ตามรอยองค์หลวงปู่มั่น ภูริทัตโต

ร่วมเดินไปยังสถานที่ที่เกี่ยวเนื่อง กับองค์หลวงปู่มั่น ภูริทตฺโต พร้อมเรื่องราวความสำคัญ ศิษยานุศิษย์ที่เข้ามาฝากตัว เป็นสานุศิษย์ถักทอสู่ "กองทัพธรรมพระกรรมฐาน" โดยเว็บมาสเตอร์ www.luangpumun.org และสุดยอดแฟนพันธุ์แท้ ศิษยานุศิษย์หลวงปู่มั่น ภูริทัตโต จากรายการ แฟนพันธุ์แท้ 2018

เมนูหลัก ตามรอยองค์หลวงปู่มั่น คลิ๊ก

จำพรรษาพระธาตุจอมแตง อบรมหลวงปู่คำปัน สุภทฺโธ
วัดพระธาตุจอมแตง อ.แม่ริม จ.เชียงใหม่
ตามรอยธรรมองค์หลวงปู่มั่น ภูริทตฺโต ตอนที่
34


วัดพระธาตุจอมแตง อ.แม่ริม จ.เชียงใหม่ องค์หลวงปู่มั่น จำพรรษาในปี พ.ศ.2473 ปัจจุบันได้รับการบูรณะพัฒนาถาวรวัตถุในภายหลังแล้ว (รูปโดย Admin)

องค์หลวงปู่มั่น ได้เดินทางจากเชียงดาว มาจำพรรษายังวัดพระธาตุจอมแตง อ.แม่ริม จ.เชียงใหม่ ในพรรษากาลปี พ.ศ.2473 โดยชาวบ้านในพื้นที่ได้ถวายการดูแลท่านอย่างดี และไม่ได้รบกวนท่าน ทำให้การภาวนาวิเวกดี และพิจารณาไว้ว่า อนาคตการภาวนาจะแพร่หลายไปยังฆราวาส อีกทั้งยังมีพระสงฆ์ในท้องถิ่น คือ หลวงปู่คำปัน สุภทฺโท ได้ฝากตัวเป็นศิษย์ ซึ่งเป็นหนึ่งในพระสงฆ์ในฝ่ายมหานิกาย ที่ได้มาเรียนธรรม โดยองค์หลวงปู่มั่น มิได้ให้ญัตติเป็นธรรมยุต ท่านได้ถือข้อวัตรเคร่งครัดต่อมาจนมรณภาพ

 

 

1. จากเชียงดาวจาริกมาพระธาตุจอมแตง

          จากบันทึกประวัติองค์หลวงปู่มั่น โดยหลวงพ่อวิริยังค์ได้กล่าวว่า หลังจากที่องค์หลวงปู่มั่นวิเวกที่เชียงดาวแล้ว ท่านได้เดินทางมาจำพรรษาที่วัดพระธาตุจอมแตง อ.แม่ริม จ.เชียงใหม่ ในพรรษากาลปี พ.ศ.2473 โดยชาวบ้านได้ดูแลท่านเป็นอย่างดี ทั้งทำกุฏิและรั้วกั้นรอบกุฏิป้องกันสัตว์ และชาวบ้านมิได้มารบกวนท่าน อีกทั้งท่านก็จำพรรษาองค์เดียว ทำให้ได้ปฏิบัติภาวนาเต็มที่ จากบันทึกได้กล่าวไว้ว่า

ที่ตั้งวัดพระธาตุจอมแตง อ.แม่ริม จ.เชียงใหม่ อยู่บนภูเขาขนาดเล็ก (รูปโดย Admin)

           ...ท่านเล่าว่า พรรษานี้จำพรรษาอยู่บนภูเขา อากาศชุ่มชื้น ฝนตกมาก หนาวจัด พวกชาวบ้านได้หาฟืนมาไว้สำหรับให้ท่านก่อไฟผิง ยกเป็นกุฎีมุงด้วยใบตองตึง ทำรั้วด้วยไม้รวกยาว ๆ พอเป็นที่ป้องกันสัตว์ร้ายต่าง ๆ ตามธรรมเนียมของพวกชาวเขา แม้ท่านจะบอกเขาว่ารั้วไม่ต้องทำก็ได้ แต่เขาก็ไม่ยอม ได้ช่วยกันทำถวายท่าน และจะมีคนมาคอยดูแลก่อไฟรับใช้ท่านต่าง ๆ ท่านบอกว่าไม่ต้องมาดอก เขาก็ไม่ฟัง มาคอยดูแลช่วยอยู่นั่นเอง

ท่านเล่าว่า ในพรรษานี้ก็เป็นพรรษาที่มีความรู้สึกว่าปลอดโปร่ง และได้ความละเอียดทางใจมาก เพราะเหตุว่าอยู่องค์เดียว ไม่ต้องสอนใคร พูดกับพวกชาวเขาก็ไม่รู้เรื่องกัน เหมือนกันกับอยู่วิเวกอย่างดีที่สุด จึงทำให้หวนระลึกถึงคำพูดของท่านพระสารีบุตรว่า กายวิเวกเป็นเหตุให้บังเกิดจิตวิเวก จิตวิเวกเป็นเหตุให้บังเกิดอุปธิวิเวก ข้อนี้เป็นความจริงแท้ และสิ่งเหล่านี้จะพึงเข้าใจได้ในตัวของตัวเอง ในเมื่อบุคคลนั้นกระทำขึ้น การพูดเป็นสิ่งง่าย การกระทำเป็นคนละเรื่องกัน เพราะเมื่อมาประสบกับวิเวกอย่างจริงจังเช่นนั้นเป็นเรื่องที่จะต้องมีอะไรภายในวิเศษบังเกิดขึ้น...

