ตามรอยองค์หลวงปู่มั่น ภูริทัตโต

ร่วมเดินไปยังสถานที่ที่เกี่ยวเนื่อง กับองค์หลวงปู่มั่น ภูริทตฺโต พร้อมเรื่องราวความสำคัญ ศิษยานุศิษย์ที่เข้ามาฝากตัว เป็นสานุศิษย์ถักทอสู่ "กองทัพธรรมพระกรรมฐาน" โดยเว็บมาสเตอร์ www.luangpumun.org และสุดยอดแฟนพันธุ์แท้ ศิษยานุศิษย์หลวงปู่มั่น ภูริทัตโต จากรายการ แฟนพันธุ์แท้ 2018

เมนูหลัก ตามรอยองค์หลวงปู่มั่น คลิ๊ก

ธรรมโอสถภาวนา อาพาธที่เชียงใหม่
บ้านป่าเปอะ อ.สารภี จ.เชียงใหม่
ตามรอยองค์หลวงปู่มั่น ภูริทตฺโต ตอนที่ 4
5


บ้านป่าเปอะ อ.สารภี จ.เชียงใหม่

          ในพรรษาปี พ.ศ. 2482 จนกระทั่งออกพรรษาจนถึงช่วงต้นปี พ.ศ. 2483 องค์หลวงปู่มั่น ภูริทตฺโต จำพรรษาอยู่วัดร้างป่าแดง บ้านแม่กอย ซึ่งปัจจุบัน คือ วัดป่าอาจารย์มั่น อ.พร้าว จ.เชียงใหม่ องค์ท่านประสบกับภาวะอาพาธเป็นไข้มาลาเรีย ท่านเจ้าคุณพระญาณดิลกได้นิมนต์องค์ท่านลงมาที่วัดเจดีย์หลวง เพื่อมาทำพิธีฉลองหน้ามุขพระวิหารหลวง (ดำรง ภู่ระย้า, 2529:39-40) แต่เมื่อพบว่าองค์ท่านประสบกับอาพาธ จึงได้นิมนต์องค์ท่านรักษาตัวที่โรงพยาบาลแมคคอร์มิค แต่แพทย์ได้แจ้งว่า ไม่อาจจะรักษาองค์ท่านให้หายได้

          องค์หลวงปู่มั่น มิได้เกรงกลัวต่อพยาธิที่รุมเร้า ได้แสดงความประสงค์ที่จะไปภาวนาโดยใช้ ธรรมโอสถ รักษาการอาพาธบริเวณที่เรียกว่า ป่าเปอะ อยู่ในบริเวณบ้านป่าเปอะ อ.สารภี จ.เชียงใหม่ โดยมี หลวงปู่เจี๊ยะ จุนฺโท พระอาจารย์ทองปาน และ หลวงปู่อ่อนสี สุเมโธ (ดำรง ภู่ระย้า, 2529:39-40)  เป็นพระคิลานุปัฏฐาก จนท่านหายจากอาพาธ ต่อจากนั้นองค์หลวงปู่มั่น ได้กลับเข้ามาพักที่วัดเจดีย์หลวง ภายหลังวันวิสาขบูชา ปี พ.ศ. 2483 องค์หลวงปู่มั่นจึงได้เดินทางกลับสู่ภาคอีสาน

          เกี่ยวกับการอาพาธและการรักษาโดยใช้การภาวนา ปรากฏในประวัติองค์หลวงปู่มั่น โดย พระอริยคุณาธาร ได้บันทึกในหัวข้อ "บำบัดอาพาธด้วยธรรมโอสถ" รายละเอียดไว้ ดังนี้

          ... อีกครั้งหนึ่ง เมื่อท่านอาพาธเป็นไข้มาเลเรียขึ้นสมอง เจ้าคุณพระเทพโมลี (ธมฺมธโร พิมพ์) อาราธนามารักษาที่วัดเจดีย์หลวง เชียงใหม่ ท่านก็ยินยอมให้รักษาดู ท่านเจ้าคุณจึงไปเชิญหมอแผนปัจจุบันมารักษา ฉีดหยูกยาต่าง ๆ จนสุดความสามารถของหมอ วันหนึ่ง หมอกระซิบบอกท่านเจ้าคุณว่า "หมดความสามารถแล้ว"

พอหมอไปแล้ว ท่านพระอาจารย์จึงนิมนต์เจ้าคุณพระเทพโมลีไปถามว่า "หมอว่าอย่างไร? "

ท่านเจ้าคุณก็เรียนให้ทราบตามตรง

ท่านพระอาจารย์จึงบอกว่า "ไม่ตายดอกอย่าตกใจ"

แล้วจึงบอกความประสงค์ให้ทราบว่า ท่านได้พิจารณาแล้วรู้ว่า อาพาธครั้งนี้จะระงับได้ด้วยธรรมโอสถ ณ สถานที่แห่งหนึ่งคือป่าเปอะ อันเป็นสถานที่วิเวก ใกล้นครเชียงใหม่ ท่านจะไปพักที่นั่น เจ้าคุณพระเทพโมลีก็อำนวยตามความประสงค์

ท่านไปพักทำการเจริญกายคตาสติกัมมัฏฐาน เป็นอนุโลม ปฏิโลม เพ่งแผดเผาภายในอยู่ทั้งกลางวันกลางคืนไม่นานอาพาธก็สงบ จึงปรากฏบาทคาถาขึ้นว่า "ฌายี ตปติ อาทิจฺโจ" พิจารณาได้ความว่า "ฌานแผดเผาเหมือนดวงอาทิตย์ฉะนั้น"... (พระอริยคุณาธาร, 2493:23-24)

