แหวน วัดดอยแม่ปั๋ง อ.พร้าว จ.เชียงใหม่(รูปจาก Internet)
หลวงปู่เจริญ ญาณวุฑฺโฒ เจ้าอาวาสวัดถ้ำปากเปียงอ.เชียงดาว จ.เชียงใหม่ ท่านได้เคยฟังจากที่หลวงปู่แหวน ได้เล่าว่า องค์หลวงปู่มั่น ได้เคยมาภาวนาที่ถ้ำปากเปียง และหลวงปู่แหวน ได้พิจารณาเห็นว่า ภายในถ้ำเคยมีพระอรหันต์ มานิพพานในอิริยาบถยืน (รูปโดย Admin)
จากบันทึกประวัติองค์หลวงปู่มั่น โดย หลวงตามหาบัว ได้กล่าวถึงรายละเอียดไว้ ดังนี้
….ขณะที่ท่านพักอยู่ในถ้ำเชียงดาวปรากฏนิมิตต่าง ๆ ซึ่งองค์หลวงตามหาบัว ญาณสัมปันโน ได้บันทึกไว้ คือ ตอนกลางคืนยามดึกสงัดแทบทุกคืน มีเทวดามาจากเบื้องบนชั้นต่าง ๆ บ้าง มาจากเบื้องล่างที่ต่าง ๆ บ้าง มาฟังเทศน์องค์หลวงปู่มั่น คืนละ 3 พวกบ้าง 2 พวกบ้าง 1 พวกบ้าง ตามเวลาที่ท่านนัดให้มา และมีพระอรหันต์มาสัมโมทนียกถาธรรม เครื่องรื่นเริงกับท่านเสมอมิได้ขาด พระอรหันต์ที่มานั้น ต่างองค์ต่างแสดงวิธีนิพพานของตนท่าต่าง ๆ ให้ท่านดูบ้าง ทั้งองค์ที่มานิพพานในถ้ำนั้นและนิพพานในที่อื่น ๆ ก็มาแสดงในที่นั้นบ้าง พร้อมคำอธิบายประกอบด้วย ขณะที่แต่ละท่านแสดงวิธีนิพพานท่าต่าง ๆ ให้ท่านดูและฟังอย่างถึงใจ
|
|
ถ้ำปากเปียงที่หลวงปู่แหวน ได้เคยเล่าให้หลวงปู่เจริญฟังว่า องค์หลวงปู่มั่น ได้เคยมาภาวนาที่ถ้ำปากเปียง และหลวงปู่แหวน ได้พิจารณาเห็นว่า ภายในถ้ำเคยมีพระอรหันต์ มานิพพานในอิริยาบถยืน (รูปโดย Admin) |
"...ที่ถ้ำเชียงดาวมีพระอรหันต์มานิพพาน 3 องค์ สององค์นอนนิพพาน แต่อีกองค์หนึ่งเดินจงกรมนิพพาน และแสดงท่านิพพานให้ท่านดูต่อหน้าต่อตาเลย ทุกองค์ที่นิพพานในท่าต่าง ๆ ได้อธิบายเหตุผลประกอบให้ท่านทราบอย่างละเอียด ก่อนจะทำพิธีนิพพาน..."
ถ้ำเชียงดาวในปัจจุบัน (รูปโดย Admin)
"...ที่แสดงท่ายืนนิพพานและท่าเดินจงกรมนิพพานมีไม่กี่รูป ส่วนท่านั่งกับท่านอนมีมากและท่านอนมีมากกว่าท่าอื่น ๆ ท่านพิจารณาทราบว่าพระอรหันต์มานิพพานที่เมืองไทยเราหลายองค์ เท่าที่จำได้มีดังนี้ นิพพานที่ถ้ำเชียงดาว จังหวัดเชียงใหม่ 3 องค์ นิพพานที่หลังเขาวงพระจันทร์ 1 องค์ นิพพานที่ถ้ำตะโก จังหวัดลพบุรี 1 องค์ นิพพานที่เขาใหญ่ จังหวัดนครนายก 1 องค์ นิพพานที่วัดธาตุหลวง อำเภอเกาะคา จังหวัดลำปาง 1 องค์ ที่จำไม่ได้ก็ยังมีจึงขออภัยไว้ด้วย..." (หลวงตามหาบัว ญาณสมฺปนฺโน)
7. ถ้ำมหัศจรรย์บนดอยหลวงเชียงดาว
องค์หลวงปู่มั่นได้พิจารณาด้วยญาณเห็นว่าบนยอดดอยหลวงเชียงดาวที่สูงชันสลับซับซ้อน ยังมีถ้ำแห่งหนึ่งที่สวยงาม ซ้อนตัวอยู่บนนั้น ได้แนะนำให้ศิษย์ที่ติดตามไปขึ้นไปสำรวจ ซึ่งลูกศิษย์ก็ได้พบเจอจริงๆ แต่ไม่อาจอาศัยอยู่ได้ เนื่องจากขึ้นลงลำบาก ไม่สามารถบิณฑบาตได้ ซึ่งเรื่องราวถ้ำแห่งนี้ที่เรียกว่า "ถ้ำพระปัจเจก" ยังคงเป็นปริศนาอยู่ถึงปัจจุบัน