...ท่านอาจารย์มั่น ฯ ได้พูดถึงการอยู่ในสถานที่แห่งนี้ว่าเป็นที่อยู่วิเวกจริง และต้นไม้ป่าก็ทึบมาก มีบริเวณภูเขาไม่ใหญ่โตอะไรนัก ชาวบ้านเหล่านี้ก็มีศรัทธาดีอยู่ แม้ว่าพวกเขาจะเป็นชาวเขา พวกเขามีพิธีการทางศาสนาพุทธนี้เหมือนกัน ท่านเล่าว่าวันออกพรรษาเขาจะทำบุญพิเศษ เช่นการทำขนมแบบง่ายๆ มาถวายกันมาก ที่แปลกอยู่อย่างหนึ่งคือ การถวายเข็ม (เข็มเย็บผ้า) เขาจะทำเป็นธงยาว เอาไม้ไผ่ทำเป็นคันเหมือนคันธงกฐินของเรา แต่เขาเอาผ้าบาง ๆ มาทำธงยาวเกือบพื้นดิน แล้วเขาก็เอาเข็มมากลัดติดกับผ้าตั้งแต่โคนธงถึงปลายธงแล้วให้พระมารับธงนั้น ถือว่าได้บุญมาก...

...ท่านเล่าตอนหนึ่งว่า ในสถานที่แห่งนี้ ชาวบ้านเขาไม่ได้มารบกวน เขาเข้าใจว่า เราก็เป็นพระตุ๊เจ้าองค์หนึ่ง เวลาแห่งการพิจารณาธรรมต่าง ๆ จึงเป็นโอกาสดีมาก ตอนเช้าเขานำอาหารมาส่ง รับพรแล้วก็กลับ ตอนเย็น บางทีเขาก็มาดูบ้าง คนสองคนเพื่อคอยดูแลว่าเราจะต้องการอะไรบ้าง เมื่อเห็นว่าไม่ต้องการอะไร วันต่อ ๆ มาเขาก็ไม่มา เป็นอันว่าได้อยู่จำพรรษาอย่างสงบวิเวกในปีนี้...

...ส่วนอาหารนั้นก็เป็นไปตามอย่างชาวป่าทั้งหลายเขาทำกันไปตามมีตามได้ และทำกันอย่างง่าย ๆ ไม่ใคร่จะสะอาดกันเท่าไร แต่เป็นสิ่งธรรมดาอย่างหนึ่งสำหรับการไปธุดงค์ ไม่ถือเอารสชาติ ความอร่อยชอบใจเป็นเกณฑ์ ถือเอาความเพียงอยู่ได้เพื่อเพียงมีชีวิตไปวันหนึ่ง ๆ เท่านั้นเป็นพอ

ความจริงของการถือสันโดษเอาตามมีตามได้เป็นสัญลักษณ์ของบรรพชิตอยู่แล้ว การที่จะขนเสบียงไปธุดงค์นั้นผิดวิสัย เพราะเมื่อจะธุดงค์แล้วก็ควรจะให้มีอาหารเพียงประทังชีวิตและเป็นการดีมากเมื่อมีอาหารธรรมชาติไม่มีการบำรุงจนเกินไป ซึ่งจะทำให้ร่างกายแข็งแรงมาก ก็จะทำให้การทำความเพียรลำบากขึ้น เช่นฉันเนื้อไข่มาก ๆ ก็จะทำให้จิตใจฟุ้งมากกว่าการฉันผักมาก จำพวกดอกเลา เห็ด ผักบุ้ง ผักแต้ว เพกา เหล่านี้ แม้จะมีปลาบ้าง แต่เป็นผักเสียส่วนมากก็จะทำให้การทำจิตดีขึ้น เมื่อธุดงค์ไปอยู่ถิ่นทุรกันดาร ก็จะฉันอาหารผักส่วนมาก จึงเป็นเหตุให้ได้ประโยชน์หลายทาง คือทางหนึ่งได้รับกายวิเวก ทางหนึ่งได้อาหารธรรมชาติไม่บำรุงมากนัก จึงทำให้เกิดผลมากในการบำเพ็ญสมณธรรม...(หลวงพ่อวิริยังค์ สิรินฺธโร)


วัดพระธาตุจอมแตง อ.แม่ริม จ.เชียงใหม่ องค์หลวงปู่มั่น จำพรรษาในปี พ.ศ.2473 ปัจจุบันได้รับการบูรณะพัฒนาถาวรวัตถุในภายหลังแล้ว (รูปโดย Admin)

 2. การปกครองและการพิสูจน์ความผิดของชาวบ้าน

          องค์หลวงปู่มั่น ท่านได้เล่าถึงสภาพชีวิตความเป็นอยู่ของชาวบ้านในแถบนั้น ซึ่งเป็นอยู่อย่างง่ายๆ อีกทั้งหากมีคดีความเล็กๆ น้อยๆ ก็ตัดสินลงโทษกันเองด้วยความเรียบร้อย จากบันทึกประวัติองค์หลวงปู่มั่น โดยหลวงพ่อวิริยังค์ ได้กล่าวไว้ดังนี้

...ส่วนที่เขาอยู่กันนั้นเป็นบ้านพักชั่วคราว ไม่ถาวร ใช้ใบตองตึงมุงหลังคากันเป็นส่วนมาก สำหรับการปกครองของเขานั้น เขามีหัวหน้าซึ่งจะไม่ใช่ทางรัฐบาลแต่งตั้ง เขาตั้งกันขึ้นเอง แล้วก็เชื่อฟังกันดีมาก เมื่อหัวหน้าบอกอย่างไรเป็นต้องทำตามกัน