          อนึ่งบริเวณพื้นที่ที่องค์หลวงปู่มั่นเคยมาพำนัก Admin ได้มีโอกาสนมัสการถาม พระเทพวุฒาจารย์ (หลวงปู่ชูเกียรติ อภโย) อดีตเจ้าอาวาสวัดเจดีย์หลวง ได้ระบุว่า คือ บริเวณหลังกำแพงวัดป่าเปอะ ในอดีต เป็นที่ที่พระสงฆ์วัดเจดีย์หลวง อพยพไปพักอาศัยในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 และจากการเรียบเรียงของ ส.กวีวัฒน์ ในจารึกไว้ในล้านนา ได้ระบุว่าเป็นพื้นที่สวนหลังบ้านหนานแดง ปัจจุบันเป็นป่ากล้วย ป่าลำไย ป่าไผ่หก และมีบ่อน้ำที่องค์หลวงปู่มั่นเคยตักอาบสรง ดื่มกินได้ อยู่ในใจกลางสวนกล้วยพื้นที่ประมาณไม่เกิน 4 ไร่ หลังกำแพงวัดป่าเปอะ ห่างกำแพงวัดราว 40 เมตร

          ลำดับเรื่องราวที่เกิดขึ้น ณ ป่าเปอะ ได้บันทึกอยู่ในประวัติหลวงปู่เจี๊ยะ จุนฺโท พระผู้เป็นดั่งผ้าขี้ริ้วห่อทอง โดย พระมหาธีรนาถ อคฺคธีโร มีรายละเอียด ดังนี้


บริเวณด้านหลังกำแพงวัดป่าเปอะ ที่กล่าวกันว่า เป็นสถานที่ที่องค์หลวงปู่มั่น มาวิเวกเพื่อรักษาอาการอาพาธ (รูปโดย Admin)

1. จากวัดร้างป่าแดงบ้านแม่กอยสู่ป่าเปอะ

          ท่านพระอาจารย์มั่นป่วยเป็นไข้มาเลเรียในคราวนั้น เรา (หลวงปู่เจี๊ยะ) เป็นพระคิลานุปัฏฐากประจำองค์ท่าน ปกตินิสัยท่านไม่ชอบเกี่ยวกับหยูกกับยาอะไร แม้ท่านจะอยู่ในวัยชราธาตุขันธ์กำลังร่วงโรยก็ตาม ท่านยังหนักในธรรมโอสถ เป็นเครื่องประสานธาตุขันธ์อยู่เสมอมา

เมื่อเดินทางจากวัดร้างป่าแดง บ้านแม่กอย อำเภอพร้าว มาถึงนครเชียงใหม่ เข้ามาพักที่วัดเจดีย์หลวงก่อน แล้วท่านก็เดินทางเข้าไปพักที่โรงพยาบาลแมคคอร์มิค หนานแดง หนานพรหม และศรัทธาชาวเชียงใหม่ ซึ่งเป็นลูกศิษย์ของท่านจัดการเรื่องทั้งหมด

โรงพยาบาลแมคคอร์มิคนี้เป็นโรงพยาบาลที่ทันสมัยที่สุดในนครเชียงใหม่ เป็นโรงพยาบาลของพวกชาวคริสต์ที่มาเผยแผ่ศาสนาสมัยก่อนใครจะเข้าโรงพยาบาลนี้ต้องมีหน้ามีตาพอสมควร

เมื่อท่านออกจากโรงพยาบาลแมคคอร์มิคไปพักที่ป่าเปอะ เรา(หลวงปู่เจี๊ยะ) ได้แยกเดินทางไปที่วัดร้างป่าแดง บ้านแม่กอย เพื่อกราบเรียนอาการอาพาธของท่านพระอาจารย์มั่นให้พระอาจารย์พรหมจิรปุญฺโญ ทราบในสมัยนั้นพระอาจารย์พรหมเป็นหัวหน้าสำนักแม่กอย

ในตอนกลางคืน พระอาจารย์พรหมก็เรียกประชุมสงฆ์ ท่านสอบถามในท่ามกลางสงฆ์ว่า

"เอ้า!หมู่ ...ท่านรูปใดจะรับอาสาไปปฏิบัติครูอาจารย์"

เรา (หลวงปู่เจี๊ยะ) จึงยกมือขึ้นว่า "ผมครับ จะเป็นผู้อาสาไปปฏิบัติครูบาจารย์"

ท่านก็ถามต่อว่า "แล้วใครอีกองค์ล่ะ" เห็นแต่พระนั่งเงียบไม่กล้าไปมัวแต่กลัวท่านพระอาจารย์มั่นมาก เพราะท่านทั้งน่าเกรง น่ากลัว น่ารัก

เรา (หลวงปู่เจี๊ยะ) เห็นเฒ่าตาเปียก (ท่านทองปาน) นั่งอยู่ข้างๆ คุ้นกันดีตั้งแต่อยู่วัดทรายงาม จึงชักชวนว่า "เฮ้ย!..ไปปฏิบัติครูบาจารย์ด้วยกัน" เราทั้งสองจึงเป็นผู้ที่ตกลงจะไปปฏิบัติท่านพระอาจารย์มั่น ตกลงกันกับเฒ่าตาเปียกว่า พรุ่งนี้ฉันข้าวเสร็จแล้ว เราก็จะออกเดินทางด้วยเท้าเข้าไปเชียงใหม่

          ออกเดินทาง 10 โมงเช้าถึง 3 ทุ่ม เกือบ 12 ชั่วโมง แต่สำหรับท่านพระอาจารย์มั่นทั้งๆ ที่ท่านป่วยอยู่ เดินทางออกมาประมาณ 10 โมงเช้า ท่านถึง 5 โมงเย็น

แต่เราล่อเข้าไป 3 ทุ่ม ผิดกันตั้ง 4 ชั่วโมง ทั้งที่เราเป็นหนุ่มน้อยนะ แต่ทีนี้ครูบาทองปานท่านเดินช้า เมื่อเข้ามาถึงเชียงใหม่ จึงเข้าไปขอพักกับท่านเจ้าคุณราชกวี (พิมพ์) ที่วัดเจดีย์หลวง พักค้างคืนที่นั่น

