ตามรอยองค์หลวงปู่มั่น ภูริทัตโต

ร่วมเดินไปยังสถานที่ที่เกี่ยวเนื่อง กับองค์หลวงปู่มั่น ภูริทตฺโต พร้อมเรื่องราวความสำคัญ ศิษยานุศิษย์ที่เข้ามาฝากตัว เป็นสานุศิษย์ถักทอสู่ "กองทัพธรรมพระกรรมฐาน" โดยเว็บมาสเตอร์ www.luangpumun.org และสุดยอดแฟนพันธุ์แท้ ศิษยานุศิษย์หลวงปู่มั่น ภูริทัตโต จากรายการ แฟนพันธุ์แท้ 2018

เมนูหลัก ตามรอยองค์หลวงปู่มั่น คลิ๊ก

ประโยชน์ตนสมบูรณ์แล้วกลับภาคอีสานเริ่มงานเผยแผ่
วัดเจดีย์หลวง อ.เมือง จ.เชียงใหม่ (ตอนที่
4)
ตามรอยธรรมองค์หลวงปู่มั่น ภูริทตฺโต ตอนที่ 32

 

รวมรูปหลวงปู่มั่นเดี่ยว - OneDrive - Google Chrome

องค์หลวงปู่มั่น ภูริทตฺโต ถ่ายในวันจันทร์ที่ 10 มิถุนายน พ.ศ. 2483 ขึ้น 5 ค่ำ เดือน 7 ณ วัดป่าสาลวัน จ.นครราชสีมา ซึ่งระยะเวลาที่ถ่ายรูปนี้ อยู่ในช่วงหลังจากที่เดินทางจากวัดเจดีย์หลวง จ.เชียงใหม่ ลงมาพักยังวัดบรมนิวาส กรุงเทพฯ และเดินทางมาพักยัง วัดป่าสาลวัน จ.นครราชสีมา ดังนั้นรูปนี้จึงเป็นช่วงเวลาใกล้เคียงกับที่ท่านจาริกในภาคเหนือ และธรรมะแจ่งแจ้งแล้ว
(รูปและข้อมูลจาก ผู้ดูแลเว็บไซต์หลวงปู่มั่น ภูริทตฺตมหาเถร ในบทความ "บันทึกประวัติศาสตร์ พระบูรพาจารย์")

 

4. ช่วงที่ 4 ออกพรรษาปี พ.ศ.2482 และก่อนกลับภาคอีสาน ในปี พ.ศ.2483

          เป็นช่วงเวลาสุดท้ายที่องค์หลวงปู่มั่น ได้จาริกอยู่ใน จ.เชียงใหม่ ในพรรษากาล ปี พ.ศ.2482 ท่านจำพรรษาที่บ้านแม่กอย เมื่อออกพรรษาปรากฏว่าท่านอาพาธหนักด้วยโรคมาลาเรีย ท่านได้ลงมาที่วัดเจดีย์หลวง แล้วรักษาตัวที่โรงพยาบาลแมคคอร์มิคในเมืองเชียงใหม่ ซึ่งก็ยังไม่หายจากอาการอาพาธ ต่อจากนั้นท่านได้มาภาวนาที่ ป่าเปอะ โดยอาศัย "ธรรมโอสถ" จนหายอาพาธ

          ต่อจากนั้น ท่านเจ้าคุณพระธรรมเจดีย์ (จูม พนฺธุโร) ได้ขึ้นมารับองค์หลวงปู่มั่น เพื่ออาราธนากับคืนสู่ภาคอีสาน โดยทั้งพระคุณท่านทั้งสองพักที่วัดเจดีย์หลวง ก่อนที่องค์หลวงปู่มั่นจะจากไปนั้น ตรงกับวันวิสาขบูชา ท่านได้เทศน์เป็นเวลา 3 ชั่วโมง ที่เรียกว่า "เทศน์ซ้ำเฒ่า" ที่วัดเจดีย์หลวงเป็นครั้งสุดท้าย และเดินทางด้วยรถไฟ ลงมากรุงเทพฯ แล้วจึงเดินทางกลับคืนสู่ภาคอีสาน โดยมีรายละเอียด แต่ละช่วงเหตุการณ์ ดังนี้

 

4.1 ออกพรรษากาลปี พ.ศ. 2482 อาพาธเป็นมาลาเรีย

          ในพรรษาปี พ.ศ.2482 องค์หลวงปู่มั่น จำพรรษาที่เสนาสนะป่าบ้านแม่กอย ซึ่งปัจจุบันคือ วัดป่าอาจารย์มั่น บ้านแม่กอย อ.พร้าว จ.เชียงใหม่ ในช่วงออกพรรษา ผ่านมาถึงช่วงประมาณมกราคม พ.ศ.2483 หลวงปู่เจี๊ยะ จุนฺโท กับ หลวงปู่เฟื่อง โชติโก ได้เดินทางจาก จ.จันทบุรี มาฝากตัวเป็นศิษย์องค์หลวงปู่มั่น ที่บ้านแม่กอยแห่งนี้

วัดป่าอาจารย์มั่น บ้านแม่กอย อ.พร้าว จ.เชียงใหม่ องค์หลวงปู่มั่น จำพรรษา พ.ศ.2482

(รูปจาก โครงการท่องเที่ยวโดยชุมชน ตามรอยองค์หลวงปู่มั่น ภูริทัตโต)

 

ต่อมาอีกประมาณสองเดือน ทางวัดเจดีย์หลวง ได้นิมนต์องค์หลวงปู่มั่น มาร่วมในพิธีวันวิสาขบูชา (ในปีนั้นจะตรงกับวันที่ 23 กุมภาพันธ์ พ.ศ.2483 Admin) ในการนี้ สมเด็จพระสังฆราชเจ้า กรมหลวงวชิรญาณวงศ์ ได้เสด็จมาเป็นองค์ประธานในพิธี แต่ปรากฏว่า องค์หลวงปู่มั่น อาพาธด้วยโรคมาลาเรีย ได้มอบหมายให้ หลวงปู่เจี๊ยะ ไปร่วมพิธีแทน ตามประวัติหลวงปู่เจี๊ยะ ได้บันทึกไว้ ดังนี้

หลวงปู่เจี๊ยะ จุนฺโท กับ หลวงปู่เฟื่อง โชติโก ท่านทั้งสอง ได้เดินทางจากจันทบุรี ไปกราบองค์หลวงปู่มั่น ณ วัดป่าอาจารย์มั่น บ้านแม่กอย ในช่วงต้นปี พ.ศ.2483

(รูปจาก หลวงปู่เจี๊ยะ จุนฺโท ผู้เป็นดั่งผ้าขี้ริ้วห่อทอง)

 

...ได้อยู่กับท่านพระอาจารย์มั่น ที่วัดร้างป่าแดง บ้านแม่กอย ตำบลเวียง อำเภอพร้าว จังหวัดเชียงใหม่นั้น ในระยะ 2 เดือนแรก ใกล้จวนจะถึงวันมาฆบูชา สมเด็จมหาวีรวงศ์ ตอนนั้นเป็นเจ้าคุณราชกวี (พิมพ์ ธมฺมธโร) วัดเจดีย์หลวง ได้มีหนังสือไปนิมนต์ท่านพระอาจารย์มั่นให้ลงมาทำพิธีมาฆะร่วมกับสมเด็จพระวชิรญาณวงศ์ สมเด็จพระสังฆราชเจ้า (ชื่น สุจิตโต) แต่ในขณะนั้นท่านพระอาจารย์ (มั่น ภูริทตฺโต) ได้ป่วยเป็นไข้มาลาเรียอย่างแรง แพทย์ไม่รับรองในอาการ ท่านพระอาจารย์มั่นจึงมีหนังสือให้เราลงไปทำหน้าที่แทน ท่านสั่งว่า


สมเด็จพระสังฆราชเจ้า กรมหลวงวชิรญาณวงศ์  สมเด็จพระสังฆราช พระองค์ที่ 13 แห่งกรุงรัตนโกสินทร์ ฉายพระฉายาลักษณ์ หน้าพระวิหารหลวง วัดเจดีย์หลวง
(รูปจาก กุสลมหาเถรานุสรณ์ เล่ม 1)

"ท่านเจี๊ยะ........ไปร่วมพิธีแทนหน่อยและกราบทูลสมเด็จฯถึงความเป็นไปต่าง ๆ ด้วย"...(พระมหาธีรนาถ อคฺคธีโร)