มีอยู่ครั้งหนึ่ง มีคน ๆ หนึ่งทำผิด คือไปขโมยของเขามา แล้วเจ้าทุกข์ก็จับตัวได้พามาหาผู้เป็นหัวหน้า เมื่อหัวหน้าถามว่า เจ้าขโมยของเขาจริงหรือเปล่า ขโมยก็บอกว่าเปล่า ผมไม่ได้ขโมย ที่จับตัวมานี่ผิดแล้วไม่ใช่ผม เมื่อหัวหน้าพยายามถามเท่าไรก็ไม่รับ เจ้าทุกข์ก็ยืนยันว่าใช่แน่ หัวหน้าพร้อมทั้งชาวบ้านกลุ่มหนึ่ง จึงทำพิธีโดยการบวงสรวงเทวดา ผีป่าต่าง ๆ แล้ว ก็เอาตะกั่วมาเคี่ยวให้ละลายอยู่ในเบ้า แล้วเขาก็จับมือขโมยกดลงไปที่เบ้าหลอมตะกั่วนั้น แต่ให้ห่างไม่ให้ติด กะประมาณ ๑ นิ้ว ถ้าเป็นขโมยจริงๆ ตะกั่วที่หลอมละลายนั้นจะพุ่งขึ้นมารับนิ้วมือผู้ทุจริต ถ้าเห็นผู้สุจริตตะกั่วจะไม่พุ่งขึ้นมา

ขณะนั้นเขาก็จับมือขโมยกดลงใกล้เข้า พอได้จังหวะเท่านั้นเองตะกั่วได้พุ่งขึ้นจับมือขโมยทันที เท่านั้นเองเขาก็รู้ว่าเจ้านี่เป็นขโมยตัวจริง แล้วก็ลงโทษกันเอง โดยการเฆี่ยนบ้าง การล่ามโซ่ไว้ 5 วันบ้าง 10 วันบ้าง แต่พวกเขาก็ยอมกันโดยดี โดยมิได้มีการขัดขืนแต่อย่างใด...(หลวงพ่อวิริยังค์ สิรินฺธโร)

 

3. การปฏิบัติในอนาคตจะแพร่หลายไปสู่ฆราวาส

          จากบันทึกประวัติองค์หลวงปู่มั่น โดยหลวงพ่อวิริยังค์ ได้บันทึกรายละเอียด ดังนี้

          ...ท่าน(องค์หลวงปู่มั่น) เล่าว่า ท่านได้วิตกกังวลขึ้นในขณะที่อยู่ในสถานที่นี้ถึงการปฏิบัติกัมมัฏฐาน บำเพ็ญสมณธรรมของพระภิกษุ-สามเณร ต่อไปในกาลข้างหน้าว่า จะทำอย่างไร จะเป็นอย่างไร เพราะเมื่อมีผู้คนนิยมการปฏิบัติมากขึ้น ก็จะไม่จำกัดอยู่เฉพาะพระภิกษุสามเณรเท่านั้น ยังจะต้องแผ่กว้างออกไปถึงฆราวาส ผู้เป็นอุบาสก อุบาสิกาต่อไปอีก ความกว้างขวางออกไปนั้นก็เป็นการดีอยู่ เพราะจะได้เป็นการส่งเสริมพระพุทธศาสนาให้เจริญขึ้นส่วนหนึ่ง

แต่จะต้องทราบความจริงว่า ความกว้างออกไปของการปฏิบัติจิตใจนั้นมีข้อเสียหายมิใช่น้อยเลย  เป็นต้นว่ามีการคิดคาดคะเนเดาเอาว่าความเป็นเช่นนั้นของเราถูก ของคนอื่นไม่ถูก ความเป็นเช่นนี้เป็นพระอรหันต์ หรืออริยบุคคล ความเป็นเช่นนี้คือญาณ คือฌาน บางหมู่บางพวกตั้งก๊กขึ้นสอนกัมมัฏฐานกันไปตามอารมณ์ นี่แหละเป็นภัยอยู่มาก เป็นทางให้เกิดความเสื่อมได้ แต่ถึงอย่างไรก็ตาม ท่านเล่าว่า ก็เป็นการดี ที่อนาคตไม่นานจะมีการแข่งขันกันในด้านการสอนกัมมัฏฐาน การปฏิบัติกัมมัฏฐาน...(หลวงพ่อวิริยังค์ สิรินฺธโร)

 

4. หลวงปู่คำปัน สุภทฺโท สุปฏิปันโนแห่งลุ่มน้ำแม่ริม

 ในพรรษานี้ องค์หลวงปู่มั่น ได้รับพระสงฆ์ท้องถิ่นชาวเชียงใหม่ในฝ่ายมหานิกาย ซึ่งต่อมาเป็นพระมหาเถระที่เคร่งครัดในข้อวัตรโดยตลอดจนมรณภาพ คือ หลวงปู่คำปัน สุภทฺโท อดีตเจ้าอาวาสวัดสันโป่ง อ.แม่ริม จ.เชียงใหม่ ซึ่งท่านมีประวัติ และการเข้าเป็นศิษย์ในองค์หลวงปู่มั่น ดังนี้


หลวงปู่คำปัน สุภัทโท เป็นพระสงฆ์ชาวเชียงใหม่ ที่ได้ขอเป็นศิษย์เรียนธรรมะกับ องค์หลวงปู่มั่น ภูริทตฺโต ณ วัดพระธาตุจอมแตง อ.แม่ริม จ.เชียงใหม่ (รูปจาก
Internet)

 ในหนังสือประวัติวัดพระธาตุจอมแตงตำบลสันโป่ง อำเภอแม่ริม จังหวัดเชียงใหม่ ฉบับพิมพ์เมื่อวันที่ 1 มีนาคม พ.ศ.2560 และจากพระครูสุภัทรคุณพระเถระผู้ทรงคุณด้านวิปัสสนา ดังนี้

 