ตกตอนค่ำคืนเข้าที่ภาวนา จิตเกิดนิมิตในสมาธิ ปรากฏว่าเห็นโยมผู้ชายคนหนึ่ง รูปร่างพอประมาณ เดินทางเข้ามาหาด้วยกิจอย่างใดอย่างหนึ่ง อันจำเป็นด้วยกิจรีบด่วนเกี่ยวเนื่องด้วยท่านพระอาจารย์มั่น ลักษณะโยมคนนี้ รูปร่างพอประมาณ ที่มาในนิมิตนั้นเป็นที่น่าสังเกตได้ง่ายว่า ที่แขนทั้ง 2 ข้างมีรอยสักเต็มหมดเลย รอยสักนั้นเป็นที่สังเกตจำติดตาได้ง่าย พอได้นิมิตเช่นนั้นแล้ว เราก็ไม่ได้ใส่ใจ กำหนดภาวนาต่อไป พิจารณาธรรมทั้งเบื้องบนเบื้องล่าง ค้นคว้าในกายไม่หยุดหย่อน จิตในขณะนั้นหมุนด้วยปัญญาโดยตลอด

ถึงรุ่งเช้าก็ไม่ได้คิดอะไร พอสายๆ หน่อย หนานแดงก็เข้ามานิมนต์ เอารถมารับเราไปพักที่ป่าเปอะ

เมื่อเห็นหนานแดงกับหนานพรหม จึงเรียกถามว่า

หลวงปู่เจี๊ยะ.pdf - Adobe Acrobat Reader (64-bit)
หนานแดง อินตาวงศ์ โยมอุปัฏฐากองค์หลวงปู่มั่นที่เชียงใหม่ (รูปจาก หลวงปู่เจี๊ยะ จุนฺโท พระผู้เป็นดั่งผ้าขี้ริ้วห่อทอง)

"ใครมีรอยสักที่แขน" หนานแดงจึงตอบว่า "ผมมีท่านอาจารย์ นี่ผมสักไว้ตั้งเยอะท่านอาจารย์รู้ได้อย่างไร ผมใส่เสื้อแขนยาว"

เราก็ขอดู ก็มีรอยสักเต็มหมดเลยเป็นรอยสักเหมือนกันกับที่เห็นในนิมิต นิมิตอย่างนี้จึงน่าอัศจรรย์อยู่ไม่น้อย

หลังจากนั้นหนานแดงกับหนานพรหมก็รับเรากับท่านทองปาน ขึ้นรถไปหาท่านพระอาจารย์มั่นที่ป่าเปอะ

เมื่อไปถึงป่าเปอะ ก็เข้าไปกราบท่าน ดูท่านซูบผอมลงหน่อยการป่วยของท่านพระอาจารย์มั่นคราวนี้ดูรุนแรงมาก ร่างกายท่านซูบผอมไม่มีแรง จะเดินต้องมีคนคอยขนาบคาบค้ำ

แต่นิสัยอาชาไนยของท่านนั้นอัศจรรย์อย่างน่าประจักษ์ ท่านไม่มีอาการป่วยเหมือนคนทั้งโลกป่วย ท่านมีปกติอยู่เหมือนไม่ป่วย แทบจะเรียกได้ว่าเป็นคนไข้ที่รักษาง่ายที่สุดในโลก ไม่มีร้องเอาะๆ แอะๆ อะไร มีแต่ดวงใจที่อาจหาญบึกบึนแสดงให้เราเห็นเสมอมา แม้แต่หมอหรือมนุษย์ทั่วไปที่อยู่ใกล้ย่อมจะได้รับความอบอุ่นใจเสมอ เราผู้ไม่ป่วยแท้ๆ อยู่กับท่านผู้ป่วยเรากลับสบายใจดี

ตามปกตินิสัยใจคอท่านพระอาจารย์มั่นนั้น เวลาท่านป่วยหนักคับขันทางธาตุขันธ์ร่างกายเข้าที่จนมุม ท่านมักคิดค้นด้วยสติปัญญาไม่ลดละ ในเวลาป่วยท่านจะมีอุบายพิจารณาธรรมในขณะเดียวกัน

ท่านถือว่า ทุกขเวทนาที่เกิดขึ้นในกายเป็นเรื่องของสัจจธรรมโดยตรง ต้องพิจารณาให้รู้ในสิ่งที่ควรจะรู้ได้ ไม่ปล่อยให้ทุกข์ย่ำยีเปล่าๆ เพื่อเป็นการฝึกซ้อมสติปัญญา ให้รู้เท่าทันกับเหตุการณ์ว่า สติปัญญาที่เคยอบรมมาและซักซ้อมมาเป็นเวลานาน ขณะเข้าสู่สงครามคือความทุกข์ทรมาน ใจจะไม่มีความหวั่นเกรงต่อความจริง ไม่มีความสะท้านหวั่นไหวกับพายุ คือทุกข์โทษที่เข้ามาทับถม

เมื่อพิจารณาเท่าทันขันธ์ดังที่กล่าวมานี้ "อยู่ก็สบาย ถึงตายก็มีชัยชนะ"

ในขณะท่านพักฟื้นที่ป่าเปอะนั้น เรา (หลวงปู่เจี๊ยะ) เป็นผู้อุปัฏฐากใกล้ชิด

ท่านเป็นตัวอย่างทั้งด้านภายนอกและภายใน เราเรียนธรรมกับท่าน แต่ไม่สามารถเรียนนิสัยท่านได้ ความเพียร ความอดทนความกล้า ความมักน้อยสันโดษ คุณธรรมเหล่านี้มีอยู่ในท่านหมด เป็นนักรบธรรมอย่างอาจหาญสมบูรณ์ ยากที่ข้าศึก คือกิเลสหยาบละเอียดจะมาแผ้วพานได้ ท่านมีนิสัยลึกลับจับได้ยาก

คุณธรรมที่กล่าวมาทั้งหมด ไม่มีศิษย์คนใดล้ำหน้าท่านไปได้ หรือเพียงแต่เทียบเท่าก็หาไม่มี อันสำคัญที่น่าอัศจรรย์ยิ่ง คือความสามารถพิเศษในเรื่อง หูทิพย์ ตาทิพย์ ปรจิตตวิชา คือฟังได้ทั้งเสียงมนุษย์เสียงสัตว์ เสียงภูตผี เปรต เสียงเทวบุตร เทวดา อินทร์ พรหม ยม นาค เห็นได้ทั้งที่สิ่งที่เป็นกายหยาบและกายทิพย์