 

4.2 ลงมาพักวัดเจดีย์หลวงพบแพทย์แล้วไปพักยังป่าเปอะ

          ท่านเจ้าคุณพระญาณดิลก (พิมพ์ ธมฺมธโร) ผู้ปฏิบัติหน้าที่ผู้กำกับการคณะสงฆ์วัดเจดีย์หลวง เมื่อได้ทราบการอาพาธขององค์หลวงปู่มั่น ได้นิมนต์ท่านจากบ้านแม่กอย โดยมีหลวงปู่เจี๊ยะ ร่วมเดินทางมายังวัดเจดีย์หลวงด้วย โดยหลวงปู่เจี๊ยะได้กล่าวว่า แม้องค์หลวงปู่มั่นจะอาพาธ แต่มิได้แสดงอาการเจ็บป่วย กลับเห็นท่านยังมีกำลังปกติ โดยสังเกตจากระยะเวลาที่เริ่มเดินทาง 10.00 น. ถึงวัดเจดีย์หลวง 17.00 น. ในขณะที่หลวงปู่เจี๊ยะ ภายหลังท่านเริ่มเดินทาง 10.00 น. เริ่มเวลาเดียวกัน แต่ถึงวัดเจดีย์หลวงในเวลา 21.00 น. ซึ่งร่างกายในภาวะปกติ ยังใช้เวลาเดินทางกับมากกกว่าเดินทางพร้อมกับองค์หลวงปู่มั่นถึง 4 ชั่วโมง องค์หลวงปู่มั่นพักที่วัดเจดีย์หลวงก่อน แล้วไปรักษาองค์พบแพทย์ที่ โรงพยาบาลแมคคอร์มิค

โรงพยาบาลแมคคอร์มิค จ.เชียงใหม่ สถานที่รักษาอาพาธในเบื้องต้น ซึ่งนายแพทย์แผนปัจจุบันวิเคราะห์การอาพาธขององค์หลวงปู่มั่นครั้งนี้ ว่าสุดกำลังในการรักษา แต่องค์หลวงปู่มั่น มิได้หวั่นไหว จะรักษาอาพาธด้วย "ธรรมโอสถ" โดยการบำเพ็ญภาวนา ที่ป่าเปอะ

(รูปจาก กุสลมหาเถรานุสรณ์ เล่ม 1 และ หลวงปู่เจี๊ยะ จุนฺโท ผู้เป็นดั่งผ้าขี้ริ้วห่อทอง)

 

          แพทย์ได้รักษาและวินิจฉัยแล้ว ได้กราบเรียน ท่านเจ้าคุณพระญาณดิลก (พิมพ์ ธมฺมธโร) ถึงอาการอาพาธองค์หลวงปู่มั่น หนักมากสุดทางรักษา แต่องค์หลวงปู่มั่นมิได้หวั่นไหวและขอให้นำไปพักที่ป่าเปอะ อ.สารภี จ.เชียงใหม่ โดยมีหลวงปู่เจี๊ยะ กับพระอาจารย์ทองปาน (มหาอุสฺสาโห) ถวายอุปัฏฐาก ระยะนี้องค์หลวงปู่มั่น รักษาองค์เองด้วย "ธรรมโอสถ" จึงหายอาพาธ ท่านอยู่ป่าเปอะ ประมาณเดือนพฤษภาคม พ.ศ.2483 จึงกลับคืนสู่วัดเจดีย์หลวง ตามการนัดหมายกับท่านเจ้าคุณพระธรรมเจดีย์ (จูม พนฺธุโร) เพื่อกลับสู่ภาคอีสาน

          จากบันทึกประวัติองค์หลวงปู่มั่น โดย พระอริยคุณาธาร และ ประวัติหลวงปู่เจี๊ยะ กล่าวไว้ดังนี้

          ..... อีกครั้งหนึ่ง เมื่อท่านอาพาธเป็นไข้มาเลเรียขึ้นสมอง เจ้าคุณพระเทพโมลี (ธมฺมธโร พิมพ์) อาราธนามารักษาที่วัดเจดีย์หลวง เชียงใหม่ ท่านก็ยินยอมให้รักษาดู ท่านเจ้าคุณจึงไปเชิญหมอแผนปัจจุบันมารักษา ฉีดหยูกยาต่าง ๆ จนสุดความสามารถของหมอ วันหนึ่ง หมอกระซิบบอกท่านเจ้าคุณว่า "หมดความสามารถแล้ว"

ป่าเปอะ อ.สารภี จ.เชียงใหม่ บริเวณพื้นที่ป่าภายในหมู่บ้านนี้ในอดีต องค์หลวงปู่มั่น ได้มาบำเพ็ญภาวนา ขณะอาพาธ และบำบัดด้วย "ธรรมโอสถ" ในช่วงก่อนเดินทางกลับสู่ภาคอีสาน

(รูปโดย Admin)

 

พอหมอไปแล้ว ท่านพระอาจารย์จึงนิมนต์เจ้าคุณพระเทพโมลีไปถามว่า "หมอว่าอย่างไร? "

ท่านเจ้าคุณก็เรียนให้ทราบตามตรง

ท่านพระอาจารย์จึงบอกว่า "ไม่ตายดอกอย่าตกใจ"

แล้วจึงบอกความประสงค์ให้ทราบว่า ท่านได้พิจารณาแล้วรู้ว่า อาพาธครั้งนี้จะระงับได้ด้วยธรรมโอสถ ณ สถานที่แห่งหนึ่งคือป่าเปอะ อันเป็นสถานที่วิเวก ใกล้นครเชียงใหม่ ท่านจะไปพักที่นั่น เจ้าคุณพระเทพโมลีก็อำนวยตามความประสงค์

ท่านไปพักทำการเจริญกายคตาสติกัมมัฏฐาน เป็นอนุโลม ปฏิโลม เพ่งแผดเผาภายในอยู่ทั้งกลางวันกลางคืนไม่นานอาพาธก็สงบ จึงปรากฏบาทคาถาขึ้นว่า "ฌายี ตปติ อาทิจฺโจ" พิจารณาได้ความว่า "ฌานแผดเผาเหมือนดวงอาทิตย์ฉะนั้น"... (พระอริยคุณาธาร)

          ...เราอุปัฏฐากทำวัตรปฏิบัติท่านพระอาจารย์มั่นที่ป่าเปอะ ตำบลท่าวังช้างนี้ 6 เดือน ท่านเจ้าคุณธรรมเจดีย์ (จูม) เจ้าคณะมณฑลอุดรฯ ได้มีหนังสือมานิมนต์ให้ท่านกลับไปอุดรฯ ประกอบกับองค์ท่านเองก็มีความประสงค์จะกลับทางภาคอีสานอยู่แล้ว เพราะอยู่ทางเหนือมานานเป็นเวลา 12 ปี จึงเอ่ยขึ้นว่า

"เจี๊ยะเว้ย!..กลับบ้านเราเถอะ มาอยู่ทางเชียงใหม่ไม่ค่อยได้หมู่คณะ ลงไปทางอีสานบ้านเราจะได้หมู่คณะแยะกว่า กลับทางเราดีกว่า"... (พระมหาธีรนาถ อคฺคธีโร)

 

4.3 หนังสือใหญ่นิมนต์ ออกจากป่าเปอะ มาพักวัดเจดีย์หลวง ครั้งสุดท้าย

          องค์หลวงปู่มั่น ได้เดินทางออกจากป่าเปอะ กลับสู่วัดเจดีย์หลวง ตามนัดหมายเพื่อพบกับ คณะของ ท่านเจ้าคุณพระธรรมเจดีย์ (จูม พนฺธุโร) กับพระอาจารย์อุ่น ธมฺมธโร และชาวอุดรธานี ช่วงเวลาที่พักอยู่วัดเจดีย์หลวงนั้นประมาณ 6-7  คืน ระยะเวลานั้นทั้งเทวดาและญาติโยมทางเชียงใหม่ต่างอาลัยอาวรณ์ที่องค์หลวงปู่มั่นจะกลับคืนสู่แผ่นดินอีสาน ซึ่งท่านเมตตาชี้แจงเหตุผลไปว่า ท่านได้รับนิมนต์แล้ว ไม่สามารถบอกเลิกนิมนต์ได้

พระธรรมเจดีย์ (จูม พนฺธุโล) (รูปขวา) ได้เดินทางมากราบอาราธนา องค์หลวงปู่มั่น ภูริทตฺโต (รูปซ้าย) ด้วยตนเอง เพื่อกลับสู่ จ.อุดรธานี กล่าวกันว่า ได้มาพบกันที่วัดเจดีย์หลวง