ดอยหลวงเชียงดาวอันสลับซับซ้อน ยังอาจมีถ้ำ ที่พระโยคาวจรเจ้าในอดีต ได้เคยมาบำเพ็ญภาวนา ที่ปัจจุบันยังมิอาจค้นพบได้(รูปโดย Admin)
โดยบันทึกประวัติองค์หลวงปู่มั่น โดย หลวงตามหาบัว ได้บันทึกไว้ ดังนี้
...ท่านกับหมู่คณะราว 3-4 องค์เที่ยววิเวกมาพักอยู่ถ้ำเชียงดาวได้ประมาณสองคืน พอตื่นเช้าคืนที่สามท่านบอกว่า คืนนี้ภาวนาปรากฏเห็นถ้ำใหญ่และกว้างขวางน่าอยู่มาก อยู่บนยอดเขาสูงและชัน ถ้ำนี้สมัยก่อน ๆ เคยมีพระปัจเจกพุทธเจ้าทั้งหลายมาพักเสมอ แต่พระเราสมัยนี้ไปอยู่ไม่ได้เพราะสูงและชันมาก ทั้งไม่มีที่โคจรบิณฑบาต ท่านสั่งให้พระขึ้นไปดูถ้ำนั้น และกำชับว่า ก่อนขึ้นไปต้องเตรียมเสบียงอาหารขึ้นไปพร้อม ทางขึ้นไม่มี ให้พยายามปีนป่ายขึ้นไปโดยถือเอายอดเขาลูกนั้นเป็นจุดที่หมาย คือถ้ำที่ว่านี้อยู่ใต้ยอดเขานั้นเอง
พระและโยมได้พากันขึ้นไปดูตามคำที่ท่านบอก เมื่อขึ้นไปถึงแล้วปรากฏว่าถ้ำนั้นสวยงามและกว้างขวางมากดังที่ท่านว่าจริง ๆ อากาศปลอดโปร่งสบายน่าอยู่มาก พระเกิดความชอบใจอยากพักอยู่บำเพ็ญสมณธรรมเป็นเวลานาน ๆ แต่จำเป็นด้วยที่โคจรบิณฑบาตไม่มี เพราะถ้ำอยู่สูงและห่างไกลจากหมู่บ้านมาก พอเสบียงจวนหมดจำต้องลงมา
เมื่อลงมาถึงที่พัก ท่านถามว่าเป็นอย่างไรถ้ำสวยงามน่าอยู่ไหม ผมเห็นในนิมิตภาวนารู้สึกว่าถ้ำนั้นทั้งกว้างขวางและสวยงามมาก จึงอยากให้หมู่เพื่อนขึ้นไปดู ใคร ๆ คงจะชอบกันแน่ ๆ แต่ก่อนผมก็ไม่ได้สนใจพิจารณาว่าจะมีสิ่งแปลก ๆ อยู่ในเขาลูกนี้ แต่พอพิจารณาจึงทราบว่ามีของแปลกและอัศจรรย์อยู่ที่นี่มากมายหลายชนิด
ในถ้ำที่พวกท่านขึ้นไปดูนั้น ยังมีรุกขเทพอารักขาอยู่เป็นประจำตลอดมามิได้ขาด ใครไปทำอะไรที่ไม่สมควรในที่นั้นไม่ได้ ต้องเกิดเป็นต่าง ๆ ขึ้นมาจนได้ ขณะที่สั่งให้พวกท่านขึ้นไปดู ผมก็ลืมบอกว่าที่นั้นมีพวกเทพฯอารักขาอยู่ ควรพากันสำรวมระวังมรรยาทและอาการทุกส่วน อย่าไปส่งเสียงอื้ออึงผิดวิสัยของสมณะ เกรงว่าจะเกิดความไม่สบายต่าง ๆ ขึ้นมา เพราะความไม่พอใจของพวกเทพฯ ที่อารักขาอยู่ในสถานที่นั้น อาจบันดาลให้เป็นต่าง ๆ ได้
พระที่ขึ้นไปได้กราบเรียนท่านตามที่ได้ประสบมา และแสดงความประสงค์อยากอยู่ถ้ำนั้นเป็นเวลานาน ๆ ท่านตอบว่า แม้จะสวยงามและน่าอยู่เพียงไรก็อยู่ไม่ได้ เพราะไม่มีข้าวจะกิน ดังนี้อาการที่ท่านพูดกับพระที่ไปดูถ้ำกลับลงมาเป็นคำพูดธรรมดา ๆ ประหนึ่งท่านเคยเห็นถ้ำนั้นด้วยตามาแล้วหลายครั้ง ทั้งที่ไม่เคยขึ้นไปเลย เพราะอยู่สูงและชัน ขึ้นลงลำบากมาก แต่กลับถามว่าน่าอยู่ไหม ซึ่งเป็นคำพูดออกมาจากความแน่ใจจริง ๆ มิได้สงสัยว่าความรู้ทางด้านภาวนาจะโกหกหลอกลวงเลย...(หลวงตามหาบัว ญาณสมฺปนฺโน)
|
|
|
|