รู้ได้ทั้งจิตสัตว์ จิตคน ว่ามีความเศร้าหมองผ่องใส ประการใด ตลอดความคิดปรุงต่างๆ บางครั้งแม้ผู้คิดเองยังไม่รู้ว่าได้คิดอะไรไปบ้าง แต่ท่านรู้ได้อย่างฉับพลัน พระเณรกลัวท่านมากในเรื่องนี้

แม้เรา (หลวงปู่เจี๊ยะ) เอง ก็โดนท่านสับโขกอยู่เป็นประจำ แต่ต้องจำทนทั้งที่อับอายขายขี้หน้าในบางเรื่อง เพราะความศรัทธาเลื่อมใสอันไม่คลอนแคลนอยู่กับท่าน อุปัฏฐากท่านด้วยความเลื่อมใส

ในระหว่างที่ท่านอาพาธอยู่นั้นวันหนึ่งท่านพูดเปรยๆ ขึ้นว่า "หยูกยารักษามาก็นานแล้ว ยาธรรมดาเหมือนชาวโลก เขากินคงไม่ได้เรื่อง ต้องเอายาวิเศษคือธรรมโอสถ หากไม่หายก็ให้มันตายซะ ท่านจึงเจริญกายคตาสติกรรมฐาน เป็นอนุโลมและปฏิโลม เพ่งแผดเผาภายใน เพื่อเป็นวิหารธรรมอยู่ทั้งกลางวันกลางคืน

ไม่นานอาพาธก็สงบ จึงปรากฏบาทคาถา ขึ้นว่า "ฌายี ตปติ อาทิจฺโจ"

พิจารณาได้ความว่า "ฌาน แผดเผาเหมือนดวงอาทิตย์ ฉะนั้น"

ในที่สุดอาการของท่านจึงค่อยทุเลาลง ระหว่างนั้นเป็นสงครามอินโดจีน มีการพรางไฟไปทั่วจังหวัดเชียงใหม่

หลวงปู่เจี๊ยะ.pdf - Adobe Acrobat Reader (64-bit)
หลวงปู่เจี๊ยะ จุนฺโท พระคิลานุปัฏฐากองค์หลวงปู่มั่น ที่ป่าเปอะ (รูปจาก หลวงปู่เจี๊ยะ จุนฺโท พระผู้เป็นดั่งผ้าขี้ริ้วห่อทอง)

2. อยู่กับท่านพระอาจารย์มั่นมีเงินหนึ่งบาท

เมื่อเรา (หลวงปู่เจี๊ยะ)มาพักปฏิบัติท่านอยู่นั้น ก็มีโยมอุปัฏฐากเก่าเเก่ของท่าน คือโยมเขียวเอาปัจจัยมาถวายท่านหนึ่งบาท พอตกตอนกลางคืน เราก็เข้าไปถวายการรับใช้ท่านเข้าไปกำปลายเท้านวดถวาย กราบเรียนท่านว่า

"ขอโอกาสครูบาจารย์ จะสมควรหรือไม่ ถ้าพรุ่งนี้จะนำเอาปัจจัย ที่โยมเขียวนำมาถวาย ไปแลกเปลี่ยนเป็นนม ให้ครูบาจารย์ฉันในตอนเช้า จะได้มีกำลัง แล้วแต่ครูบาจารย์จะพิจารณา"

กราบเรียนแล้วก็นั่งฟังอยู่ ขณะนั้นมีแต่นมข้นหวานราคากระป๋องละ ๕ สตางค์เท่านั้น

ท่านนิ่งไม่ตอบว่าประการใด ท่านคงพิจารณา เพราะการอันใดก็ตามต้องประกอบไปด้วยธรรมเท่านั้น ท่านไม่เห็นแก่ปากท้อง ยิ่งไปกว่าธรรม เรื่องเล็กเรื่องน้อยเรื่องใหญ่ทุกๆเรื่องต้องเป็นธรรม

ท่านบอกว่า เราเป็นสมณะมาประพฤติธรรม ทุกกิริยาอาการที่แสดงออกต้องเป็นธรรม แม้กิริยาอาการบางอย่างโลกไม่นิยมชมชื่น แต่ถ้าประมวลลงแล้วว่าเป็นธรรม เราก็ต้องดำเนินตามนั้น

ธรรมแท้นั้นไม่ได้เอามติที่ประชุมเห็นชอบ แต่เอาใจที่บริสุทธิ์เห็นธรรม คนหมู่มากถ้ากิเลสหนาปัญญาหยาบ มีมากเท่าใดก็จะออกกฎอันเป็นไปเพื่อกิเลส เพื่อพวกพ้องตน

ฉะนั้น เราเป็นผู้ปฏิบัติธรรมต้องเอาธรรมเป็นใหญ่ ปลอดภัยกว่าการเอาตนเป็นใหญ่ ปลอดภัยกว่าการเอาคนหมู่มากเป็นใหญ่

เมื่อเป็นดังนั้นจึงกราบเรียนท่านอีกว่า

"คนแก่ต้องฉันนมบำรุงบ้าง ร่างกายจะได้มีเรี่ยวแรง อาการไข้จะได้ฟื้นขึ้น กระผมขอนิมนต์ให้ลองฉันนมดูบ้าง"

เมื่อกราบเรียนแล้วท่านแสดงอาการนิ่ง อาการนิ่งของท่านนั่นแหละเป็นคำตอบได้เป็นอย่างดี

พอรุ่งเช้าขึ้นมา เราให้หนานแดงเอาเงิน 1 บาท ที่โยมเขาถวายไปพิจารณานมข้นมากระป๋องหนึ่ง เพื่อชงถวายท่านในตอนเช้า

"ถ้าฉันนมแล้ว มันมักจะถ่ายท้อง...." ท่านปฏิเสธเสียงแข็ง

"กระผมคิดว่า ควรจะลองดูหน่อย ถ้าถ่ายท้องกระผมจะเช็ด จะเก็บทำความสะอาดเอง ครูบาจารย์ไม่ต้องเป็นห่วง" กราบเรียนท่านอย่างหนักแน่น

เมื่อท่านฉันแล้ว ในที่สุดร่างกายจึงกระปรี้กระเปร่าแข็งแรงขึ้นเป็นลำดับ เมื่อปัจจัยซื้อนมหมด หนานแดงก็ได้จัดมาถวายต่อ จนอาการดีขึ้นท่านจึงหยุดฉัน ท่านฉันเพื่อเป็นสิ่งเยียวยารักษาธาตุขันธ์ ไม่ได้ฉันเพื่อมัวเมาในรส


บ้านของหนานแดง อินตาวงศ์ โยมอุปัฏฐากองค์หลวงปู่มั่นที่เชียงใหม่ (รูปโดย Admin)

3. ถามนิมิตกับท่านพระอาจารย์มั่น

บางคราวเราสงสัยเรื่องนิมิตที่เกิดกับจิต จึงนำเรื่องนี้ไปกราบเรียนถามท่านพระอาจารย์มั่นว่า

"ครูบาจารย์ ถ้านิมิตเกิดขึ้นในขณะภาวนา จะให้ทำยังไง?"