(รูปจาก ฐานข้อมูล Admin และสมุดภาพจังหวัดอุดรธานี)


หลวงปู่อุ่น ธมฺมธโร ได้ติดตามไปอาราธนาองค์องค์หลวงปู่มั่น ด้วย
(รูปจาก ฐานข้อมูล Admin)

 

จากบันทึกประวัติองค์หลวงปู่มั่น โดย หลวงตามหาบัว และหลวงพ่อวิริยังค์ อีกทั้งประวัติหลวงปู่เจี๊ยะ ได้บันทึกไว้ดังนี้

...ในระยะนี้ พระอาจารย์เทสก์ (ปัจจุบันเป็นพระราชนิโรธรังสีฯ) ได้อยู่กับท่านอย่างใกล้ชิดตลอดเวลา กับได้พยายามที่จะอาราธนาให้ท่านกลับทางภาคอีสาน เพื่อจะได้แนะนำธรรมปฏิบัติแก่คณะสงฆ์ ซึ่งเป็นศิษย์ของท่านจำนวนมากที่ไม่สามารถจะตามมาหาท่านที่เชียงใหม่นี้ได้ ท่านอาจารย์เทสก์ได้ชี้แจงเหตุผลต่าง ๆ เป็นต้นว่า


หลวงปู่เทสก์ เทสรํสี องค์ท่านเพียรพยายาม กราบอาราธนาองค์หลวงปู่มั่น กลับสู่ภาคอีสาน โดยกราบเรียนเหตุผลต่างๆ เพื่อองค์หลวงปู่มั่น ได้พิจารณา
(รูปจาก คลังสารสนเทศดิจิทัล มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์)

"นับแต่ท่านอาจารย์ได้มาอยู่ที่ภาคเหนือถึงเป็นสิบ ๆ ปี ยังไม่ปรากฏว่ามีนักบวชชาวเหนือ สนใจและตั้งใจปฏิบัติธรรมกับท่านอาจารย์อย่างจริงจังแม้แต่องค์เดียว มีแต่ท่านอาจารย์ปฏิบัติ ได้รับความวิเวกเฉพาะองค์เท่านั้น และบัดนี้ก็เป็นเวลานานสมควรแล้วที่ท่านอาจารย์ได้รับผลทางใจ ซึ่งควรที่จะกรุณาแก่นักปฏิบัติที่กำลังเอาจริงเอาจังอยู่ทางภาคอีสาน กระผมเองก็ยังคิดถึงหมู่คณะที่ควรจะได้รับอุบายการปฏิบัติของท่านอาจารย์ และคิดว่าจะเป็นประโยชน์จริง ๆ"

เมื่อท่านได้รับการแนะนำอาราธนาของท่านอาจารย์เทสก์อย่างนี้แล้ว ประกอบกับพิจารณาเห็นประโยชน์แก่พระพุทธศาสนา ท่านจึงตัดสินใจที่จะกลับภาคอีสาน หลังจากท่านเข้ามาจำพรรษาที่วัดเจดีย์หลวงอีกครั้ง โดยต้องการจะสงเคราะห์ชาวเชียงใหม่ แล้วท่านก็นึกถึงสถานที่วิเวก ทางแม่คอย อ. พร้าว (ปัจจุบันคือ วัดป่าอาจารย์มั่น บ้านแม่กอย อ.พร้าว จ.เชียงใหม่ Admin) ก็วกเข้าไปวิเวกจำพรรษาอยู่ที่นั้น

เมื่อท่านอาจารย์เทสก์ได้ทาบทามเพื่อที่จะให้ท่านกลับภาคอีสาน และแน่ใจพอสมควรแล้ว ท่านก็มีจดหมายไปถึง ท่านเจ้าคุณธรรมเจดีย์ (จูม พนฺธุโล) เจ้าอาวาสวัดโพธิสมภรณ์ ซึ่งเป็นความปรารถนาอย่างยิ่งของท่านอาจารย์เทสก์ ก็ดีใจเป็นอย่างยิ่ง

ออกพรรษาของปี พ.ศ. 2482 ท่านเจ้าคุณธรรมเจดีย์ ก็ขึ้นไปเชียงใหม่ด้วยตนเอง โดยไปพักอยู่ที่วัดเจดีย์หลวง มีความกระหายที่จะได้พบพระอาจารย์มั่น ฯ

ทางฝ่ายพระอาจารย์มั่นฯ เมื่อทราบว่าศิษย์คนโปรดคือเจ้าคุณธรรมเจดีย์มา (ท่านเจ้าคุณธรรมเจดีย์นี้ แต่ครั้งเป็นสามเณรได้มาอยู่กับท่านอาจารย์มั่น ฯ ที่วัดเลียบ จังหวัดอุบลราชธานี ท่านอาจารย์มั่นฯ ท่านเล่าว่าเป็นสามเณรโคร่ง คือเป็นเณรใหญ่ ได้ทำการปลูกมะพร้าวเป็นอันมากให้แก่วัดนี้ และเป็นสามเณรที่ว่านอนสอนง่าย)... (หลวงพ่อวิริยังค์ สิรินฺธโร)


หลวงปู่เจี๊ยะ จุนฺโท ได้ถวายการดูแลองค์หลวงปู่มั่น ในช่วงสุดท้ายของการจาริกในภาคเหนือ

(รูปจาก ฐานข้อมูล Admin)

...เดือนพฤษภาคม พ.ศ.2483 เรา (หลวงปู่เจี๊ยะ) ติดตามท่านพระอาจารย์มั่นเดินทางเข้าเชียงใหม่ อันเป็นกำหนดเวลามารับของท่านเจ้าคุณธรรมเจดีย์ เข้ามาพักที่วัดเจดีย์หลวงเชียงใหม่ก่อน... (พระมหาธีรนาถ อคฺคธีโร)

...ท่านพระอาจารย์มั่นคราวพักอยู่จังหวัดเชียงใหม่ พระที่ตั้งใจปฏิบัติธุดงคกรรมฐานไปอยู่กับท่านไม่ค่อยมากนัก เพราะท่านไม่ชอบออกมาเมืองมานาแถวนอก ๆ อยู่แต่ในป่าในเขาตลอดมา ขณะที่ท่านอยู่เชียงใหม่ ก็ได้รับจดหมายท่านเจ้าคุณธรรมเจดีย์ วัดโพธิสมภรณ์ อุดรธานี ซึ่งเคยเป็นลูกศิษย์ท่านมาแต่เล็ก อาราธนานิมนต์ให้ท่านกลับไปอยู่จังหวัดอุดรธานีหลายฉบับ แต่ท่านทั้งไม่ตอบจดหมายทั้งไม่รับนิมนต์ตลอดมา

จนราว พ.ศ. 2482-2483 ท่านเจ้าคุณธรรมเจดีย์ อุดรธานี มาอาราธนานิมนต์ด้วยตนเอง และเข้าไปจนถึงที่ท่านอาจารย์พักอยู่ ท่านจึงตอบจดหมายท่านเจ้าคุณทุกฉบับในเวลาเดียวกันว่า จดหมายท่านเจ้าคุณส่งมาผมได้รับทุกฉบับ แต่เป็นจดหมายเล็กเห็นว่าไม่สำคัญจึงมิได้ตอบ แต่คราวนี้จดหมายใหญ่มาคือท่านเจ้าคุณมาเอง ผมจึงตอบ ว่าแล้วท่านหัวเราะ ท่านเจ้าคุณก็หัวเราะเช่นกัน (หลวงพ่อวิริยังค์ สิรินฺธโร)

พอได้โอกาสท่านเจ้าคุณก็อาราธนานิมนต์ท่านอาจารย์ให้กลับไปโปรดที่อุดรฯ ซึ่งท่านได้จากมาเป็นเวลาหลายปีแล้ว บรรดาสานุศิษย์ทางอุดรฯ คิดถึงท่านมาก ขอให้ท่านเจ้าคุณมาอาราธนาในนามของชาวอุดรฯ คราวนี้ท่านขัดไม่ได้จำต้องรับนิมนต์ จากนั้นท่านเจ้าคุณกราบเรียนกำหนดการมารับท่าน ตกลงกันต้นเดือนพฤษภาคม 2482 (น่าจะเป็นปี พ.ศ.2483 Admin) เป็นระยะเวลามารับท่าน