4.1 ชาติกำเนิดและการเริ่มต้นในสมณเพศ

หลวงปู่คำปัน สุภทฺโท เกิดเมื่อปี พ.ศ.2436 ณ บ้านสันโป่ง อ.แม่ริม จ.เชียงใหม่ ได้บรรพชาเป็นสามเณร เมื่ออายุ 12 ปี ณ วัดสันโป่ง วัดประจำหมู่บ้านนั้น เริ่มแรกศึกษาปริยัติธรรมและกัมมัฏฐานจาก ครูบาปัญญา เจ้าอาวาสวัดสันโป่งในขณะนั้น ได้อุปสมบทเป็นพระภิกษุ ณ พัทธสีมาวัดสันโป่ง เมื่อปีพ.ศ.2436 โดยมี พระครูมงคลญาณเถระ เจ้าคณะอำเภอแม่ริม เป็นพระอุปัชฌาย์ สังกัดคณะสงฆ์มหานิกาย

หลังจากอุปสมบทแล้ว ท่านได้รับภาระในการดูแลวัดสันโป่ง ตลอดจนศึกษาวิชาความต่างๆ เพิ่มเติมจากหลายครูบาอาจารย์ในสมัยนั้น เช่น เจ้าคุณพระอภัยสารทะ (ครูบาเฒ่าวัดฝายหิน) พระมหาเถระผู้เป็นปราชญ์แห่งเมืองลานนา, ครูบาอริยะ วัดดับภัย รองเจ้าคณะจังหวัดเชียงใหม่, พระอาจารย์นาระทะ

โดยเฉพาะ ครูบาปัญญา ผู้เป็นพระอาจารย์ที่ปฏิบัติธรรมเคร่งครัด ถือสันโดษ ชอบวิเวก ฉันมื้อเดียว โดยมีข้อวัตร คือ


หลวงปู่คำปัน สุภัทโท เป็นพระสงฆ์ชาวเชียงใหม่ ที่ได้ขอเป็นศิษย์เรียนธรรมะกับ องค์หลวงปู่มั่น ภูริทตฺโต ณ วัดพระธาตุจอมแตง อ.แม่ริม จ.เชียงใหม่ (รูปโดย Admin)

เวลา 04.00 น. ตื่นจากจำวัด สวดมนต์ไหว้พระแล้วทำกัมมัฏฐาน

เวลา 05.30 น. ออกจากกัมมัฏฐาน บิณฑบาตโปรดสัตว์

ในเวลากลางคืน หลังจากสวดมนต์ไหว้พระ แล้วจะเข้าทำสมาธิแผ่เมตตาจิตต่อไปจนถึงเวลาเที่ยงคืนจึงจำวัด  เป็นแบบอย่างให้กับ ครูบาคำปัน ถือตามรอยครูบาอาจารย์ตลอดมา

จนเมื่อครูบาปัญญามรณภาพ คณะสงฆ์ได้แต่งตั้งให้ท่านเป็นเจ้าอาวาสวัดสันโป่ง เมื่ออายุ 26 ปี

ในปี พ.ศ.2466 ได้รับแต่งตั้งเป็น พระอุปัชฌาย์ ในขณะที่ท่านพรรษาที่ 10

เมื่อวันที่ 28 พฤษภาคม พ.ศ.2477 ได้รับแต่งแต่งให้เป็นเจ้าอธิการ เจ้าคณะตำบลสันโป่ง-บ้านดง

เมื่อวันที่ 5 ธันวาคม พ.ศ.2499 ได้รับแต่งตั้งให้เป็นพระครูสัญญาบัตร ที่ พระครูสุภัทรคุณ

องค์หลวงปู่มั่น ภูริทตฺโต ได้เดินทางมาจำพรรษายังพระธาตุจอมแตง อ.แม่ริม จ.เชียงใหม่ ซึ่งตั้งอยู่บนเนินเขาเตี้ยๆ ในพรรษากาลปี พ.ศ.2473 ซึ่งเกียรติคุณการถือข้อวัตรปฏิบัติอย่างเคร่งครัด ความรู้แตกฉานในคัมภีร์ต่าง ๆ ได้แพร่หลายขจรขจายไป  จากการที่องค์หลวงปู่มั่น ได้ติดตาม ท่านเจ้าคุณอุบาลีฯ มาอยู่ที่วัดเจดีย์หลวง โดยการนิมนต์ของเจ้าแก้วนวรัฐ

 

รวมรูปหลวงปู่มั่นเดี่ยว - OneDrive - Google Chrome

หลวงปู่คำปัน สุภัทโท ได้ขอเป็นศิษย์เรียนธรรมะกับ องค์หลวงปู่มั่น ภูริทตฺโต ณ วัดพระธาตุจอมแตง อ.แม่ริม จ.เชียงใหม่ในพรรษากาล ปี พ.ศ.2473 (รูปจาก Internetและจากฐานข้อมูล Admin)

 4.2 หลวงปู่คำปัน ฝากตัวเป็นศิษย์องค์หลวงปู่มั่น

หลวงปู่คำปัน เมื่อได้ทราบว่าองค์หลวงปู่มั่น ได้เดินทางมายังวัดพระธาตุจอมแตง ซึ่งตั้งอยู่บริเวณใกล้เคียงกับวัดสันโป่ง จึงเป็นโอกาสอันดีที่จะได้เดินทางไปถวายสักการะและขอฝากตัวเป็นศิษย์ศึกษาธรรมะ

องค์หลวงปู่มั่น ได้เมตตารับ หลวงปู่คำปันไว้เป็นศิษย์ อบรมแนะนำตลอดพรรษา ทำให้หลวงปู่คำปัน ได้เข้าใจแจ่มแจ้งปฏิบัติได้อย่างถูกต้องสมบูรณ์ยิ่งขึ้น ท่านจะกล่าวถึงองค์หลวงปู่มั่นด้วยความเคารพว่า "ท่านอาจารย์ใหญ่" ทุกครั้ง