"ให้รำพึงถามไปว่าอะไร? หมายถึงอย่างไร? แล้วนิมิตก็จะอธิบายออกมาเอง"

จึงกราบเรียนถามท่านต่อไปอีกว่า

"ครูบาจารย์ ก็สิ่งที่มันปรากฏขึ้นนั้น มันไม่ใช่ของจริงนี่ครับ"

"ก็มันเป็นเพียงของใช้ ของใช้ก็สำหรับใช้ ไม่ใช่จริง" ท่านพระอาจารย์มั่นตอบ แล้วก็ยิ้มเปิดโลกด้วยความเมตตา

บางทีเริ่มภาวนาก็เกิดความสงบ บางคืนมีนิมิต นี้มิใช่อวดเพราะเป็นถึงความจริง ก็กล่าวถึง ความจริงที่มันเกิด บางทีเราทำภาวนา หลับตาลงเห็นเป็นเหวลึกๆ อย่างน่าหวาดเสียว วู้บบ!! ลงไปในเหวนั้นลึกลึก จนสุดๆ โห!...นี่ ถ้าตกลงไปตายนะนี่ เอ้า!...ตายก็ตายซิ เพ่งพิศดูอยู่ รู้อยู่อย่างนั้นประเดี๋ยวก็หายไป

บางทีตัวนี้ใหญ่ ใหญ่เท่าตุ่มโตๆ ขนาดนี้ (แสดงมือประกอบ) ตัวเรานี้เป็นตุ่ม ตัวเท่าตุ่ม นี้เรียกว่าอุคคหนิมิตที่มันเกิดขึ้น เอ๊ะ!...ทำไมจิตจึงเป็นอย่างนี้ มันเป็นต่างๆ แต่ทีนี้อบรมจิตเข้าๆ จิตก็สงบเข้าไป

เมื่อภาวนา จิตมักเป็นอย่างนี้บ่อยๆ ก็นำข้อสงสัยนี้ไปกราบเรียนถามท่านว่า

"ครูบาจารย์...กระผมภาวนา จิตเกิดนิมิตปรากฏเป็นอย่างนี้ จะให้พิจารณาอย่างไร?"

ท่านก็บอกว่า "ให้พิจารณากายนะ"

เมื่อท่านให้เงื่อนอย่างนั้น เราก็มาคิดพิจารณา ด้วยปัญญาสัมมาทิฏฐิขึ้นเอง พอใจเราสงบลงดีก็คิดถึงเล็บนิ้วหัวแม่มือ เล็บนิ้วชี้ เล็บนิ้วกลาง เล็บนิ้วนาง เล็บนิ้วก้อย ข้อนิ้วหัวแม่มือมีกี่ข้อ ก็นึกกำหนดตัด นิ้วชี้มีกี่ข้อก็นึกกำหนดตัด นิ้วนาง นิ้วก้อยกำหนดตัดให้หมด

ตัดเสร็จแล้วก็มาตัดรวบห้านิ้ว ตัดห้านิ้วแล้วก็มาตัดข้อตานกเอี้ยง ขึ้นมาตรงกลางศอก แล้วก็มาถึงข้อศอก

แล้วก็มาตัดหัวไหล่ ตัดหัวไหล่เสร็จก็มาตัดแขนช้าย เดินจิตอย่างนี้จนหมดทั้งสรรพางค์ร่างกาย

เมื่อกำหนดตัดทั้งหมดแล้วก็มาเจาะตา นึกให้ตาขวาหลุด ตาซ้ายหลุด จมูกขวาหลุด จมูกซ้ายหลุดริมฝีปากบนหลุด ริมฝีปากล่างหลุด ใบหูหลุด แก้มหลุด

ทีนี้เอาล่ะ เอ้า!..เอาให้หมดทั้งหัว หัวเสร็จ ก็กำหนดตัดคอ ผ่าเอาออกไปวาง เหมือนผ่ากบเขียดวางอยู่บนเขียง พิจารณายกขึ้นด้วยอำนาจไตรลักษณ์แล้ว วิจารณ์ด้วยภาวนามยปัญญาที่ฝึกมาดี

พอพิจารณาถึงที่สุดจิต ได้อบรมด้วยปัญญาอันยิ่งก็สงบลงเป็นอัปปนาสมาธิอย่างน่าอัศจรรย์ แต่ลักษณะ อย่างนี้มันทำยากมาก อันนี้ทีหลังไปดูในแบบแผนตำรับตำรา ซึ่งไม่เคยเรียนเคยดูมาก่อน มันก็มีอยู่ในตำรา เราก็ภูมิใจ

อยู่กับท่าน นับถือท่านเหมือนพ่อแม่ จะทำจะคิดอะไร อันเป็นการส่งจิตไปโดยไม่มีขอบเขตแห่งธรรม เป็นเครื่องประคับประคองต้องระวัง เดี๋ยวจะเป็นบาปต้องกตัญญูกตเวทีต่อท่าน ท่านก็คงเห็นเราเป็นเหมือนลูก เพราะลำบากอยู่ด้วยกันกับท่าน และแล้วเมื่อถามปัญหาท่านเสร็จท่านก็เทศนาธรรมให้ฟังต่อไปเลยว่า