ก่อนท่านอาจารย์จะจากที่พักออกมาวัดเจดีย์หลวง เชียงใหม่ พวกรุกขเทวดาจำนวนมาก พากันมาอาราธนาวิงวอนขอให้ท่านพักอยู่ที่นั้นต่อไป ยังไม่อยากให้ท่านหนีไปไหน เขาบอกว่าเวลาท่านอยู่ที่นั้น พวกเทวดาทุกชั้นทุกภูมิได้รับความร่มเย็นเป็นสุขโดยทั่วกัน เพราะอำนาจเมตตาธรรมท่านแผ่ครอบทั่วทุกทิศทุกทางทั้งกลางวันกลางคืน เทวดาทั้งหลายมีความสุขมากและเคารพรักท่านมากมาย ไม่อยากให้ท่านจากไป เมื่อท่านจากไปแล้ว ความสุขที่พวกเขาเคยได้รับจากท่านจะลดลง แม้การปกครองกันก็ไม่สะดวกเหมือนที่ท่านยังอยู่

ท่านได้บอกกับเทวดาทั้งหลายว่า เป็นความจำเป็นที่จะต้องจากไป เพราะได้รับคำนิมนต์แล้วว่าไป จำต้องไปตามความสัตย์ความจริง จะเปลี่ยนแปลงเป็นอย่างอื่นไม่ได้ คำพูดของพระไม่เหมือนคำพูดของโลกทั่ว ๆ ไป พระเป็นผู้มีศีลต้องมีสัตย์ ถ้าขาดคำสัตย์ ศีลก็กลายเป็นสูญไปทันที ไม่มีอะไรเหลืออยู่ในองค์พระ ฉะนั้นพระต้องรักษาสัตย์ศีล


พระวิหารหลวง วัดเจดีย์หลวง

(รูปจาก สมโภช 600 ปี พระธาตุเจดีย์หลวง)

พอตกเดือนพฤษภาคม ท่านกับคณะลูกศิษย์ที่จะติดตามไปอุดรฯ ด้วย เริ่มออกเดินทางจากที่พัก ออกมาวัดเจดีย์หลวงและพักที่นั่น ฝ่ายพระอาจารย์อุ่น วัดทิพยรัตน์นิมิตกับคณะญาติโยมชาวอุดรฯ ที่มารับท่านก็มาถึงในระยะเดียวกัน ท่านพักอยู่วัดเจดีย์หลวง ราว 6-7 คืน ขณะพักอยู่ที่นั้น มีคณะศรัทธาชาวเชียงใหม่ที่มีความเลื่อมใสในท่าน ได้พร้อมกันมาอาราธนานิมนต์ให้ท่านพักอยู่ที่นั้นนาน ๆ เพื่อโปรดเมตตาชาวเชียงใหม่ต่อไป แต่ท่านรับนิมนต์ไม่ได้ ทำนองเดียวกับเทวดาอาราธนา เพราะได้รับนิมนต์เสียแล้ว... (หลวงตามหาบัว ญาณสมฺปนฺโน)

 

4.4 ได้แอบดู ก่อนออกปฏิบัติ

          ในช่วงที่องค์หลวงปู่มั่นเดินทางมาจากป่าเปอะพักที่วัดเจดีย์หลวง ได้ 2-3 วัน กับพระธรรมเจดีย์ (จูม พนฺธุโร) ได้เดินทางมาวัดเจดีย์หลวง ประจวบกับหลวงตามหาบัวในช่วงพรรษาต้นๆ นั้น ก็ได้เดินทางถึงวัดเจดีย์หลวงแล้ว เพื่อศึกษาปริยัติธรรม ซึ่งหลวงตาฯ ได้เคยได้ยินคุณธรรมขององค์หลวงปู่มั่นมานานแล้ว ครั้งนี้จะเป็นครั้งแรกที่ได้พบองค์หลวงปู่มั่น แต่ยังไม่มีโอกาสได้สนทนากัน ได้แต่เพียงแอบมองตอนที่องค์หลวงปู่มั่นกลับจากบิณฑบาต โดยกล่าวถึงไว้ในประวัติของท่านไว้ว่า

หลวงตามหาบัว ญาณสมฺปนฺโน เมื่อครั้งพรรษาต้นๆ และรูปภาพจำลองขณะกำลังศึกษาปริยัติธรรม

(รูปจาก ญาณสัมปันนธัมมานุสรณ์ และหยดน้ำบนใบบัว)

 

          ...พอเราได้ทราบว่าท่านมาพักอยู่วัดเจดีย์หลวงเท่านั้นก็เกิดความยินดีเป็นล้นพ้น สอบถามจากพระว่า 'ท่านไปบิณฑบาตสายไหนๆ' สอบถามได้ความว่า 'เช้านี้ท่านพระอาจารย์มั่นออกบิณฑบาตสายนี้และจะกลับมาทางเดิม' ดังนี้ ก็ยิ่งเป็นเหตุให้มีความสนใจใคร่อยากจะพบเห็นท่านมากขึ้น แม้จะไม่ได้พบท่านซึ่งๆหน้าก็ตามเพียงขอให้ได้แอบมองท่านก็เป็นที่พอใจ

          พอรุ่งสางเช้าวันใหม่ ก่อนที่ท่านจะออกบิณฑบาต เราก็รีบไปบิณฑบาตแต่เช้า แล้วกลับมาถึงกุฏิ ก็คอยสังเกตตามเส้นทางที่ท่านจะผ่านมา คอยจ้องดูอยู่ไม่นานนักสักเดี๋ยวพระมาบอกว่า 'มาแล้ว นู่นๆกำลังเข้ากำแพงวัด'

เราก็รีบเข้าไปในห้องเลย มันมีช่องอยู่ยังไม่ลืมนะ ก็ได้เห็นท่านเดินผ่านมา แล้วจึงส่งสายตาสอดส่องดูท่านอย่างลับๆ ด้วยความหิวกระหายใคร่พบท่านมาเป็นเวลานานแสนนานเมื่อได้เห็นองค์ท่านจริงๆ ก็ยิ่งเพิ่มความศรัทธาเลื่อมใส ในองค์ท่านขึ้นอย่างเต็มที่ …

รูปภาพจำลองเหตุการณ์ หลวงตามหาบัว ญาณสมฺปนฺโน ขณะท่านแอบดูองค์หลวงปู่มั่น บิณฑบาตร เป็นการได้เห็นองค์หลวงปู่มั่นครั้งแรกของท่าน ในช่วงประมาณเดือน พฤษภาคม พ.ศ.2483

(รูปจาก หยดน้ำบนใบบัว)

ส่องดู ลักษณะของท่านเหมือนไก่ป่านะคล่องแคล่ว ตาแหลมคม ท่านเดินมา เราก็ดู…ฟังด้วยความสนใจ ดูด้วยความเลื่อมใส 'นี่มันซึ้งจริงๆ' เราไม่ลืมนะ ... แต่ท่านจะเห็นเรายังไงก็ไม่รู้นะ …"

ขณะที่ส่องดูอยู่นั้นเกิดความรู้สึกเลื่อมใสในองค์ท่านขึ้นอย่างเต็มที่ในขณะนั้น คิดในใจว่า "เราไม่เสียทีที่เกิดมาเป็นมนุษย์ ได้เห็นพระอรหันต์ในคราวนี้เองแล้ว" ทั้งๆ ที่ไม่มีใครบอกว่าหลวงปู่มั่นเป็นพระอรหันต์ ในขณะที่ได้เห็นอยู่นั้นท่านว่า

"ใจมันหยั่งลึกเชื่อแน่วแน่ลงไปอย่างนั้นพร้อมทั้งเกิดความปีติยินดีจนขนพองสยองเกล้าอย่างบอกไม่ถูก ทั้งๆ ที่องค์ท่านก็ไม่ได้

มองเห็นเรา"... (ญาณสัมปันนธัมมานุสรณ์)