ถ้ำต้นขาม ที่มุขปาฐะในท้องถิ่นมีความเคารพนับถือว่า พระปัจเจกพุทธเจ้า ได้มานิพพาน ปรากฏเป็นหินงอกหินย้อยคล้ายพระพุทธรูป และองค์หลวงปู่มั่น ยังเคยบำเพ็ญภาวนาอยู่ในถ้ำนี้ อยู่บริเวณเชิงเขาเชียงดาว ด้านหลังพระวิหารหลวง วัดถ้ำเชียงดาว เป็นถ้ำขนาดเล็ก ซึ่งอาจไม่ใช่ถ้ำมหัศจรรย์ตามที่มีในบันทึกประวัติองค์หลวงปู่มั่นที่จะอยู่สูงมาก ในขณะที่ถ้ำนี้อยู่ในระดับพื้นราบ แต่มีบริบทตามบันทึก ใกล้เคียงกับความเชื่อของชุมชน (รูปโดย Admin และโครงการท่องเที่ยวโดยชุมชน ตามรอยองค์หลวงปู่มั่น ภูริทตฺโต) |
อนึ่งจากมุขปาฐะในท้องถิ่น ได้กล่าวถึงถ้ำที่ท้องถิ่นมีความเคารพนับถือว่าพระปัจเจกพุทธเจ้า ได้มานิพพาน และองค์หลวงปู่มั่น ยังเคยบำเพ็ญภาวนาอยู่ในถ้ำนี้ มีชื่อเรียกว่า "ถ้ำต้นขาม" อยู่บริเวณเชิงเขาเชียงดาว ด้านหลังพระวิหารหลวง เป็นถ้ำขนาดเล็ก ซึ่งอาจไม่ใช่ถ้ำมหัศจรรย์ตามที่มีในบันทึกประวัติองค์หลวงปู่มั่น ปัจจุบันมีการตบแต่งบริเวณปากถ้ำให้มีประตูปิดไว้ ด้านในถ้ำมีโพรงถ้ำที่เป็นห้องโถงขนาดเล็ก มีส่วนหนึ่งที่เป็นหลืบถ้ำมีหินงอกหินย้อย มีลักษณะเหมือนพระพุทธรูป ที่ท้องถิ่นเคารพนับถือว่าเป็นพระปัจเจกพุทธเจ้า มีการตบแต่งสิ่งอำนวยความสะดวกในยุคหลัง
8. กิริยาของสงฆ์ที่สมควร
"...ท่านเตือนพระให้พากันสำรวมระวังเวลาพักอยู่ในที่ต่าง ๆ ไม่เฉพาะเพียงถ้ำนั้นแห่งเดียวเท่านั้นเกี่ยวกับพวกเทพฯ ที่สถิตอยู่ในที่นั้น ๆ ซึ่งชอบความเป็นระเบียบงามตาและชอบสะอาดมาก เวลาพวกรุกขเทพฯ มาเห็นอากัปกิริยาของพระที่จัดวางอะไรไว้ไม่เป็นระเบียบ เช่น การหลับนอนไม่มีมรรยาท นอนหงายเหมือนเปรตทิ้งเนื้อทิ้งตัว บ่นพึมพำด้วยการละเมอเพ้อฝันไปต่าง ๆ เหมือนคนไม่มีสติ แม้จะเป็นสิ่งที่สุดวิสัยของคนนอนหลับจะรักษาได้ก็ตาม แต่พวกเทวดามีความอิดหนาระอาใจอยู่เหมือนกัน และเคยมาเล่าให้ท่านอาจารย์มั่นทราบเสมอ
ทางเข้าถ้ำหลวงเชียงดาวในปัจจุบัน (รูปจาก โครงการท่องเที่ยวโดยชุมชน ตามรอยองค์หลวงปู่มั่น ภูริทตฺโต)
และเล่าว่า พระซึ่งเป็นเพศที่น่าเลื่อมใสและเย็นตาเย็นใจแก่โลกที่ได้เห็นได้ยิน จึงควรสำรวมระวังกิริยามรรยาททั้งการหลับนอนและเวลาปกติ พอเป็นความงามตาเย็นใจแก่ตนและทวยเทพ ตลอดมนุษย์ทั้งหลายบ้าง ไม่แสลงตาแสลงใจจนเกินไปเมื่อยังพอมีทางรักษาได้อยู่ ไม่อยากให้เป็นไปแบบฆราวาสซึ่งไม่มีขอบเขตหรือปล่อยไปตามยถากรรมจนเกินไป เพราะสิ่งเหล่านี้ย่อมอยู่ในวิสัยของพระจะทำได้..." (หลวงตามหาบัว ญาณสมฺปนฺโน)
9. ศิษย์ติดตามมาวิเวกที่เชียงดาว
จากบันทึกประวัติหลวงปู่แหวน ได้กล่าวถึง องค์หลวงปู่มั่น ได้มาวิเวกกับศิษย์ คือ หลวงปู่แหวน และ หลวงปู่ตื้อ โดยแยกย้ายกันพำนักห่างไกลกัน แต่มาทำสังฆกรรมฟังธรรมร่วมกัน แต่ในบันทึกได้ระบุว่า เป็นการจำพรรษา ในปี พ.ศ.2486 แท้จริงปีดังกล่าว องค์หลวงปู่มั่น ได้จำพรรษาอยู่ทางภาคอีสานแล้วตั้งแต่ปี พ.ศ.2483 อาจมีการคลาดเคลื่อนในช่วงปี โดยมีบันทึกเรื่องราว ดังนี้
|
|
|
|
หลวงปู่แหวน สุจิณฺโณ |
หลวงปู่ตื้อ อจลธมฺโม |