"ฟังให้ดีนะท่านเจี๊ยะ.. ปฏิภาคนิมิตนั้นอาศัยผู้ที่มีวาสนาจึงจะบังเกิดขึ้นได้ อุคคหนิมิตนั้นเป็นของไม่ถาวร ต้องพิจารณาให้ชำนาญแล้วเป็นปฏิภาคนิมิต

เมื่อชำนาญทางปฏิภาคทวนกระแสเข้ามาเป็นตน ปฏิภาคนั้นเป็นส่วนวิปัสสนา

สำหรับอุปจารสมาธิ สามารถรู้วาระจิตของผู้อื่นได้ สามารถแก้นิวรณ์ได้

แต่โมหะคลุมจิต ถ้าเจริญวิปัสสนาถึงขั้นอัปปนาสมาธิแล้ว จะต้องทำความรู้ให้เต็มเสียก่อนจิตจึงจะไม่หวั่นไหว

การที่จะสอนการดำเนินสมถกรรมฐาน และวิปัสสนากรรมฐาน โดยเฉพาะเพียงอย่างใดอย่างหนึ่งนั้นมิได้ เพราะว่าจริตของคนมันต่างกันแล้วแต่ความฉลาดไหวพริบของใคร เพราะการดำเนินจิตมีหลายแง่หลายมุมแล้วแต่ความสะดวก

นิมิตทั้งหลายเกิดด้วยปีติสมาธิอย่างเดียว ที่แสดงตามนิมิตออกมาทั้งหลายนั้นกรุณาท่าน อย่าหลงตามนิมิต ให้พยายามทวนกระแสจิตเข้าสู่จิตเดิม เพราะนิมิตทั้งหลายเป็นของไม่เที่ยง หลงเชื่อนิมิตประเดี๋ยวก็เป็นบ้า

การที่จะแก้บ้านิมิตนั้นต้องทวนกระแสจิต เข้าสู่จิตเดิมถ้าทำอย่างนั้นได้ อย่างบางทีเรานั่งภาวนาอยู่กลางป่าเขา มีเสือมานั่งเฝ้าเราผู้บำเพ็ญพรต อยู่กลางป่าเพียงลำพัง เสือนั้นเป็นเทพนิมิตเสียโดยมาก ถ้าเป็นเสือจริงมันเอาเราไปกินแล้ว"

ท่านพระอาจารย์มั่น ท่านเมตตาพูดธรรมะให้ฟังเพียงสั้นเท่านี้ ก็ก่อเกิดความกินใจเป็นอย่างยิ่ง นึกถึงธรรมะคำสอนและองค์ท่านเมื่อไหร่ น้ำตามันจะปริ่มไหลเพราะความถึงใจทุกที น้ำตานี้จึงเป็นน้ำตาที่มีคุณค่ามากนะ


วัดป่าเปอะ บ้านป่าเปอะ อ.สารภี จ.เชียงใหม่ ตั้งอยู่ใกล้เคียงกับสถานที่องค์หลวงปู่มั่นมาวิเวกเพื่อรักษาอาพาธ (รูปโดย Admin)

เจ้าอธิการหมั้น นนฺโท อดีตเจ้าคณะตำบลท่าวังตาล และอดีตเจ้าอาวาสวัดป่าเปอะ ในสมัยองค์หลวงปู่มั่น มาวิเวกเพื่อรักษาอาการอาพาธที่ป่าเปอะ น่าสังเกตที่ชื่อทั้งสองท่านคล้ายกัน และร่วมยุคสมัยกัน (รูปโดย Admin)

4. ถามเรื่องเทวดากับท่านพระอาจารย์มั่น

อยู่กับท่านพระอาจารย์มั่นนี้ ได้รู้เรื่องราวความวิเศษของพุทธศาสนา เรื่องเทพเทวดา ภูตผี ก็เป็นที่น่าอัศจรรย์ ท่านเห็นเป็นประหนึ่งว่าเป็นหลักธรรมชาติทั่วๆ ไป

แต่สำหรับพวกเราเป็นเรื่องน่าตื่นเต้น น่าหวาดเสียว ตื่นตูม อยากรู้อยากเห็นเป็นเรื่องใหม่ ทั้งๆที่สิ่งนั้นมีประจำโลกมานาน

ท่านเป็นหลักฐานทางประวัติศาสตร์และเป็นจอมปราชญ์อย่างแท้จริง เมื่อเราทราบว่าท่านรู้เรื่องนั้นเรื่องนี้ อันเป็นเหตุสุดวิสัยของมนุษย์ธรรมดาทั่วไปจะรู้ได้ ก็อดที่จะกราบเรียนถามท่านไม่ได้ ทั้งที่มีความกลัวมากกว่าความกล้าเป็นเท่าทวีคูณ แต่ก็ต้องจำยอมอดทนบากหน้าถาม เพื่อสนองความอยากรู้และความสงสัยแห่งตน

เมื่อได้โอกาสถามก็เข้าไปใกล้ๆ อันเป็นเวลาทำวัตรปฏิบัติ กำตามแข้งตามขา ยังไม่ทันได้ถามเลย เพียงคิดไว้ภายในท่านกลับถามเราขึ้นก่อนเลยว่า

"เจี๊ยะ...มีอะไรจะถามก็ถามมา ท่านนี่ยุ่งไม่เข้าเรื่อง" ท่านเปรยขึ้นเพียงเท่านั้นเราก็ปอดแล้ว

"ครูบาจารย์ เทวดาหน้าตามันเป็นอย่างไง อยากเห็นบ้าง?" เราก็เสือกถามท่านทั้งที่กลัวจะตาย

"ฮื้อ!...มันไม่ใช่เรื่องอะไรของเรา เราจะไปรู้ทำไม ท่านนี่ชอบถามซอกแซก กวนใจ ทำความดีให้มันถึงสิ ปัญหามันอยู่ที่เรา ไม่ได้อยู่กับเทวบุตรเทวดาที่ไหน ดูหน้าเรา ดูหนังเราให้เห็นชัดด้วยปัญญานั่นสิ พระพุทธเจ้าเห็นพระองค์เองก่อน ตรัสรู้เรื่องตัวตน ละตัวตนก่อน ค่อยมาสอนคนอื่น หรือสอนเทวดาทีหลัง ยังไม่ทันไร ยังไม่ไปไหนมาไหน อยากเห็นนั้นเห็นนี่ มันไม่ถูกทั้งที่ตาบอดแต่อยากเห็นนั่นเห็นนี่ เดี๋ยวก็เดินชนตอ ลูกกะตาแตกหรอก" ท่านตอบด้วยวาทะแห่งบุคคลผู้ชาญฉลาด