4.5เทศน์วันวิสาขบูชา ให้ชาวเชียงใหม่ครั้งสุดท้าย

          ก่อนองค์หลวงปู่มั่นจะเดินทางกลับภาคอีสาน เมื่อมาถึงวันวิสาขบูชา (ซึ่งตรงกับวันที่ 21 พฤษภาคม พ.ศ.2483 Admin) ท่านเจ้าคุณพระญาณดิลก (พิมพ์ ธมฺมธโร) ผู้ปฏิบัติหน้าที่ผู้กำกับการวัดเจดีย์หลวง ได้อาราธนาองค์หลวงปู่มั่นเมตตา เทศน์ให้ชาวเชียงใหม่เป็นครั้งสุดท้าย  ใช้เวลาเทศน์ติดต่อกัน 3 ชั่วโมง ซึ่งในเวลานั้น หลวงตามหาบัว ญาณสมฺปนฺโน ได้ฟังเทศน์ครั้งนี้ เป็นครั้งแรกของท่านที่ได้ฟังธรรมองค์หลวงปู่มั่น และบันทึกไว้ ดังนี้

พระญาณดิลก (พิมพ์ ธมฺมธโร) ได้อาราธนาองค์หลวงปู่มั่น ภูริทตฺโต ได้แสดงธรรมเป็นครั้'สุดท้ายให้กับชาวเชียงใหม่ ในวันวิสาขบูชา ปี พ.ศ.2483 โดยมีองค์หลวงตามหาบัว ญาณสมฺปนฺโน ซึ่งขณะนั้น ได้ขึ้นไปศึกษาปริยัติธรรม ที่วัดเจดีย์หลวง ได้มีโอกาสฟังธรรมครั้งนี้ และได้บันทึกไว้ในประวัติ "ท่านพระอาจารย์มั่นฯ" ต่อมา

(รูปจาก ฐานข้อมูล Admin)

 

...ก่อนจะจากเชียงใหม่ ท่านเจ้าคุณราชกวี และคณะศรัทธาเชียงใหม่ อาราธนาท่านขึ้นแสดงธรรมในวันวิสาขะ เป็นกัณฑ์ต้น เพื่อไว้อาลัยสำหรับศรัทธาทั้งหลาย ซึ่งผู้เขียนก็ไปถึงเชียงใหม่ในระยะเดียวกัน ได้ฟังเทศน์ท่านด้วยความสนใจอย่างยิ่ง ท่านแสดงธรรม 3 ชั่วโมงพอดีถึงจบกัณฑ์ ท่านเทศน์เป็นที่จับใจอย่างฝังลึก ยังไม่มีเวลาลบเลือนตลอดมาถึงปัจจุบัน


องค์หลวงตามหาบัว ญาณสมฺปนฺโน ซึ่งขณะนั้น ได้ขึ้นไปศึกษาปริยัติธรรม ที่วัดเจดีย์หลวง ได้มีโอกาสฟังธรรมครั้งนี้ และได้บันทึกไว้ในประวัติ "ท่านพระอาจารย์มั่นฯ" ต่อมา
(รูปจาก ญาณสัมปันนธัมมานุสรณ์)

 

ใจความสำคัญของธรรมที่ท่านแสดงในวันนั้นมีว่า "วันนี้ตรงกับวันพระพุทธเจ้าประสูติ ตรัสรู้ และดับขันธปรินิพพาน เราเรียกว่า วันวิสาขบูชา พระพุทธเจ้าเกิดกับสัตว์โลกเกิดต่างกันมาก ตรงที่ท่านเกิดแล้วไม่หลงโลกที่เกิด ที่อยู่และที่ตาย มิหนำยังกลับรู้แจ้งที่เกิด ที่อยู่ และที่ตายของพระองค์ด้วยพระปัญญาญาณโดยตลอดทั่วถึง ที่เรียกว่าตรัสรู้นั่นเอง เมื่อถึงกาลอันควรจากไป ทรงลาขันธ์ที่เคยอาศัยเป็นเครื่องมือบำเพ็ญความดีมาจนถึงขั้นสมบูรณ์เต็มที่ แล้วจากไปแบบสุคโต สมเป็นศาสดาของโลกทั้งสาม ไม่มีที่น่าตำหนิแม้นิดเดียว ก่อนเสด็จจากไปโดยพระกายที่หมดหนทางเยียวยาก็ได้ประทานพระธรรมไว้เป็นองค์แทนศาสดา ซึ่งเป็นที่น่ากราบไหว้บูชาคู่พึ่งเป็นพึ่งตายถวายชีวิตจริง ๆ

เราทั้งหลายต่างเกิดมาด้วยวาสนา มีบุญพอเป็นมนุษย์ได้อย่างเต็มภูมิ ดังที่ทราบอยู่แก่ใจ แต่อย่าลืมตัวลืมวาสนาของตัว โดยลืมสร้างคุณงามความดีเสริมต่อภพชาติของเราที่เคยเป็นมนุษย์ จะเปลี่ยนแปลงและกลับกลายหายไป ชาติต่ำทรามที่ไม่ปรารถนาจะกลายมาเป็นตัวเราเข้าแล้วแก้ไม่ตก   ความสูงศักดิ์   ความต่ำทราม   ความสุขทุกขั้นจนถึงบรมสุข  และความทุกข์ทุกขั้นจนเข้าขั้นมหันตทุกข์เหล่านี้ มีได้กับทุกคนตลอดสัตว์ถ้าตนเองทำให้มี อย่าเข้าใจว่าจะมีได้เฉพาะผู้กำลังเสวยอยู่เท่านั้น โดยผู้อื่นมีไม่ได้ เพราะสิ่งเหล่านี้เป็นสมบัติกลาง แต่กลับกลายมาเป็นสมบัติจำเพาะของผู้ผลิตผู้ทำก็ได้ ฉะนั้นท่านจึงสอนไม่ให้ดูถูกเหยียดหยามกัน เมื่อเห็นเขาตกทุกข์หรือกำลังจน จนน่าทุเรศ เราอาจมีเวลาเป็นเช่นนั้นหรือยิ่งกว่านั้นก็ได้ เมื่อถึงวาระเข้าจริง ๆ ไม่มีใครมีอำนาจหลีกเลี่ยงได้ เพราะกรรมดีชั่วเรามีทางสร้างได้เช่นเดียวกับผู้อื่น จึงมีทางเป็นได้เช่นเดียวกับผู้อื่น และผู้อื่นก็มีทางเป็นได้เช่นที่เราเป็นและเคยเป็น

ศาสนาเป็นหลักวิชาตรวจตราดูตัวเองและผู้อื่นได้อย่างแม่นยำ และเป็นวิชาเครื่องเลือกเฟ้นได้อย่างดีเยี่ยม ไม่มีวิชาใดในโลกเสมอเหมือน นับแต่บวชและปฏิบัติมาอย่างเต็มกำลังจนถึงวันนี้   มิได้ลดละการตรวจตราเลือกเฟ้นสิ่งดีชั่วที่มี  และเกิดอยู่กับตนทุกระยะ  มีใจเป็นตัวการพาสร้างกรรมประเภทต่าง ๆ จนเห็นได้ชัดว่า กรรมมีอยู่กับผู้ทำ มีใจเป็นต้นเหตุของกรรมทั้งมวล ไม่มีทางสงสัย ผู้สงสัยกรรมหรือไม่เชื่อกรรมว่ามีผล คือคนลืมตนจนกลายเป็นผู้มืดบอดอย่างช่วยอะไรไม่ได้ คนประเภทนั้น แม้เขาจะเกิดและได้รับการเลี้ยงดูจากพ่อแม่มาเป็นอย่างดีเหมือนโลกทั้งหลายก็ตาม เขามองไม่เห็นคุณของพ่อแม่ว่าได้ให้กำเนิด และเลี้ยงดูตนมาอย่างไรบ้าง แต่เขาจะมองเห็นเฉพาะร่างกายเขาที่เป็นคน ซึ่งกำลังรกโลกอยู่โดยเจ้าตัวไม่รู้เท่านั้น ไม่สนใจคิดว่าเขาเกิดและเติบโตมาจากท่านทั้งสอง ซึ่งเป็นแรงหนุนร่างกายชีวิตจิตใจเขา ให้เจริญเติบโตมาจนถึงปัจจุบัน


พระวิหารหลวง วัดเจดีย์หลวง กล่าวกันว่า เป็นสถานที่แสดงธรรมครั้งสุดท้าย ขององค์หลวงปู่มั่น ภูริทตฺโต ในจังหวัดเชียงใหม่

(รูปจาก สมโภช 600 ปี พระธาตุเจดีย์หลวง)