....ถ้ำเชียงดาวแห่งนี้จึงเป็นสถานที่หนึ่งที่องค์หลวงปู่มั่น ภูริทัตโต ได้บำเพ็ญเพียรอยู่ในจังหวัดภาคเหนือ มาวิเวกกับ หลวงปู่แหวน หลวงปู่ตื้อ ป่าเทือกเขาเชียงดาวเป็นรมณียสถานสำหรับนักปฏิบัติธรรม จนถึงกับหลวงปู่มั่น ภูริทัตโต ได้บอกแก่บรรดาศิษย์ว่า สถานที่เหล่านี้เป็นมงคลสำหรับผู้ปฏิบัติ ในประเทศไทยเชียงดาวนับเป็นหนึ่ง เพราะเชียงดาวมีภูเขาสลับซับซ้อน มีถ้ำหลายแห่ง เฉพาะถ้ำหลวงเองนั้น มีถ้ำอยู่ภายในอีกมากแห่ง ซึ่งแต่ละแห่งล้วนเหมาะแก่ผู้บำเพ็ญเพียรทั้งสิ้น ในปี พ.ศ.2486 ซึ่งยังอยู่ในระหว่างสงครามโลกครั้งที่ 2
การจำพรรษาอยู่เชียงดาวพรรษานั้นมีจำพรรษาอยู่ด้วยกัน 3 รูปคือ หลวงปู่มั่น ภูริทตฺโต หลวงปู่แหวน สุจิณฺโณ และหลวงปู่ตื้อ อจลธมฺโม การจำพรรษาไม่ได้อยู่ในที่แห่งเดียวกัน ต่างแยกย้ายกันหาที่จำพรรษาให้เหมาะแก่ความสะดวกของตน กล่าวคือท่านอาจารย์ใหญ่ท่านอยู่ภายในถ้ำหลวง หลวงปู่ตื้ออยู่ถ้ำปากเพียง (ในปัจจุบันเรียก ถ้ำปากเปียง) หลวงปู่แหวนขึ้นไปจำพรรษาอยู่ที่ต้นธารน้ำไหล วันพระ 8 ค่ำและวัน15 ค่ำ จึงมาประชุมฟังธรรมและทำอุโบสถบอกปาริสุทธิ วันปกติเมื่อฉันเสร็จแล้ว ทำกิจวัตรเสร็จแล้ว ต่างก็ไปสู่ที่ของตน...(มูลนิธิหลวงปู่แหวน สุจิณฺโณ)
10. เมตตาบรรเทาทุกข์ภัยชาวบ้าน
...ในปีนั้นเกิดโรคระบาดแก่ชาวบ้านอย่างรุนแรง ในขณะเดียวกันชาวบ้านก็ประกอบมิจฉาชีพกันอย่างไม่เกรงกลัวบาปกรรมและกฎหมายบ้านเมืองอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน มีการลักขโมย ปล้นฆ่ากันไม่เว้นแต่ละวัน การลักโคกระบือเขามาฆ่าเป็นประจำ
การเกิดโรคระบาดก็ทำให้มีผู้คนล้มตายกันเกือบทุกวัน บางวันมีการตายถึง 2 ศพ 3 ศพก็มี ทำให้ชาวบ้านเดือดร้อนกันมาก ไม่เป็นอันทำมาหากิน ไหนจะหวาดกลัวโรคระบาด ไหนจะหวาดกลัวพวกขโมยพวกปล้น เมื่อชาวบ้านเดือดร้อนที่พึ่งก็คือพระ เป็นธรรมดาของชาวพุทธ
ท่านอาจารย์ใหญ่ท่านสั่งให้ช่วยกันแผ่เมตตาท่านกล่าวว่าให้อยู่ด้วยเมตตาต้องแผ่เมตตาให้มากๆ ดังนั้นต่างองค์ก็ต่างแผ่เมตตาตามคำบอกของท่านอาจารย์ใหญ่
แต่เป็นที่น่าประหลาดคือยิ่งแผ่เมตตามากเท่าไรความวิบัติของชาวบ้านยิ่งมากขึ้นเป็นทวีคูณ ต่อมาท่านอาจารย์ใหญ่ท่านพิจารณาทราบมูลเหตุว่าเป็นเพราะกรรมของเขา ไม่มีใครสามารถจะช่วยได้ท่านจึงบอกว่าถึงจะแผ่เมตตาอย่างไรก็ช่วยเขาไม่ได้ มันเป็นกรรมของเขาเอง
โรคระบาดครั้งนั้นเกิดอยู่เป็นเดือนจึงสงบลง คร่าชีวิตชาวบ้านไปหลายสิบคน ส่วนการลักการปล้นนั้น ท่านอาจารย์ใหญ่ก็เทศน์แนะนำสั่งสอนให้รู้จักโทษของการประพฤติทุจริตแนะนำสั่งสอนให้รู้จักคุณของการประพฤติสุจริต
ถึงท่านจะแนะนำสั่งสอนอย่างไรเท่ากับเอาน้ำไปรดตอไม้ พวกเขาหาเชื่อฟังไม่ ยังคงประกอบมิจฉาชีพกันอยู่อย่างเป็นล่ำเป็นสันอยู่นั่นเอง จนถึงปลายสงคราม ทางการปราบปรามอย่างหนัก บรรดามิจฉาชีพจึงหมดไป ความสงบสุขจึงกลับมาสู่เชียงดาวอีกครั้งหนึ่ง...(มูลนิธิหลวงปู่แหวน สุจิณฺโณ)