หลวงปู่คำปันยังกล่าวอีกว่า "พระอริยสงฆ์เช่นท่านอาจารย์ใหญ่นี้ มีไม่มากนัก แต่ก็มีพระภิกษุไม่กี่องค์ ที่เข้าถึงท่าน"

เมื่อออกพรรษาแล้ว องค์หลวงปู่มั่น ก็เดินทางจากวัดพระธาตุจอมแตง จาริกไปบ้านห้วยน้ำริน บ้านปง และเชียงดาว แล้วจะเดินทางกลับมารับไทยทาน ฉลากภัตรที่วัดเจดีย์หลวง หลังจากนั้นท่านก็จาริกต่อไปและในปีต่อมา ท่านเจ้าคุณอุบาลีฯ และองค์หลวงปู่มั่น และคณะได้มารุกขมูล ณ ป่าช้าวัดสันโป่ง อีกหลายครั้ง

 


แถวนั่ง จากซ้าย : หลวงปู่สาม อกิญฺจโน, หลวงปู่ตื้อ อจลธมฺโม,หลวงปู่คำปัน สุภทฺโท, หลวงปู่สิม พุทฺธาจาโร และคณะศิษยานุศิษย์บันทึกภาพร่วมกัน ข้างศาลาโรงธรรมวัดป่าดาราภิรมย์ ต.ริมใต้ อ.แม่ริม จ.เชียงใหม่เมื่อปี พ.ศ. 2510 (รูปและคำอธิบายจากเพจ วัดป่าดาราภิรมย์)

 4.3 ผูกพันครูบาอาจารย์เดียวกัน

หลวงปู่คำปันยังเป็นสหธรรมิกกับหลวงปู่ตื้อ อจลธมฺโม และหลวงปู่แหวน สุจิณฺโณ ซึ่งหลวงปู่สังข์ สงฺกิจฺโจ ผู้เป็นหลานและศิษย์ของหลวงปู่ตื้อ ได้เคยกล่าวถึงว่า

เมื่อท่านได้พบเห็นหลวงปู่คำปันแล้ว ท่านมีความเคารพนับถือมาก เพราะท่านเป็นผู้มีวัตรปฏิบัติเป็นที่น่าเลื่อมใส...

....ครั้งหนึ่ง หลังจากที่หลวงปู่ตื้อได้แยกจากหลวงปู่แหวน ที่วัดป่าห้วยน้ำริน ท่านก็ได้เดินทางไปที่วัดสันโป่ง เพื่อพบปะสนทนาธรรม และพักจำวัดกับหลวงปู่คำปัน ท่านทั้งสองสนทนาพูดคุยกันอย่างสนิทสนม ถูกอัธยาศัยกันมาก บางครั้งท่านสนทนาแลกเปลี่ยนข้อคิดทางธรรมอยู่จนดึก โดยไม่ต้องหลับนอนก็เคยมี


หลวงปู่คำปัน สุภทฺโท และ หลวงปู่ตื้อ อจลธมฺโม ถ่าย ณ วัดป่าดาราภิรมย์ อ.แม่ริม จ.เชียงใหม่ (รูปจาก ประวัติวัดป่าดาราภิรมย์)

ความใกล้ชิดและเป็นกันเองระหว่างท่านทั้งสอง ภารกิจของวัดสันโป่ง หลวงปู่ตื้อถือเสมือนเป็นภารกิจของท่านด้วย

ครั้งหนึ่ง หลวงปู่ตื้อเคยให้สามเณรนำบันไดมาให้ แล้วท่านก็ขึ้นซ่อมหลังคาศาลาที่รั่วด้วยตนเอง หลวงปู่คำปันได้ร้องห้าม เกรงจะเกิดอันตราย

แต่หลวงปู่ตื้อ กล่าวตอบหลวงปู่คำปันว่า

เฮ้อ....ไม่ต้องกลัวผมหรอก ผมเป็นหมอผึ้งเก่านะครับ"


หลวงปู่คำปัน สุภทฺโท และ หลวงปู่ตื้อ อจลธมฺโม ถ่าย ณ วัดป่าดาราภิรมย์ อ.แม่ริม จ.เชียงใหม่
(รูปจาก ประวัติวัดป่าดาราภิรมย์)

ปรากฏว่า หลวงปู่ตื้อ ขึ้นซ่อมหลังคารั่วจนเสร็จเรียบร้อย ความสัมพันธ์กันอย่างใกล้ชิด ระหว่างท่านทั้งสามนี้ คือ หลวงปู่คำปัน หลวงปู่แหวน หลวงปู่ตื้อ เป็นที่ทราบกันดีสำหรับชาวบ้านห้วยน้ำริน และบ้านสันโป่ง อ.แม่ริม จ.เชียงใหม่ เพราะท่านทั้งสาม เป็นศิษย์ขององค์หลวงปู่มั่น เช่นเดียวกัน (พระครูสุภัทรคุณพระเถระผู้ทรงคุณด้านวิปัสสนา)

 

4.4 รักธรรมะยิ่งชีวิต

นับแต่บัดนั้นมา หลวงปู่คำปันก็ปฏิบัติเคร่งครัด ถือวัตรเอกา (ฉันมื้อเดียว) มักน้อยสันโดษ ไม่ยึดถือ ไม่สะสม ไม่ติดในอามิสลาภผลไม่มีปลิโพธกังวลในสิ่งใดๆ ตามแนวทางปฏิบัติของพระอาจารย์ใหญ่มั่น ภูริทตฺตเถระ แม้คราวเจ็บไข้อาพาธ นายแพทย์จะขอร้องนิมนต์ให้ฉันสองมื้อ ท่านก็ไม่ยอม ท่านเคยพูดว่า


หลวงปู่คำปัน สุภัทโทวัดสันโป่ง อ.แม่ริม จ.เชียงใหม่

"ถ้าให้ถอยหลังกลับไปมักมาก ฉันสองมื้ออีก ตายเสียไม่ดีกว่าหรือ?"