การดื่มและการรับประทานอาหารทุกประเภท ล้วนเป็นการเสริมสร้างสุขภาพ และความเจริญเติบโตแก่ร่างกายให้เป็นอยู่ตามกาลของมัน การทำเพื่อร่างกาย ถ้าไม่จัดว่าเป็นกรรมคือการทำ จะควรจัดว่าอะไร สิ่งที่ร่างกายได้รับมาเป็นประจำ ถ้าไม่เรียกว่าผล จะเรียกว่าอะไรจึงจะถูกตามความจริง ดีชั่วสุขทุกข์ที่สัตว์ทั่วโลกได้รับกันมาตลอดสาย ถ้าไม่มีแรงหนุนเป็นต้นเหตุอยู่แล้ว จะเป็นมาได้ด้วยอะไร ใจอยู่เฉย ๆ ไม่คะนองคิดในลักษณะต่าง ๆ อันเป็นทางมาแห่งดีและชั่ว คนเราจะกินยาตายหรือฆ่าตัวตายได้ด้วยอะไร สาเหตุแสดงอยู่อย่างเต็มใจที่เรียกว่าตัวกรรม และทำคนจนถึงตาย ยังไม่ทราบว่าตนทำกรรมแล้ว ถ้าจะไม่เรียกว่ามืดบอด จะควรเรียกว่าอะไร

กรรมอยู่กับตัวและตัวทำกรรมอยู่ทุกขณะ ผลก็เกิดอยู่ทุกเวลา ยังสงสัยหรือไม่เชื่อกรรมว่ามีและให้ผลแล้วก็สุดหนทาง ถ้ากรรมวิ่งตามคนเหมือนสุนัขวิ่งตามเจ้าของเขาก็เรียกว่าสุนัขเท่านั้นเอง ไม่เรียกว่ากรรม นี่กรรมไม่ใช่สุนัข แต่คือการกระทำดีชั่วทางกายวาจาใจต่างหาก ผลจริงคือความสุขทุกข์ที่ได้รับกันอยู่ทั่วโลก กระทั่งสัตว์ผู้ไม่รู้จักกรรม รู้แต่กระทำคือหาอยู่หากิน ที่ทางศาสนาเรียกว่ากรรมของสัตว์ของบุคคล และผลกรรมของสัตว์ของบุคคล"

กัณฑ์นี้ผู้เขียนได้ฟังด้วยตัวเองอย่างถึงใจจากความสนใจใฝ่ฝันในองค์ท่านมานาน จึงได้นำมาลงเพื่อท่านผู้ไม่ได้ฟังจะได้อ่านกรรมตัวเองบ้าง บางทีอาจเหมือนกรรมของผู้อื่น ซึ่งต่างเป็นนักสร้างกรรมเหมือนกัน พอเทศนาจบลงจากธรรมาสน์เดินมากราบพระประธาน ท่านเจ้าคุณราชกวีเรียนขึ้นว่า วันนี้ท่านอาจารย์เทศน์ใหญ่ สนุก ฟังกันเต็มที่สำหรับกัณฑ์นี้ ท่านตอบว่า "เทศน์ซ้ำท้ายความแก่อาจมีใหญ่บ้าง ต่อไปจะไม่ได้มาเทศน์อีก เวลานี้ก็แก่มากแล้ว"  ท่านพูดนี้เหมือนเป็นอุบายบอกว่าจะไม่ได้กลับมาเชียงใหม่อีกแล้วในชีวิตนี้ เลยกลายเป็นความจริงขึ้นมา คือท่านไม่ได้กลับไปอีกจริง ๆ สมกับคำว่าเทศน์ซ้ำท้ายความแก่ ผู้เขียนรู้สึกปีติซาบซึ้งในองค์ท่าน และธรรมท่านแทบตัวลอย และมองดูท่านไม่มีเวลาอิ่มพอ ดังได้เขียนความไม่เป็นท่าของตนลงในหนังสือทางร่มเย็นบ้างแล้ว...(หลวงตามหาบัว ญาณสมฺปนฺโน)

 

4.6 เดินทางออกจากเชียงใหม่

          การเดินทางกลับสู่ภาคอีสานนั้น สิ่งของที่องค์หลวงปู่มั่น นำกลับไปด้วย ก็มิได้มีอะไรนอกจากบริขาร 8 การเดินทางนี้มีพระผู้ใหญ่ คณะศรัทธาตามมาส่งมากมาย พร้อมทั้งเทวดาอีกจำนวนมาก การเดินทางใช้พาหนะรถไฟ โดยเดินทางจากเชียงใหม่ เข้าสู่กรุงเทพฯ พักที่วัดบรมนิวาสก่อน ตามบัญชาของ สมเด็จพระมหาวีรวงศ์ (อ้วน ติสฺโส) เจ้าอาวาสวัดบรมนิวาสในขณะนั้น ต่อจากนั้นจึงโดยสารรถไฟไปนครราชสีมาและไปยังอุดรธานี ตามลำดับ สิ้นสุดการจาริก 12 ปี ในภาคเหนือ


(รูปจาก สมโภช 600 ปี พระธาตุเจดีย์หลวง)

          จากบันทึกของ หลวงตามหาบัว และหลวงพ่อวิริยังค์ ได้กล่าวไว้ ดังนี้

....ท่านพักอยู่วัดเจดีย์หลวงพอควรแก่กาลแล้ว ก็ออกเดินทางลงมากรุงเทพฯ ขณะออกจากวัดมีสมเด็จพระมหาวีรวงศ์ (ธมฺมธโร,พิมพ์) วัดพระศรีมหาธาตุ บางเขน กรุงเทพมหานคร ซึ่งเวลานั้นเป็นพระราชกวี และพระผู้ใหญ่ตลอดศรัทธาญาติโยมตามส่งท่านมากมาย และมีเทวดาเป็นจำนวนมากตามส่งท่านไปสถานีรถไฟ ท่านว่า บนอากาศทั้งข้างหน้าข้างหลังข้างซ้ายข้างขวาเต็มไปด้วยเทวดาที่เหาะลอยตามส่งท่าน แม้ไปจนถึงสถานีแล้วก็ยังไม่พากันกลับไปภูมิฐานของตน ยังคงยับยั้งรอคอยตามส่งท่านอยู่บนอากาศ จนถึงเวลารถไฟจะเคลื่อนออกจากสถานี ท่านว่าชุลมุนวุ่นวายพอดู ทั้งจะแสดงอาการต้อนรับประชาชนพระเณรที่ตามส่งเป็นจำนวนมาก ทั้งจะแสดงกิริยาทางใจเพื่ออวยชัยให้พรแก่เทวดาทั้งหลายที่เหาะลอยและยับยั้งอยู่ในอากาศ เพื่อรับพรจากท่านเป็นวาระสุดท้าย พอปฏิสันถารกับประชาชนเสร็จ และรถไฟเริ่มเคลื่อนออกจากสถานีแล้ว จึงได้ปฏิสันถารและอวยพรให้แก่เทวดาทั้งหลายบนรถไฟ

ท่านว่าน่าสงสารเทวดาบางรายที่เกิดความเลื่อมใสในท่านมาก ไม่อยากให้ท่านจากไป แสดงความกระวนกระวายระส่ำระสาย และเสียอกเสียใจเช่นเดียวกับมนุษย์เราดี ๆ นี่เอง เทวดาบางพวกอุตส่าห์เหาะลอยตามส่งท่านไปไกลตามขบวนรถไฟที่กำลังวิ่งตามรางไปอย่างเต็มที่ จนท่านต้องกำหนดจิตบอกให้พากันกลับไปถิ่นฐานของตน จึงให้พากันกลับด้วยความอาลัยอาวรณ์อย่างไม่มีจุดหมาย ว่าท่านจะได้กลับมาเมตตาโปรดอีกเมื่อไรหรือไม่ สุดท้ายก็พากันหมดหวังเพราะท่านมิได้กลับไปอีก และท่านก็มิได้พูดด้วยว่า รุกขเทวดาทางเชียงใหม่ได้พากันไปฟังเทศน์เวลาท่านไปอยู่อุดรฯ และสกลนครแล้ว


(รูปจาก สมโภช 600 ปี พระธาตุเจดีย์หลวง)

พอรถไฟถึงกรุงเทพฯ เข้าพักวัดบรมนิวาสตามคำสั่งทางโทรเลขของสมเด็จพระมหาวีรวงศ์ (ติสฺโส อ้วน) วัดบรมนิวาส กรุงเทพมหานคร ที่บอกไปว่าให้ท่านไปพักวัดบรมฯ ก่อนเดินทางไปอุดรฯ...(หลวงตามหาบัว ญาณสมฺปนฺโน)