11. หลวงปู่แหวนโปรดเปรต
...ในระหว่างพรรษานั้น วันหนึ่งเวลาประมาณ 5 โมงเย็น ขณะที่หลวงปู่แหวนกำลังเดินจงกรมอยู่ มีเสียงดังโครมเหมือนกิ่งไม้ขนาดใหญ่หักลงมาจากต้น จึงเหลียวไปดูตามเสียงนั้นภาพที่ปรากฏแก่สายตาในขณะนั้น แทนที่จะเป็นกิ่งไม้หัก กลับกลายเป็นร่างใหญ่ร่างหนึ่งเอาเท้าห้อยอยู่บนยอดไม้ หัวห้อยลงมา มีผมยาวรุงรัง ร้องเสียงโหยหวน
รูปทางเข้าถ้ำหลวงเชียงดาว ในอดีต (รูปจาก จารึกไว้ในลานนา)
หลวงปู่เล่าว่าท่านเองไม่นึกกลัวอะไร คงเดินจงกรมกำหนดจิตพิจารณาธรรมอยู่ ร่างนั้นเมื่อเห็นว่าหลวงปู่ไม่กลัวก็หายไป
สองสามวันต่อมาเขาก็มาอีกในลักษณะเดียวกันกับครั้งแรก หลวงปู่ก็ไม่สนใจคงเดินจงกรมอยู่ วันต่อมาเขามาแสดงทุกวัน แต่เขาก็ไม่ได้เข้ามาใกล้และไม่ได้ทำอาการอย่างอื่นนอกจากทำดังกล่าวมาแล้ว...(มูลนิธิหลวงปู่แหวน สุจิณฺโณ)
12. เหตุที่ทำให้มาเป็นเปรต
...วันหนึ่งจึงกำหนดจิตถามเขาดูว่า เขามาต้องการอะไร ถามครั้งแรกเขาทำเป็นเฉยเหมือนไม่เข้าใจในคำถาม เมื่อถามหลาย ๆ ครั้งเข้าเขาจึงบอกว่า ต้องการมาขอส่วนบุญ
ถามเขาอีกว่า แต่ก่อนเขาไปทำกรรมอะไรหรือ จึงต้องมาทุกข์ทรมานอยู่ในสภาพเช่นนี้ เขาได้เล่าบุพกรรมของเขาดังนี้
เมื่อยังเป็นมนุษย์ผมอยู่ที่เชียงดาวนี้เอง มีอาชีพลักเขาบ้าง ปล้นเขาบ้าง วันหนึ่งก่อนไปปล้นผมเอาดอกไม้ธูปเทียนไปบนไว้กับพระพุทธรูปองค์หนึ่งในถ้ำ เพื่อขอความคุ้มครองซึ่งก่อนนี้ก็เคยทำอย่างนั้นมาทุกอย่าง ทำงานทุกครั้งไม่เคยผิดพลาดสำเร็จมาด้วยดีทุกครั้ง
แต่มาคราวนี้ผมบนแล้วก็ไปปล้นเขาโชคไม่อำนวย เจ้าของบ้านเขารู้ตัวก่อน เขาเตรียมสู้ป้องกันตัวไว้อย่างดี พอผมเข้าไปปล้นจึงเกิดการต่อสู้กันกับเจ้าของบ้าน ผมถูกเจ้าของบ้านฟันได้รับบาดเจ็บสาหัสหนีมาได้
พระพุทธรูปโบราณ ภายในถ้ำหลวงเชียงดาว (รูปจาก โครงการท่องเที่ยวโดยชุมชน ตามรอยองค์หลวงปู่มั่น ภูริทตฺโต)
ผมโมโหมากกลับไปที่ถ้ำไปต่อว่าพระพุทธรูปองค์นั้นว่า ทำไมไม่ช่วย อย่างนี้อยู่ด้วยกันไม่ได้แล้ว ว่าแล้วก็เอาขวานทุบเศียรพระพุทธรูปจนคอพระหักเพราะทำงานไม่เคยผิดพลาดอย่างนี้มาก่อนเลย
เมื่อทำร้ายพระแล้ว ความโกรธนั้นก็ยังไม่หาย คิดอยู่แต่ว่าถ้าหายป่วยเมื่อไรจะกลับไปแก้แค้นเจ้าของบ้านให้สาสมอีกครั้ง ด้วยบาดแผลที่ได้รับจากอาวุธ ผมได้สิ้นชีวิตลงในกาลต่อมา เพราะทนความเจ็บปวดไม่ไหว
หลังจากตายแล้วก็มาเกิดเป็นเปรตต้องทนทุกข์ทรมานอยู่ในอัตภาพที่พระคุณเจ้าเห็นอยู่นี่แหละ ไม่รู้ว่าเมื่อไรจะพ้นโทษอันนี้ไปได้ ขอพระคุณเจ้าจงแผ่เมตตาให้สัตว์ผู้ยากไร้ด้วย เวลานี้ความทุกข์ท่วมทับไม่มีวันเวลา ขอความเอ็นดูแผ่เมตตาให้เพื่อผ่อนคลายความทุกข์ทรมานที่กำลังได้รับอยู่นี้ด้วย