"ก็ผมอยากรู้นิ...ครูบาจารย์ ก็ผมไม่เคยเห็น ก็อยากเห็น อยากรู้บ้าง"

เรานิ่งเงียบไปพักหนึ่ง แล้วท่านก็พูดขึ้นต่อไปตามอัธยาศัยว่า

"ศาสนานี้เรียนให้ดีลึกล้ำที่สุดผมไปเที่ยวภาวนาอยู่ในป่า มีสหธรรมิกของผมรูปหนึ่งอยู่ในป่าโน่นน่ะ โอ๊ย!...เจี๊ยะเอ้ย...แม้รูเท่านิ้วก้อย นี่ท่านยังมุดเข้าไปได้ หายตัวไปเลย ทะลุฟ้า ทะลุดิน แผ่นดิน แผ่นน้ำ ทะลุได้หมดจะไปไหนเพียงแค่ลัดมือเดียว ตอนนี้ท่านตายอยู่ในป่าไปแล้ว"

"โอ้!...ขนาดนั้นหรือครูบาจารย์..ถ้าไปอยู่ในเมืองหลวง เมืองไทยนี้ดังระเบิดเถิดเทิงไปแล้ว เสียดายไม่น่าตายไปเปล่าๆ อยากเห็นบ้างแบบนี้" กราบเรียนท่านด้วยความตื่นเต้น

"ก็มีแต่อย่างนี่แหละ...พวกตาบอด...เจี๊ยะเอ๊ย!..ใครไม่ได้รู้ไม่ได้เห็น เสียชาติเกิดทีเดียว" ถามท่านเรื่องนี้โดนท่านดุทุกที (หัวเราะ)

จากนั้นท่านก็เล่าเรื่องไปถึงมูเซอ มีเทวดาฟังเทศน์เยอะ มาเป็นพันๆ หมื่นๆ พวกเทวดาเยอรมันก็มาฟัง ทีนี้พวกมูเซอมันเห็นแสงสว่างบนภูเขาทั้งลูก อยู่ดีๆสว่างเข้ามาเรื่อย แสงสว่างเต็มไปหมด มันก็ว่าตอนกลางคืนท่านนั่งภาวนาอยู่แสงสว่างจ้าหมดบนเขา

พอตอนเช้าท่านไปบิณฑบาต พวกมูเซอมันก็ถาม

"ตุ๊เจ้า...ตุ๊เจ้า จุดตะเกียงเจ้าพายุรึ เมื่อคืนนี้สว่างหมดทั้งเขา ตุ๊เจ้า...ใช้ตะเกียงเจ้าพายุรุ่นไหน สว่างคักแท้"

"ไอ้ห่า... กูมีตะเกียงเจ้าพายุซะที่ไหน"

"ทำไมที่บนเขามันสว่างขาวเกลี้ยงหมดทั้งลูกล่ะ... ตุ๊หลวง"

"ไม่รู้โว้ย..."

ท่านปิดไม่บอก แล้วที่หลังท่านมาพูดให้เราฟังว่า

"เทวดามาเป็นแสนๆ นะมาฟังเทศน์ที่ดอยมูเซอ เทวดาจากเยอรมันก็มี ทำบุญดีตายไปได้ขึ้นสวรรค์ ครูบาอาจารย์องค์ไหนมีญาณดีๆ เมื่อเราตายไปแล้วกลับมาเกิดเป็นมนุษย์ใหม่ก็จะได้เป็นลูกศิษย์ท่าน เป็นมนุษย์มันมีแต่ห่วงบ้าน เดี๋ยวตายไปเป็นเปรต

ฟังซิต้องถือเป็นคติพระ อย่าไปห่วงมันเยอะ ข้าวของเงินทองตายแล้วเอาไปไม่ได้หรอก ไปหัดภาวนาให้เป็น ไม่ต้องเอาอะไรมาก เพียงแต่ให้ใจ "พุทโธ" อันเดียวก็พอแล้ว

ใจอยู่กับพุทโธ โธๆๆๆๆ เราก็ได้ไปสู่สวรรค์ ไปสู่สุคติใจสบาย"


สวนบริเวณด้านหลังกำแพงวัดป่าเปอะ ที่กล่าวกันว่า เป็นสถานที่ที่องค์หลวงปู่มั่น มาวิเวกเพื่อรักษาอาการอาพาธ (รูปโดย Admin)

ท่านพระอาจารย์ท่านเทศน์สอนเสมอว่า

"อันนี้เป็นของเราแท้ ๆ เพราะเมื่อใจสงบ ใจไม่กังวล ใจเป็นสมาธิ ตายไปก็ได้ไปสู่สุคติ เพราะใจโปร่งใจใส ใจสวรรค์ ใจคิด ใจวุ่น ใจวาย ใจนั้นตกนรก ทำให้มันผ่องใส ทำให้มันสะอาด

ใจมันหมดจดแล้วได้ไปสุคติ ท่านเทศน์อย่างนี้บ่อยๆ ท่านเล่าว่าทำสมาธิได้ดีเปรียบเหมือนนั่งเจดีย์ เทวดามีเรือนอยู่บนนี้ มีมาเกาะอยู่บนต้นไม้ ต้นไม้แดงต้นนั้นใครไปถูกไม่ได้นะ อันตรายทันที แต่เวลาอยู่ไม่เป็นไร เวลากลางคืนเขาเข้ามากราบ แต่บางพวกท่านบอกว่าเขาทำบุญเหมือนกัน แต่เป็นเทวดาที่อยู่ตามพื้นดิน บางทีก็มีปราสาท บางทีก็ไม่มีปราสาท อยู่บนต้นไม้อาศัยต้นไม้"

ท่านเล่าให้ฟังตอนที่อยู่แม่กอย เชียงใหม่ เราก็เสือก ถามท่านเรื่องเทวดาทีไร ท่านก็ดุทุกที