...การเดินทางกลับภาคอีสานของพระอาจารย์มั่นฯ ครั้งนี้ไม่มีอะไรมากนอกจากจัดบริขาร 8 ของพระธุดงค์จะพึงมีเท่านั้นก็เป็นอันเสร็จ ท่านเจ้าคุณธรรมเจดีย์ได้ล่วงหน้ากลับมาก่อนแล้ว ท่านก็ประกาศให้ศิษย์ผู้เคยปฏิบัติธรรมอยู่กับท่านให้ทราบ บางองค์ก็อยู่ บางองค์ก็กลับตามท่านไป

ท่านเล่าว่า ขณะที่โดยสารรถไฟไปนั้น ท่านได้พิจารณาไปด้วย ทำสมาธิเป็นการภายใน แม้จะพูดจะมองดูอะไรต่าง ๆ ก็ให้จิตเป็นสมาธิมีสติ

เราโดยสารรถไฟคราวนี้ กำหนดจิตจนปรากฏว่าไม่มีอะไร เป็นรถไฟหรือตู้โบกี้ตู้ไหน มันก็กำลังวิ่งและกำลังเสียดสี มีเสียงอย่างไร ไปถึงไหน ไม่ปรากฏทั้งนั้น จิตได้เข้าสู่ความปรกติ การเดินทางเป็นวันเป็นคืนเหมือนชั่วขณะเดียวและสบายมากมีความเบา หลังจากลงจากรถไฟแล้วก็ไม่เสียกำลัง ทำเหมือนกับว่าอยู่ในป่าฉะนั้น

ผู้เขียนได้ฟังความข้อนี้แล้ว รู้สึกเคารพและเลื่อมใสยิ่ง ที่ท่านได้กระทำความเพียรอยู่ทุกเมื่อ แม้จะเดินทางโดยรถไฟ ท่านก็ไม่ละความเพียร ผู้เขียนฟังขณะที่ท่านเล่าโดยความเป็นกันเองเช่นนี้ ทำให้เกิดความระวังตนเองขึ้นมาก และมาได้ความคิดว่า การการทำความเพียรนี้   เป็นอกาลิโกจริงๆ คำสอนของพระพุทธเจ้าในคำนี้ คือไม่เลือกกาลเลือกเวลา สามารถจะบำเพ็ญจิตได้ในที่ทุกสถานในกาลทุกเมื่อ


(รูปจาก สมโภช 600 ปี พระธาตุเจดีย์หลวง)

ปีนี้เมื่อท่านมาถึงกรุงเทพฯได้พักอยู่ที่วัดบรมนิวาสเป็นการชั่วคราว และผู้ที่ขอร้องท่านให้ไปอยู่เชียงใหม่คือท่านเจ้าคุณอุบาลีคุณูปมาจารย์ (สิริจนฺโท จันทร์) เจ้าอาวาสวัดบรมนิวาส ก็ได้มรณภาพไปแล้ว ก็เพียงได้พบกับท่านสมเด็จพระมหาวีรวงศ์.(ติสฺโส อ้วน) เป็นเจ้าอาวาสวัดบรมนิวาสแทน... (หลวงพ่อวิริยังค์ สิรินฺธโร)

5. บทสรุป

          ช่วงระยะที่องค์หลวงปู่มั่น วิเวกในภาคเหนือ เป็นระยะเวลา 12 ปี ระหว่างปี พ.ศ.2472 – 2483 เป็นระยะ 12 ปี 11 พรรษา โดยในช่วงที่ 1 – 2 ยังเป็นช่วงที่ท่านต้องเกี่ยวข้องกับหมู่คณะ โดยเฉพาะท่านเจ้าคุณอุบาลีฯ ที่ยังจำพรรษาที่วัดเจดีย์หลวง

จนกระทั่งท่านเจ้าคุณอุบาลีฯ กลับกรุงเทพฯ ประสบกับอาพาธ มอบหน้าที่เจ้าอาวาสวัดเจดีย์หลวงให้องค์หลวงปู่มั่น ท่านได้สนองงานคณะสงฆ์ด้วยความเคารพในท่านเจ้าคุณอุบาลีฯ จนกระทั่งออกพรรษาในช่วงที่ 2 นี้เอง ภายหลังจากเจ้าคุณอุบาลีฯ มรณภาพจนปลงศพแล้วเสร็จ ภาระงานคณะสงฆ์ที่อาจเป็นอุปสรรคกับการภาวนา ประกอบกับธรรมะภายในของท่านยังไม่แจ่มแจ้ง เป็นเหตุผลสำคัญ ที่ทำให้องค์หลวงปู่มั่น ต้องปลดเปลื้องภาระอีกครั้ง ดั่งเช่นเมื่อครั้งเดินทางออกจากวัดบูรพา มาจำพรรษาวัดปทุมวนาราม ในปี พ.ศ.2471

หลังจากสละภาระหน้าที่คณะสงฆ์แล้ว หลังจากออกพรรษาปี พ.ศ.2475 ท่านได้ออกจากวัดเจดีย์หลวง เข้าไปจำพรรษาแถบป่าลึก ใน อ.พร้าว จ.เชียงใหม่ และ อ.เวียงป่าเป้า และ อ.แม่สรวย จ.เชียงราย มีลูกศิษย์ติดตามไปไม่มาก องค์ท่านต้องการความวิเวกทำความเพียร เพื่อให้แจ้งในธรรม เป็นเวลาต่อเนื่อง 5 ปี 5 พรรษา จนกระทั่งเมื่อ สมเด็จพระมหาวีรวงศ์ (พิมพ์ ธมฺธโร) เมื่อครั้งดำรงสมณศักดิ์ ที่ พระญาณดิลก ได้ขึ้นมาปฏิบัติหน้าที่ผู้กำกับการวัดเจดีย์หลวง ได้อาราธนาท่านลงมาโปรดหมู่คณะวัดเจดีย์หลวง และจำพรรษาในปี พ.ศ.2481 ซึ่งเป็นช่วงที่ 3

ออกพรรษาปี พ.ศ.2481 จากท่าทีที่ท่านได้เอ่ยความประสงค์ที่กลับคืนสู่ภาคอีสานกับหลวงปู่เทสก์ จึงเกิดการเตรียมการรับองค์หลวงปู่มั่นมาที่ จ.อุดรธานี จนกระทั่ง เดือนพฤษภาคม พ.ศ.2483 ซึ่งเป็นช่วงที่ 4 องค์ท่านได้เดินทางกลับภาคอีสานและไม่ได้ย้อนกลับมาภาคเหนืออีกเลย พร้อมกับ พระธรรมเจดีย์ ที่ขึ้นมารับองค์ท่าน ซึ่งเป็นที่รับรู้กับว่า การกลับภาคอีสานครั้งนี้ องค์ท่านได้รู้แจ้งเห็นจริงในพระสัจธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าแล้ว ซึ่งคาดว่าท่านน่าจะได้ที่สุดนั้นในช่วงระยะที่ 3-4 นี้เอง หลังจากนั้นท่านได้เริ่มเกี่ยวข้องกับหมู่คณะ ให้การอบรมศิษยานุศิษย์โดยเริ่มต้นตั้งสำนักที่ จ.อุดรธานี และวาระสุดท้ายที่ จ.สกลนคร ต่อเนื่องกันถึง 10 ปี

การศึกษาเรื่องราวขององค์หลวงปู่มั่น กับวัดเจดีย์หลวง จะเสมือนการศึกษาเหตุการณ์ตลอดในช่วง 12 ปีในภาคเหนือ

 

ข้อสังเกตในการค้นคว้าครั้งนี้และต่อไป

1. ตามบันทึกนี้ มีรายละเอียดปลีกย่อย ที่ในอดีตข้อมูลชัดเจนอาจค้นคว้าได้ยาก กล่าวคือ ท่านเจ้าคุณอุบาลีฯ ได้ดำเนินการขอตำแหน่งฐานานุกรมใน สมเด็จพระมหาสมณเจ้ากรมพระยาวชิรญาณวโรรส นั้น เนื่องจากสมเด็จพระมหาสมณเจ้าฯ พระองค์ได้สิ้นพระชนม์ เมื่อปี พ.ศ.2464 ก่อนการเดินทางไปฟื้นฟูวัดเจดีย์หลวงถึง 7 ปี และตำแหน่งพระครูฐานานุกรม ได้อิงตามหนังสือตราตั้งพระอุปัชฌาย์ คือ พระครูวินัยธร