หลวงปู่เล่าว่า เมื่อท่านได้ฟังบุพกรรมและได้ฟังความอ้อนวอนอย่างน่าเวทนาเช่นนั้นจึงสำรวมจิตแผ่อุทิศส่วนกุศลไปให้ จะได้รับหรือไม่ได้รับก็ไม่ทราบ เพราะกรรมของเขาหนักเหลือประมาณ แต่เมื่อตั้งใจแผ่เมตตาให้แล้ว เขาก็หายไป นับแต่วันนั้นเป็นต้นไม่มาปรากฏให้เห็นอีกเลย
เปรตตนนี้เป็นเปรตสมัยใหม่เพราะพูดผมเป็น แต่เท่าที่เคยประสบมาพวกนี้เขามักใช้คำพูดแทนตัวเขาว่า "เรา หรือไม่ก็ ข้าพเจ้า"มีที่เชียงดาวนี้แหละที่พูดว่า "ผม" จึงนับว่าเปรตตนนี้เป็นเปรตสมัยใหม่...(มูลนิธิหลวงปู่แหวน สุจิณฺโณ)
13. อดีตอนาคตเป็นธรรมเมา ปัจจุบันเป็นธรรมมา
จากเหตุการณ์ของบุพกรรมที่ต้องมาเป็นเปรต ที่หลวงปู่แหวน ได้พบขณะมาวิเวกกับองค์หลวงปู่มั่นนั้น จากบันทึกประวัติหลวงปู่แหวน ได้บันทึกเป็นข้อธรรม อดีตอนาคตเป็นธรรมเมา ปัจจุบันเป็นธรรมมา ซึ่งเป็นประโยคธรรมะที่เป็นเอกลักษณ์ของหลวงปู่แหวน ซึ่งมีรายละเอียด ดังนี้
หลวงปู่แหวน สุจิณฺโณ (รูปจาก คุณกมล นิลปาน)
...บรรดาสัตว์ทั้งหลายนั้นเมื่อไม่มีทุกข์มาถึงตัว มักจะไม่เห็นคุณของพระของศาสนา มัวเมาประมาทปล่อยกายปล่อยใจให้ประพฤติทุจริตผิดศีล ผิดธรรมอยู่เป็นประจำนิสัย เห็นผิดเป็นถูก เห็นกงจักรเป็นดอกบัว ต่อเมื่อได้รับทุกข์เข้า ที่พึ่งอื่นไม่มีนั่นแหละ จึงได้คิดถึงพระ คิดถึงศาสนา แต่ก็เป็นเวลาที่สายไปเสียแล้ว
ความดีนั้นเราต้องทำอยู่เสมอให้เป็นที่อยู่ของจิต เป็นอารมณ์ของจิต ให้เป็นมรรคคือทางดำเนินไปของจิต มันจึงจะเห็นผลของความดี ไม่ใช่เวลาใกล้จะตายจึงนิมนต์พระไปให้ศีล ให้ไปบอกพุทโธหรือตายไปแล้วบอกให้รับศีล เช่นนี้เป็นการกระทำที่ผิดทั้งหมด เหตุว่าคนเจ็บ จิตมัวติดอยู่กับเวทนา ไฉนจะมาสนใจใยดีกับศีลได้ เว้นไว้แต่ผู้ที่รักษาศีลมาเป็นปกติเท่านั้น จึงจะระลึกได้ เพราะตนเองเคยทำมาจนเป็นอารมณ์ของจิตแล้ว แต่ส่วนมากใกล้ตายแล้วจึงเตือนให้รักษาศีล
ส่วนคนตายแล้วไม่ต้องพูดถึง เพราะคนตายนั้นร่างกายจิตใจไม่รับรู้ใด ๆ แล้ว แต่ก็ดีไปอย่าง เหมือนพระเทวทัตทำกรรมมาจนถูกแผ่นดินสูบ เมื่อลงไปถึงคาง จึงระลึกถึงความดีของพระพุทธเจ้า ขอถวายคางเป็นพุทธบูชา พระเทวทัตยังมีสติระลึกได้จึงพอมีผลดีอยู่บ้างในอนาคต แม้เปรตตนนั้นก็เหมือนกัน ตายไปแล้วจึงมาขอส่วนบุญ เมื่อยังมีชีวิตอยู่ทำอันตรายแม้พระพุทธรูป แผ่เมตตาให้ไปได้รับหรือไม่ก็ไม่รู้ สู้เราทำเอาเองไม่ได้ เราทำของเราได้มากน้อยเท่าไรก็มีความปีติ เอิบอิ่มใจเท่านั้น
ธรรมทั้งหลายไหลมาจากเหตุ กายก็เป็นเหตุอันหนึ่ง วาจาก็เป็นเหตุอันหนึ่ง ใจก็เป็นเหตุอันหนึ่ง กายทุจริตเป็นเหตุแห่งบาปอย่างหนึ่ง วจีทุจริตก็เป็นเหตุแห่งบาปอย่างหนึ่ง มโนทุจริตก็เป็นเหตุแห่งบาปอย่างหนึ่ง การละกายทุจริตก็เป็นเหตุแห่งบุญอย่างหนึ่งการละวจีทุจริตก็เป็นเหตุแห่งบุญอย่างหนึ่ง การละมโนทุจริตก็เป็นเหตุแห่งบุญอย่างหนึ่ง ทางของบุญของบาปเหล่านี้มีอยู่ในตัวของเรานี้เองไม่ได้อยู่ที่ไหน เราก็ทำเอาสร้างสมเอา อย่ามัวเมาเป็นอดีตเป็นอนาคต