ท่านรักธรรมยิ่งกว่าชีวิต หลวงปู่คำปันวางตนเป็นแบบอย่างอันดีเยี่ยม ตามแบบพระบูรพาจารย์ที่ท่านได้ศึกษาอบรมมาแม้จะเป็นผู้เงียบสงบ พูดน้อย ไม่โฆษณาโอหังไม่เผยแผ่ด้วยวาจา แต่ได้ดำเนินการเผยแผ่แบบปฏิบัติ ทำตนเป็นตัวอย่าง เรียกว่า สั่งสอนด้วยการทำให้ดู ซึ่งเป็นหลักการเผยแผ่ทางหนึ่ง  การเผื่อแผ่ไม่มีความโลโภโทสัน มักน้อยสันโดษ เช่น ถ้าญาติโยมนำผ้าจีวรของใช้มาถวายท่านจะใช้ให้ญาติโยมเห็นเพียงสอง-สามวันเท่านั้น จากนั้นจะแจกจ่ายให้รูปอื่นนำไปใช้ หรือแจกจ่ายให้ไปหมด อย่างนี้เป็นต้น นับเป็นการเผยแผ่ที่ดีเยี่ยม


อนุสรณ์ หลวงปู่คำปัน สุภทฺโท ณ วัดสันโป่ง อ.แม่ริม จ.เชียงใหม่ (รูปโดย Admin)

 4.5 การมรณภาพ

หลวงปู่คำปัน สุภัทโท ได้ดับขันธ์ลงเมื่อวันเสาร์ที่ 15 ตุลาคม พ.ศ.2520 เวลา 05.00 น. สิริรวมอายุได้ 85 ปี พรรษา 65 (หลวงปู่คำปันอริยสงฆ์ลุ่มน้ำแม่ริม ใน จารึกไว้ในลานนา)

 

5. ตำนานพระธาตุจอมแตง

พระพุทธองค์และพระสาวก..ได้เสด็จมาตามไหล่เขาจนบรรลุถึงเขาลูกหนึ่งซึ่งเป็นที่อยู่ของฝูงแรด (ดอยขี้แรด หรือเขาขี้แรด) ห่างจากดอยขี้แรดไปทางทิศตะวันออกประมาณ 1 กิโลเมตร มีพวกลัวะปลูกบ้านอาศัยอยู่และทำไร่ทำสวนใกล้ ๆ กับเชิงเขานั้น

เมื่อพระองค์เสด็จมาถึงบนเขาขี้แรดพร้อมหล่าพระสาวกเป็นเวลาใกล้เที่ยง ขณะนั้นมีลัวะสองตายายกำลังกำลังทำสวนอยู่ที่เชิงเขา ได้เห็นพระองค์เสด็จมากับพระสาวก ก็เกิดความปลื้มปิติมาก จึงได้หอบหิ้วเอาแตงกวาขึ้นไปถวาย


พระพุทธรูปที่พระธาตุจอมแตง วัดพระธาตุจอมแตง อ.แม่ริม จ.เชียงใหม่ (รูปโดย Admin)

 

เมื่อพระองค์รับแตงกวาเหล่านั้นแล้ว ก็ทรงถวายแก่พระสาวกกันจนครบ ด้วยอำนาจอิทธิฤทธิ์ บารมีของพระองค์ให้ทรงอธิษฐานลูกแตงกวาไว้ 1 ลูก

หลังจากนั้นพระองค์ได้ทรงโปรดสัมโมทิยคาถา ด้วยพระโอษฐ์อันมีเสียงพระสุระเสียงอันไพเราะ แก่ลัวะสองตายาย

เมื่อลัวะสองตายายลากลับแล้ว พญาแรดพร้อมหมู่บริวารที่พากันอาศัยอยู่ตามเชิงเขาก็ถือโอกาสพากันมาเฝ้าพระสัมมาสัมพุทธเจ้า พระองค์ทรงโปรดอนุเคราะห์ด้วยพระเมตตาธรรม

พญาแรดและบริวารกลับไปแล้ว พระพุทธองค์ทรงตั้งจิตอธิษฐานถอนพระเกศในลูกแตงกวาที่เหลือ และทรงกระทำอาการแย้มพระโอษฐ์ เหล่าพระสาวกได้เห็นเช่นนั้นก็ถามว่าเหตุใดพระองค์ทรงกระทำอาการเยี่ยงนั้น

พระองค์ก็ตรัสว่าต่อไปภายหน้า "นี่จะมีชื่อว่า "พระธาตุจอมแตง" จากนั้น ...