2. เรื่องจากปีปฏิทิน มีการเปลี่ยนจากปฏิทินจันทรคติมาเป็นปฏิทินสุริยคติ (ปฏิทินสากล) ใน พ.ศ. 2483 (ค.ศ. 1940) ซึ่งทำให้มีการกำหนดให้วันที่ 1 มกราคม เป็นวันขึ้นปีใหม่ตามแบบสากล การเปลี่ยนแปลงนี้ส่งผลให้วันขึ้นปีใหม่ของไทยที่เคยนับในเดือนเมษายน เปลี่ยนมาเป็นวันที่ 1 มกราคม เหมือนกับปฏิทินสากลที่ใช้กันทั่วโลก ดังนั้นจึงต้องพิเคราะห์ช่วงเวลา ที่คาบเกี่ยวในช่วงเดือน มกราคม - เมษายน อาจจะเป็นช่วงท้ายปีก่อนหน้า หากนับตามปฏิทินปัจจุบัน อย่างเช่นกรณีในหนังสือตราตั้งพระอุปัชฌาย์องค์หลวงปู่มั่น ภูริทตฺโต

3. การศึกษาแต่ช่วงเวลาที่องค์หลวงปู่มั่น ภูริทตฺโต จำพรรษาวัดเจดีย์หลวง จะก่อให้เกิดความชัดเจน ในการลำดับการจำพรรษาขององค์ท่าน อนึ่งจะต้องเทียบเคียงกับข้อสังเกตในข้อ 2 ก็น่าจะเกิดความชัดเจนขึ้น

4. ชื่อบ้านนามเมืองต่างๆ เนื่องจากอาจแตกต่างกันตามสำเนียงพูด ตลอดจนเขตเมืองต่างๆ อาจไม่ตรงกับในปัจจุบัน อาจต้องใช้การเทียบเคียงจากหลายแหล่งข้อมูล เพื่อให้เกิดความชัดเจน ในสถานที่ที่องค์หลวงปู่มั่น ได้จาริกไปได้

ขอขอบคุณ
คุณบุ๊ค คุณแอน คุณกุ่ย คุณแจน ช่วยอ่านตรวจแก้ตัวอักษา
บุญตาแอนติค และ คุณกมล นิลปาน อนุเคราะห์รูปครูบาอาจารย์
คลังสารสนเทศดิจิทัล มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ อนุเคราะห์ข้อมูล
โครงการท่องเที่ยวโดยชุมชน ตามรอยองค์หลวงปู่มั่น ภูริทัตโต อุปถัมป์การดำเนินการรวบรวมข้อมูล
หากมีข้อผิดพลาดประการใด Admin กราบขออภัยไว้ ณ ที่นี้

 

อ้างอิง

1) ประวัติพระอาจารย์มั่น ภูริทตฺตเถร โดย หลวงปู่มหาบัว ญาณสมฺปนฺโณ พ.ศ. 2547

2) ประวัติหลวงปู่มั่นฉบับสมบูรณ์ โดย หลวงพ่อวิริยังค์ ฯ พ.ศ.2541

3) หนังสือที่ระลึกในงานพระราชทานเพลิง พระญาณวิศิษฏ์ (พระอาจารย์สิงห์ ขนฺตยาคโม) โดย พระอริยคุณาธาร พ.ศ. 2505

4) อัตตโนประวัติ พระราชนิโรธรังสีคัมภีรปัญญาวิศิษฏ์ ลายมือหนังสือธรรมของ พระอาจารย์ฝั้น อาจาโร วงศ์ธรรมยุติในภาคอีสาน โดย หลวงปู่เทศก์ เทสรํสี พ.ศ.2539

5) อาจาราภิวาท อนุสรณ์ พระอาจารย์ฝั้น อาจาโร พ.ศ.2520

6) ตามรอยธุดงควัตร พระอาจารย์เสาร์ กนฺตสีโล โดย ธิดาวรรณ-พิศิษฐ์ ไสยสมบัติ พ.ศ. 2546

7) ชีวประวัติพระคุณเจ้าหลวงปู่ชอบ ฐานสโม, ฉบับปรับปรุง พศ.2535

8) จนฺทปชฺโชตเถรปูชา ที่ระลึกในงานพระราชทานเพลิงศพ สมเด็จพระมหามุนีวงศ์ (สนั่น จนฺทปชฺโชโต) วันที่ 7 มิถุนายน พ.ศ.2542

9) ทางสู่สันติ อนุสรณ์ในงานฌาปนกิจศพ พระอาจารย์กงมา จิรปุญฺโญ วันที่ 3 มีนาคม พ.ศ.2506

10) ธรรมประวัติ หลวงปู่จาม มหาปุญฺโญ ผู้มากมีบุญ โดย พระธมฺมธโร ครูบาแจ๋ว พ.ศ.2555

11) บทความ "คณะธรรมยุตติกนิกายภาคเหนือ" โดย พระวินัยโกศล (ภายหลัง คือ พระพุทธพจน์วราภรณ์ (หลวงปู่มหาจันทร์ กุสโล))  จากหนังสือ สมโภช 600 ปี พระธาตุเจดีย์หลวง พ.ศ.2538

12) บทความ "ปฏิปทาบูรพาจารย์ ผู้นำจิตวิญญาณล้านนา" โดย ส.กวีวัฒน์ จากหนังสือ จารึกไว้ในล้านนา พ.ศ.2563

13) บทความ "หลวงปู่มั่นกับดอยสุเทพ" โดย ส.กวีวัฒน์ จากหนังสือ จารึกไว้ในล้านนา พ.ศ.2563

14) บทความ "บวชให้รูปเดียวพอ" โดย ส.กวีวัฒน์ จากหนังสือ จารึกไว้ในล้านนา พ.ศ.2563

15) พันทุลาภิบูชา คณะศิษยานุศิษย์อุทิศบูชาคุณานุคุณ ในงานพระราชทานเพลิงศพ พระธรรมเจดีย์ (จูม พนฺธุโล) วันอาทิตย์ที่ 2 มิถุนายน พ.ศ.2506

16) บูรพาจารย์ โดย สุกัญญา มกุฏอรฤดี, ณิชารีย์ แก้วพรรณา พ.ศ.2549

17) ประชุมปกรณัม ภาคที่ 5 นนทุกปกรณัม โดย ราชบัณฑิตยสภา พระโสภณอักษรกิจ พิมพ์สนองคุณในงานพระราชทานเพลิงศพ ท่านน้อย เปาโรหิตย์ มารดาเจ้าพระยามุขมนตรี เมื่อปีมะแม พ.ศ.2474

18) หนังสืออนุสรณ์ในงานพระราชทานเพลิง พระราชเมธาจารย์ (ผิว ฐิตเปโม) วันที่ 3 มิถุนายน พ.ศ.2538

19) ทางสู่สันติ และประวัติพระครูอุดมธรรมคุณ (ทองสุก สุจิตฺโต) พิมพ์เป็นอนุสรณ์ในงานฌาปนกิจศพพระครูอุดมธรรมคุณ (ทองสุก สุจิตฺโต) วันที่ 1 กุมภาพันธ์ พ.ศ.2509 โดย พระครูญาณวิริยะ (หลวงพ่อวิริยังค์ สิรินฺธโร)

20) หลวงปู่เหรียญ วรลาโภ จัดพิมพ์เป็นธรรมบรรณาการ เนื่องในการเสด็จพระราชทานเพลิงศพ พระสุธรรมคณาจารย์ (หลวงปู่เหรียญ วรลาโภ) วันที่ 14 ธันวาคม พ.ศ.2552

21) หลวงปู่เจี๊ยะ จุนฺโท พระผู้เป็นดั่งผ้าขี้ริ้วห่อทอง ฉบับสมบูรณ์ เนื่องในพิธีพระราชทานเพลิงศพ วันพฤหัสบดีที่ 23 ธันวาคม พ.ศ.2547 โดย พระมหาธีรนาถ อคฺคธีโร

22) ญาณสัมปันนธัมมานุสรณ์ อนุสรณ์ในงานพระราชทานเพลิงฯ พระธรรมวิสุทธิมงคล (หลวงตาพระมหาบัว ญาณสัมปันโน)

23) บทความ "สามสมเด็จศิษย์หลวงปู่มั่น" โดย Admin เพจ แฟนพันธุ์แท้ศิษย์หลวงปู่มั่น, พ.ศ.2563

< ตอนก่อนหน้า : ตอนต่อไป >