อดีตก็เป็นธรรมเมา อนาคตก็เป็นธรรมเมา มีแต่ปัจจุบันเท่านั้นที่เป็นธรรมา สิ่งใดที่มันล่วงมาแล้วเลยมาแล้วเราไม่สามารถจะไปดัดไปแปลงมันได้อีกแล้ว สิ่งที่เราทำไปนั้นถ้ามันดีมันก็ดีไปแล้วผ่านไปแล้วพ้นไปแล้ว ถ้ามันชั่วมันก็ชั่วไปแล้วผ่านไปแล้วพ้นไปแล้ว
เช่นกัน อนาคตก็ยังไม่มาถึง สิ่งที่ยังไม่มาถึงเราก็ยังไม่รู้ไม่เห็นว่ามันจะเป็นอย่างไร อย่างมากก็เป็นแต่เพียงการเดาการคาดคะเนเอาว่าควรเป็นอย่างนั้นอย่างนี้ ซึ่งมันอาจจะไม่เป็นอย่างที่เราคาดคะเนก็ได้ ปัจจุบันคือสิ่งที่มันเกิดขึ้นจริง เราได้เห็นจริงได้สัมผัสจริง เพราะฉะนั้นความดีต้องทำในปัจจุบัน
ทานก็ดี ศีลก็ดี ภาวนาก็ดี ต้องทำเสียในปัจจุบันที่เรายังมีชีวิตอยู่นี้ เราต้องการความดีก็ต้องทำให้เป็นความดีในปัจจุบันนี้ ต้องการความสุข ต้องการความเจริญก็ต้องทำให้เป็นในปัจจุบันนี้
ธรรมทั้งหลายไหลมาจากเหตุอย่างนี้ ถ้าเหตุเราทำไว้ดีแล้ว ผลมันก็ดีตามเหตุ ถ้าเหตุเราทำไว้ไม่ดีแล้ว ผลก็ไม่ดีตามเหตุ เหตุและผลต้องสัมพันธ์กันเสมอ เป็นแต่ว่าคนเราจะยอมรับหรือไม่ยอมรับเท่านั้น ไม่ควรปล่อยเวลาให้เสียไปกับอดีตกับอนาคต เพราะทั้งอดีตและอนาคตต่างก็เป็นธรรมเมาด้วยกันทั้งนั้น
สิ่งที่ผ่านไปแล้วก็ให้เขาผ่านไปสิ่งใดที่ยังไม่มาถึงก็ยังเป็นสิ่งที่ยังไม่มียังไม่เกิด ถ้าปัจจุบันดี อดีตมันก็ดี อนาคตมันก็ดี เพราะปัจจุบันเมื่อผ่านไปมันก็กลายเป็นอดีต ถ้ามันยังไม่ผ่านไปมันก็เป็นทางดำเนินไปสู่อนาคต เป็นเข็มชี้บอกอนาคต
ดังนั้นเราต้องทำเหตุให้สมบูรณ์บริบูรณ์ เราจึงจะได้สิ่งที่เราปรารถนา... (มูลนิธิหลวงปู่แหวน สุจิณฺโณ)
14. แผ่เมตตาในถ้ำหลวง 9 วัน 9 คืน
...เมื่อออกพรรษาแล้ว ท่านอาจารย์ใหญ่ (คือ องค์หลวงปู่มั่น) ให้โยมนำไม้เข้าไปทำแคร่ให้ท่านอีกแห่งหนึ่งที่ถ้ำเจดีย์ อยู่ลึกเข้าไปข้างในถ้ำหลวง เมื่อเขาทำแคร่ที่อยู่ให้เสร็จแล้วท่านเข้าไปอยู่ภายในถ้ำนั้น 9 วัน 9 คืน โดยไม่ออกมาเลย ในวันที่10 ท่านจึงออกมาหลังจากกลับจากบิณฑบาตฉันเสร็จแล้วท่านจึงเล่าให้ฟังว่า ท่านเข้าไปช่วยเจ้าของผู้สร้างเจดีย์ เขาห่วงเจดีย์ของเขา เขาไปไหนไม่ได้ ท่านจึงไปช่วยแนะนำเขา เวลานี้เขาไปแล้ว
ภายในถ้ำหลวงเชียงดาว วัดถ้ำเชียงดาว อ.เชียงดาว จ.เชียงใหม่
(รูปจาก โครงการท่องเที่ยวโดยชุมชน ตามรอยองค์หลวงปู่มั่น ภูริทตฺโต)
แต่อย่างไรก็ตามคำว่า "เขาไปแล้ว" นั้นไม่รู้ว่าใครไปไหน ได้กราบเรียนถามท่าน ท่านเองก็ไม่ได้อธิบายพูดเพียงเท่านั้น...(มูลนิธิหลวงปู่แหวน สุจิณฺโณ)
15. ดอยหลวงเชียงดาว ในปัจจุบัน