กล่าวถึงลัวะสองตายายายได้เล่าเรื่องที่ตนพบเห็นพระพุทธเจ้าให้ลูกหลานฟัง ลูกหลานได้ฟังก็ดีใจพากันส่งเสียงร้องเพื่อให้รู้กันทั่วเลยเกิดมีเสียงโกลาหลเป็นการใหญ่ ต่อมาหมู่บ้านนี้ จึงชื่อว่า "บ้านสันลัวะออ"


วัดพระธาตุจอมแตง อ.แม่ริม จ.เชียงใหม่ องค์หลวงปู่มั่น จำพรรษาในปี พ.ศ.2473 ปัจจุบันได้รับการบูรณะพัฒนาถาวรวัตถุในภายหลังแล้ว (รูปโดย Admin)

ได้ชักชวนกันจะไปเฝ้าพระพุทธองค์ เมื่อไปถึงปรากฏว่า พระพุทธองค์ได้เสด็จไปแล้วคงพบแต่แตงกวาที่ใส่พระเกศาไว้เท่านั้น พวกลัวะเหล่านั้นต่างก็ยกแตงกวามาตั้งไว้ในที่อันควร เพื่อกราบบูชาโดยขุดหลุมลึก 1 คาวุต แล้วสร้างมณฑปครอบไว้ ทุกๆวันพระจะพากันมาไหว้สวดมนต์ภาวนา

จากประวัติศาสตร์นั้น ไม่ได้ปรากฏผู้สร้างวัดที่ชัดเจน สันนิษฐานกันว่าประมาณปี พ.ศ.2275 ได้มีพระมหาเถระ 2 รูป เดินทางมาจากต่างประเทศ ได้มาบำเพ็ญบารมีธรรมที่แห่งนี้ และได้ชักชวนชาวบ้านที่อยู่ไม่ไกลจากที่นี่ ร่วมกันสร้างเจดีย์ครอบมณฑปเดิมที่มีความทรุดโทรมปรักหักพังเอาไว้ มณฑปนั้นมีขนาดกว้าง 2 เมตร ยาว 2 เมตร สูง 4 เมตร ติดกระจกแบบศิลปะพม่า

ซึ่งมีลักษณะเป็นประตูโขงทั้ง 4 ด้าน แต่ละด้านจะมีรูปเทพพนม นางกินรี รูปสิงห์ รูปมอม ก่อเป็นรูปทรงเจดีย์อยู่ด้านบน ประดับไปด้วยแก้วอย่างวิจิตรงดงาม เจดีย์ที่ครอบมณฑปนั้นปัจจุบันได้มีการบูรณปฏิสังขรณ์ขึ้นมาหลายครั้ง

ตามคำบอกเล่าของพ่อหนานอินทร์จักร ถาวร ลูกของพ่อขุนสันโป้งประสิทธิ์ ถาวรได้เล่าไว้ว่า สมัยพ่อหนานยังเป็นเด็กเล็กๆ นั้น นั้น พ่อแม่จะพาขึ้นมาจำศีลภาวนาทุกวันพระ ยังจำได้ว่าเจดีย์เก่าแก่ มีความสวยงาม ประดับประดาด้วยแก้วมีสีสันลวดลายดี แต่ว่าถูกพวกมนุษย์ใจบาปพากันมาเจาะค้นหาทรัพย์สมบัติจนมีแต่รูโพรงไปทั่ว เจดีย์จวนจะล้มมิล้มแหล่

ต่อมาปีพ.ศ. 2445 ได้มีพระอินทร์ตา เจ้าอาวาสวัดเจดีย์สถาน พร้อมด้วยพ่อขุนสันโป่งประสิทธิ์ถาวร พ่อหนานดำ พร้อมด้วยผู้เฒ่าผู้แก่จำนวนมาก จึงได้มาร่วมกันบูรณปฏิสังขรณ์วัดแห่งนี้ใหม่โดยการรื้อพระธาตุเพื่อสร้างพระธาตุองค์ใหม่ แต่รื้อไปรี้อมา ประตูโขงได้ล้มลงมาทับพระปานจนมรณภาพ เลยเก็บศพไว้

เมื่อสร้างพระเจดีย์เสร็จแล้ว ก็ได้จัดงานฉลอง 7 วัน 7 คืนพร้อมกับทำบุญปลงศพพระปาน การฉลองครั้งนี้ได้จัดทำกันที่วัดเจดีย์สถาน โยงด้ายสายเสียงสายสิญจน์ มาที่วัดพระธาตุจอมแตง (อนุสรณ์งานพระราชทานเพลิงศพ พระครูปิยธรรมภาณี พ.ศ.2550)

 

6. การบูรณะพระธาตุจอมแตงครั้งใหญ่

ต่อมาประมาณ พ.ศ. 2470 ได้มีนายม่องแอ๋ ( อีกชื่อหนึ่งว่า ม่องกี่) เป็นชาวพม่าแต่มีถิ่นฐานบ้านช่องอยู่ที่เชียงใหม่  แต่มีจิตศรัทธาเลื่อมใสในพระพุทธศาสนามาก ได้มาทำการปฏิสังขรณ์ และมาสร้างพระวิหารเป็นตึก ได้สร้างพระพุทธรูปขึ้นไว้เป็นที่บูชาอีก 4 องค์ พร้อมกับได้สร้างบันไดขึ้นถึงบริเวณปากประตูพระวิหาร และได้มีการจัดงานฉลองในเดือน 6 ใต้ เดือน 8 เหนือ ขึ้น 15 ค่ำ ซึ่งตรงกับงานบุญประเพณีสรงน้ำพระธาตุ แต่ต่อมาด้วยความไม่สะดวกในเดือน 6 ใต้ เดือน 8 เหนือ ขึ้น 15 ค่ำ ตรงกับช่วงฤดูฝน ทำให้ยากลำบากแก่สาธุชนทั้งหลาย จึงได้ทำการเลื่อนการทำบุญประเพณีสรงน้ำพระธาตุมาเป็นเป็นเดือน 3 ใต้ เดือน 5 เหนือ ขึ้น 15 ค่ำ จนถึงทุกวันนี้ และได้มีเจ้าแม่ดารารัศมีมาจัดพิธีทำบุญทอดจุลกฐิน นำเอาฝ้ายมาปั่น มาทอ มาเย็บ มาย้อมที่วัด มีท่านพระครูอภัยสารทะเป็นประธานในการรับผ้าจุลกฐิน