เราอุปัฏฐากทำวัตรปฏิบัติท่านพระอาจารย์มั่นที่ป่าเปอะ ตำบลท่าวังช้างนี้ 6 เดือน ท่านเจ้าคุณธรรมเจดีย์ (จูม) เจ้าคณะมณฑลอุดรฯ ได้มีหนังสือมานิมนต์ให้ท่านกลับไปอุดรฯ

ประกอบกับองค์ท่านเองก็มีความประสงค์จะกลับทางภาคอีสาน อยู่แล้วเพราะอยู่ทางเหนือมานานเป็นเวลา 12 ปี ท่านจึงเอ่ยขึ้นว่า

"เจี๊ยะเว้ย!...กลับบ้านเราเถอะ มาอยู่ทางเชียงใหม่ไม่ค่อยได้หมู่คณะ ลงไปทางอีสานบ้านเราจะได้หมู่คณะแยะกว่า กลับทางเราดีกว่า"


คลองส่งน้ำและพื้นที่ร่มรื่นบริเวณบ้านป่าเปอะ อ.สารภี จ.เชียงใหม่ (รูปโดย Admin)

เมื่อท่านพูดอย่างนั้น เราก็ยินดีเป็นที่ยิ่ง ที่จะได้กลับทางภาคอีสานซึ่งไม่เคยไปมาก่อน ถึงไปก็แค่ครั้งเดียว ที่วัดบ้านใหม่สำโรง อำเภอสีคิ้ว จังหวัดนครราชสีมา วัดท่านอาจารย์กงมาไปสร้างไปเพียงเดี๋ยวเดียว 2-3 คืน ไปกินข้าวเหนียวขี้ไม่ออก ขี้แข็ง โอ๊ย! เกือบแย่ เพราะไม่เคยกิน มาอีสานครั้งเดียว ตอนอยู่ที่วัดทรายงามกับท่านอาจารย์กงมา ถึงมาก็ไม่รู้ว่าไปทางไหนมาทางไหน (พระมหาธีรนาถ อตฺคธีโร, 2547:115-127)

 

อ้างอิง
พระบวร พุทฺธญาโณ, ใต้จิตสำนึก หลวงปู่ขาว อนาลโย, คณะศิษยานุศิษย์วัดถ้ำกลองเพล : อุดรธานี, 2532.
พระราชธรรมเจติยาจารย์ (วิริยังค์ สิรินฺธโร), ประวัติพระอาจารย์มั่น ภูริทัตตเถระ (ฉบับสมบูรณ์), สถาบันพลังจิตตานุภาพ : กรุงเทพฯ, 2541.
พระราชนิโรธรังสี คัมภีรปัญญาวิศิษฏ์ (เทสก์ เทสรังสี), อัตตโนประวัติพระราชนิโรธรังสี คัมภีรปัญญาวิศิษฏ์(เทสก์ เทสรังสี), ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมให้พิมพ์ในงานพระราชทานเพลิงศพฯ, พ.ศ.2539
หลวงปู่ขาว อนาลโย, โครงการหนังสือบูรพาจารย์เล่มที่ 10, รศ.ดร.ปฐม-ภัทรา นิคมานนท์ : กรุงเทพฯ, 2548.
มูลนิธิหลวงปู่แหวน สุจิณฺโณ, อนุสรณ์หลวงปู่แหวน สุจิณฺโณ, โรงพิมพ์มูลนิธินวมราชานุสรณ์ : นครนายก, มปพ.
พระญาณวิริยะ, ประวัติย่อ พระอาจารย์มั่นฯ ในหนังสือที่ระลึกงานฌาปนกิจ นางพุ่ม งามเอก พ.ศ.2520.
พระครูญาณวิริยะ, ทางสู่สันติ ประวัติพระครูอุดมธรรมคุณ (ทองสุก สุจิตฺโต) พิมพ์เป็นอนุสรณ์ในงานฌาปนกิจศพ, 2509.
บทความ "หลวงปู่มั่นบำบัดอาพาธด้วยธรรม" โดย ส.กวีวัฒน์ จากหนังสือ จารึกไว้ในล้านนา พ.ศ.2563.
บทความ "หลวงปู่มั่นกับชาวสันกำแพง" โดย ส.กวีวัฒน์ จากหนังสือ จารึกไว้ในล้านนา พ.ศ.2563.
หลวงปู่เจี๊ยะ จุนฺโท พระผู้เป็นดั่งผ้าขี้ริ้วห่อทอง ฉบับสมบูรณ์ เนื่องในพิธีพระราชทานเพลิงศพ วันพฤหัสบดีที่ 23 ธันวาคม พ.ศ. 2547 โดย พระมหาธีรนาถ อคฺคธีโร.
รอยจารึกปฏิปทาบูรพาจารย์ วัดป่าน้ำริน, อ.สุทิน ร่มเย็น, พ.ศ. 2554.
ประวัติวัดป่าดาภิรมย์, พระพุทธพจนวราภรณ์ (หลวงปู่จันทร์กุสโล) พ.ศ. 2548.
ครบรอบ 90 ปี พระราชพุทธิมงคล หลวงปู่ทองบัว ตนฺติกโร, คณะศิษยานุศิษย์, พ.ศ. 2554.
ดำรง ภู่ระย้า, หลวงปู่อ่อนสี สุเมโธ, นิตยสารโลกทิพย์ (ฉบับที่ 76 ปีที่ 5) มีนาคม (ฉบับแรก), 2529.
พระอริยคุณาธาร (เส็ง ปุสฺโส), ชีวประวัติ ธรรมเทศนา บทประพันธ์ และ ธรรมบรรยาย ของ พระอาจารย์มั่น ภูริทัตตเถร, พิมพ์แจกในงานฌาปนกิจศพ พระอาจารย์มั่น ภูริทัตตเถร, วันที่ 31 มกราคม พ.ศ.2493 ณ วัดป่าสุทธาวาส อ.เมือง จ.สกลนคร.

 

แสดงความเห็น  >>คลิ๊กที่นี่<<

< ตอนก่อนหน้า : ตอนต่อไป >