พื้นที่ดอยหลวงเชียงดาว ในปัจจุบันได้ประกาศเป็นพื้นที่เขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าเชียงดาวเป็นพื้นที่อนุรักษ์สำคัญที่ได้รับการขึ้นทะเบียนเป็น พื้นที่สงวนชีวมณฑลดอยเชียงดาว โดย UNESCO เมื่อวันที่ 15 กันยายน พ.ศ.2564 ซึ่งมีความโดดเด่นทางระบบนิเวศ มีพืชพรรณและสัตว์ป่าหายาก เช่น กวางผาและเลียงผาอาศัยอยู่ และเป็นแหล่งที่มีสังคมพืชกึ่งอัลไพน์ที่เชื่อมโยงกับเทือกเขาหิมาลัย นอกจากนี้ ดอยเชียงดาวยังเป็นที่อยู่อาศัยของชุมชนท้องถิ่นที่มีภูมิปัญญาและวิถีชีวิตที่ผสานกลมกลืนกับธรรมชาติ
พื้นที่ต่างๆ ที่ถูกกล่าวถึงในบันทึกที่เกี่ยวเนื่องกับองค์หลวงปู่มั่น บางส่วนได้ก่อสร้างเป็นวัดในพระพุทธศาสนาต่อมา ได้แก่ วัดถ้ำเชียงดาว วัดถ้ำปากเปียง วัดถ้ำผาปล่อง
วัดถ้ำเชียงดาว ปัจจุบันสังกัดคณะสงฆ์มหานิกาย สร้างเมื่อ พ.ศ.2310 มีชื่อเรียกกันอีกชื่อหนึ่งว่า วัดถ้ำหลวงเชียงดาว การก่อสร้างเริ่มครั้งแรกโดยพระครูบาประธรรมปัญญา และพ่อแสนปี ต่อมา พ.ศ.2430 พระยาอินต๊ะภิบาล มาทำบันไดขึ้นสู่ปากถ้ำ พร้อมเสนาสนะและศิลปวัตถุอื่น ๆ ใน พ.ศ.2456 มีฤาษีชื่ออูคันธะมาสร้างพระพุทธรูป จนถึงพ.ศ.2477 ครูบาศรีวิชัย มาสร้างวิหารและบูรณะถาวรวัตถุ นอกจากนั้นในสมัยหลังได้มีการสร้างและบูรณะเสนาสนะเพิ่มเติมจนถึงปัจจุบัน ได้รับพระราชทานวิสุงคามสีมา เมื่อวันที่ 23 มิถุนายน พ.ศ.2514
มีปูชนียสถาน ที่เกี่ยวเนื่องกับองค์หลวงปู่มั่น ได้แก่ ถ้ำง๊อบ ถ้ำขาม และถ้ำม้า ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของถ้ำหลวงเชียงดาว ที่ปัจจุบันมีรูปเหมือนองค์หลวงปู่มั่นประดิษฐานอยู่
วัดถ้ำปากเปียงสังกัดคณะสงฆ์ธรรมยุตปัจจุบันมีหลวงปู่เจริญ ญาณวุฑฺโฒ เป็นเจ้าอาวาส ภายในวัดยังคงความสงบวิเวก สามารถมาพักภาวนาได้
|
|
วัดถ้ำผาปล่อง อ.เชียงดาว จ.เชียงใหม่ ก่อตั้งโดย หลวงปู่สิมพุทฺธาจาโร ศิษย์อาวุโสในองค์หลวงปู่มั่น ภูริทตฺโต ถึงแม้หลวงปู่สิม จะล่วงลับไปแล้ว วัดถ้ำผาปล่อง ก็ยังคงเป็นรมณียสถานสำหรับภาวนา จนถึงปัจจุบัน (รูปโดย โครงการท่องเที่ยวโดยชุมชน ตามรอยองค์หลวงปู่มั่น ภูริทตฺโต) |
วัดถ้ำผาปล่องสังกัดคณะสงฆ์ธรรมยุต เป็นถ้ำที่องค์หลวงปู่สิม พุทธาจาโร ได้พัฒนาขึ้น โดยท่านได้กล่าวถึงความเป็นมงคลของถ้ำผาปล่องนี้ว่า "ในถ้ำนี้มีพระอรหันต์มาละสังขารไว้หลายองค์ เทวดาเพิ่นมาเคารพ เวลาสวดมนต์เพิ่นก็มาร่วมด้วยเป็นหมู่" ปัจจุบันยังคงเป็นสถานที่สงบวิเวกเหมาะสมกับการภาวนาในปัจจุบัน
|
|
หลวงปู่สิมพุทฺธาจาโร |
พระอาจารย์เมธา สุเมโธ |
อ้างอิง
1) ประวัติพระอาจารย์มั่น ภูริทตฺตเถร โดย หลวงปู่มหาบัว ญาณสมฺปนฺโณ พ.ศ. 2547
2) ประวัติหลวงปู่มั่นฉบับสมบูรณ์ โดย หลวงพ่อวิริยังค์สิรินฺธโร พ.ศ.2541
3) บทความ "ถ้ำบารมีที่อยู่หลวงปู่มั่น" โดย ส.กวีวัฒน์ จากหนังสือ จารึกไว้ในล้านนา พ.ศ.2563
4) บูรพาจารย์ โดย สุกัญญา มกุฏอรฤดี, ณิชารีย์ แก้วพรรณา พ.ศ.2549
5) มูลนิธิหลวงปู่แหวน สุจิณฺโณ, อนุสรณ์หลวงปู่แหวน สุจิณฺโณ, โรงพิมพ์มูลนิธินวมราชานุสรณ์ : นครนายก, มปพ.