วัดพระธาตุจอมแตง อ.แม่ริม จ.เชียงใหม่ องค์หลวงปู่มั่น จำพรรษาในปี พ.ศ. 2473 ปัจจุบันได้รับการบูรณะพัฒนาถาวรวัตถุในภายหลังแล้ว (รูปโดย Admin)

ตั้งแต่นั้นมาจึงได้มีพระมาประพฤติปฏิบัติธรรมตลอดมา ทั้งที่เป็นพระเดินธุดงค์ พระเกจิอาจารย์นำลูกศิษย์มาร่วมกันปฏิบัติธรรมอยู่เสมอ เช่น หลวงปู่มั่น ภูริทัตโต หลวงปู่ฝั้น อาจาโร ครูบาอินทรจักรรักษา วัดน้ำบ่อหลวง ครูบาพรหมมา วัดพระพุทธบาทตากผ้า หลวงปู่แหวน วัดดอยแม่ปั๋ง เป็นต้น ได้มาเพื่อปฏิบัติธรรมเจริญพระกรรมฐาน

พ.ศ. 2507 กรมชลประทานได้ทำการขุดคลองของชลประทานผ่านเขตหน้าวัด ซึ่งเป็นวัดร้างที่ไม่มีพระสงฆ์จำพรรษาอยู่ และด้วยความลาดชันของบริเวณดังกล่าว จึงทำให้บริเวณของตัวพระธาตุนั้นได้ทรุดตัวลงไปเรื่อยๆ จนมาถึงช่วงที่พระครูอมรธรรมประยุต เจ้าคณะอำเภอแม่ริมในขณะนั้น (พ.ศ.2549 ปัจจุบันที่ปรึกษาเจ้าคณะจังหวัดเชียงใหม่)พร้อมด้วยคณะสงฆ์จึงได้มาร่วมกันพัฒนาวัดที่มีความทรุดโทรม เพื่อใช้ในกิจของพระพุทธศาสนาสืบมา จวบจนถึงปัจจุบันนี้

ต่อมาปี พ.ศ. 2513 หลวงพ่อพระครูอมรธรรรมประยุติ ร่วมด้วยคณะสงฆ์ในอำเภอแม่ริม มีพระครูวิรุฬธรรมโกวิท อดีตรองเจ้าคณะอำเภอแม่ริมวัดเจดีย์สถาน และหลวงปู่คำปัน สุภัทโท อดีตเจ้าคณะตำบลสันโป่ง วัดสันโป่ง ได้ร่วมกับชาวบ้านศรัทธาประชาชนได้มาช่วยกันรื้อพระวิหารหลังเก่านั้น แล้วสร้างพระวิหารหลังใหม่เป็นแบบจตุรมุข เสร็จเมื่อ พ.ศ. 2516 พร้อมด้วยการจัดงานฉลองและเปลี่ยนการจัดงานสรงน้ำพระธาตุจากเดือน 6 ใต้ เดือน 8 เหนือ มาเป็นเดือน 3 ใต้ เดือน 5 เหนือ ตั้งแต่บัดนั้นมา

พ.ศ. 2521 ทางคณะสงฆ์จึงได้แต่งตั้งให้พระครูศรีมูล ปิยธมฺโม มารักษาการเจ้าอาวาส วัดพระธาตุจอมแตง ตั้งแต่นั้นมาจึงได้มีผู้ดูแล มีพระสงฆ์มาจำพรรษาตลอดมาโดยมิได้ขาด

วัดนี้บางช่วงก็ทิ้งร้าง ทำให้พระพุทธรูปองค์ศักดิ์สิทธิ์ คือ พระพุทธรูปฝนแสนห่า พระสิงห์หนึ่ง พระประธานในพระวิหาร อันเป็นที่เคารพสักการะของชาวบ้าน ได้ถูกขโมยไป ต่อมาบางช่วงก็ปรับปรุง มีทั้งพระสงฆ์ ราชการ ฆราวาส และศรัทธาประชาชน ได้ร่วมกันบูรณะ มาจนกระทั่งทุกวันนี้ สิ่งก่อสร้างที่ได้ทำการรื้อออก และได้สร้างขึ้นมาใหม่ เช่น กุฏิ ศาลาการเปรียญ ศาลาบำเพ็ญบุญ บันได ราวรอบลายพระธาตุ เป็นต้น หลักฐานสำคัญบางส่วนที่เป็นฐานบริเวณพระธาตุที่ก่อด้วยก้อนอิฐเก่าๆ ตอนนี้ถูกปิดด้วยการสร้างฐานลานพระธาตุที่สร้างขึ้นมาใหม่ สามารถดูได้จากช่องที่เปิดไว้ด้านล่างของฐานที่ต่อเติมขยายออกมา (อนุสรณ์งานพระราชทานเพลิงศพ พระครูปิยธรรมภาณี พ.ศ.2550)

 

อ้างอิง
1) ประวัติหลวงปู่มั่นฉบับสมบูรณ์ โดย หลวงพ่อวิริยังค์ สิรินฺธโร พ.ศ. 2541
2) บทความ "หลวงปู่คำปันอริยสงฆ์ลุ่มน้ำแม่ริม " โดย ส.กวีวัฒน์ จากหนังสือ จารึกไว้ในล้านนา พ.ศ. 2563
3) บูรพาจารย์ โดย สุกัญญา มกุฏอรฤดี, ณิชารีย์ แก้วพรรณา พ.ศ. 2549
4) ประวัติวัดป่าดาราภิรมย์ พิมพ์ครั้งที่ 2 พ.ศ. 2548
5) อนุสรณ์งานพระราชทานเพลิงศพ พระครูปิยธรรมภาณี (ศรีมูล ปิยธมฺโม) อดีตเจ้าอาวาสวัดพระธาตุจอมแตง พ.ศ. 2550

 

< ตอนก่อนหน้า : ตอนต่อไป >