โปรดชาวนครราชสีมา บันทึกภาพประวัติศาสตร์
วัดป่าสาลวัน อ.เมือง จ.นครราชสีมา พ.ศ. 2483
ตามรอยธรรมองค์หลวงปู่มั่น ภูริทตฺโต ตอนที่ 46

รูปถ่ายองค์หลวงปู่มั่น ภูริทตฺโต ถ่ายในวันจันทร์ที่ 10 มิถุนายน พ.ศ. 2483 ณ วัดป่าสาลวัน จังหวัดนครราชสีมาเป็นรูปถ่ายเดียวที่มีบันทึกชัดเจนที่สุด (รูปโดย ดร.นระ คมนามูล)
เมื่อองค์หลวงปู่มั่นได้ลาจากภาคเหนือ ภายหลังการแสดงธรรมในวันวิสาขบูชา (ซึ่งตรงกับวันที่ 21 พฤษภาคม พ.ศ. 2483 : Admin) องค์ท่านได้เดินทางโดยรถไฟ มาพำนักที่วัดบรมนิวาส เขตปทุมวัน กรุงเทพฯ ระยะหนึ่ง แล้วจึงเดินทางมายังนครราชสีมา พำนักยังวัดป่าสาลวัน อ.เมือง จ.นครราชสีมา ซึ่งเป็นวัดป่าที่สมเด็จพระมหาวีรวงศ์ (อ้วน ติสฺโส) มีดำริให้สร้างขึ้นมาตั้งแต่ปี พ.ศ. 2475
ในขณะนั้นมี พระอาจารย์สิงห์ ขนฺตยาคโม เป็นเจ้าอาวาสวัดป่าสาลวัน ซึ่งเป็นวัดศูนย์กลางพระกรรมฐานในเขต จ.นครราชสีมา มีครูบาอาจารย์ซึ่งเป็นศิษย์เดิมในองค์หลวงปู่มั่น ได้ไปตั้งสำนักอบรมศีลธรรมในอำเภอต่างๆ โดยรอบ ได้แก่ พระอาจารย์มหาปิ่น ปญฺญาพโล พระอาจารย์อ่อน ญาณสิริ พระอาจารย์ฝั้น อาจาโร พระอาจารย์ภุมมี ฐิตธมฺโม เป็นต้น ท่านเหล่านี้ได้มีโอกาสมาฟังธรรม แก้ไขการปฏิบัติ แต่ยังไม่สามารถติดตามองค์หลวงปู่มั่นไปได้ เนื่องจากยังติดภาระในการปลูกศรัทธาสาธุชนอยู่ เมื่อปลดเปลื้องภาระได้แล้วแต่ละท่านได้ติดตามองค์หลวงปู่มั่น เพื่อยังผลการปฏิบัติให้สูงขึ้นต่อไป
อีกทั้งองค์หลวงปู่มั่น ยังอนุญาตให้นายวัน คมนามูล ซึ่งเป็นอุปัฏฐากขององค์ท่าน ได้ถ่ายรูปองค์ท่านไว้ ซึ่งเป็นรูปเดียวที่มีการระบุวันที่ถ่ายรูป คือ วันที่ 10 มิถุนายน พ.ศ. 2483 ยังมีบันทึกถามตอบปัญหาธรรมของชาวนครราชสีมาอีกด้วย
เมื่อระยะเวลาพอสมควรแล้ว ท่านได้เดินทางต่อไปยัง จ.อุดรธานี พักที่วัดโพธิสมภรณ์ และจำพรรษาที่วัดป่าโนนนิเวศน์ โดยมีท่านเจ้าพระธรรมเจดีย์ (จูม พนฺธุโล) ถวายการต้อนรับ โดยในระยะนี้ มีหลวงปู่เจี๊ยะ จุนฺโท และหลวงปู่อ่อนสี สุเมโธ ได้ดูแลอุปัฏฐาก
รายละเอียดตามลำดับเหตุการณ์ที่คาดคะเนไว้ ดังนี้
1. ความเป็นมาของวัดป่าสาลวัน
วัดป่าสาลวันเป็นวัดที่ก่อสร้างในช่วงที่องค์หลวงปู่มั่น ยังวิเวกในภาคเหนือ โดยดำริของ สมเด็จพระมหาวีรวงศ์ (อ้วน ติสฺโส) ที่ในอดีตท่านเองให้ความสำคัญกับด้านการศึกษาปริยัติมากกว่าการปฏิบัติภาวนา จนเมื่อท่านได้เห็นปัจฉิมกาลของท่านเจ้าคุณพระอุบาลีคุณูปมาจารย์ (จันทร์ สิริจนฺโท) อาพาธหนักและมรณภาพด้วยความองอาจ ไม่หวั่นไหวต่อมฤตยู สมภูมิผู้ที่เคยปฏิบัติภาวนามา ท่านเจ้าประคุณสมเด็จฯ เห็นว่าถึงคราวที่จะต้องส่งเสริมการปฏิบัติภาวนา จึงมีดำริให้สร้างวัดป่าสาลวัน ให้เป็นวัดฝ่ายอรัญญวาสี โดยมี หลวงปู่สิงห์ ขนฺตยาคโม เป็นหลักสำคัญ ในปี พ.ศ. 2475 ซึ่งเป็นปีที่ท่านเจ้าคุณอุบาลีฯ มรณภาพ ถือเป็นวัดศูนย์กลางฝ่ายอรัญญวาสีของ จ.นครราชสีมา และภาคอีสาน
โดยมีรายละเอียดประวัติการก่อสร้างวัดป่าสาลวัน จากหนังสือ ฐานิยตฺเถรวตฺถุ โดย พระมหาธีรนาถ อคฺคธีโร ดังนี้

(รูปจาก นาวาอากาศเมฆ อำไพจิต)
1.1 ดำริในสมเด็จพระมหาวีรวงศ์ (อ้วน ติสฺโส)
เมื่อเดือนกุมภาพันธ์ พ.ศ. 2474 ข้าพเจ้า (หลวงชาญนิคม "ทอง จันทรศร) พร้อมด้วยบุตรภรรยา ได้สร้างวัดให้เป็นสำนักสงฆ์วัดหนึ่ง เจ้าพระคุณสมเด็จพระมหาวีรวงศ์ (อ้วน ติสฺโส) เมื่อครั้งเป็นพระพรหมมุนี เจ้าคณะมณฑลนครราชสีมา ให้นามว่า "วัดป่าสาลวัน" เพราะบริเวณสร้างวัดนี้โดยมากเป็นป่าเต็งรัง และที่อันนี้เป็นที่ดินส่วนของข้าพเจ้า พื้นดินเป็นทราย ภูมิฐานสูงกลาง ทิศเหนือติดทางเกวียน ทิศใต้จรดหนองรี ทิศตะวันออกจรดหนองแก้ช้าง ทิศตะวันตกจรดทางหลวง ด้านกว้าง 7 เส้น 10 วา ด้านยาว 10 เส้น รวมเนื้อที่ 75 ไร่ (ปัจจุบันมีเนื้อที่ 43 ไร่ 1 งาน 68 ตารางวา มีกุฏิ 84 หลัง) ราคา 800 บาท ห่างหมู่บ้านประมาณ 30-40 เส้น ห่างสถานีรถไฟโคราช 30 เส้น


ผู้สร้างวัดป่าสาลวัน อ.เมือง จ.นครราชสีมา (รูปจาก นาวาอากาศเมฆ อำไพจิต)
มูลเหตุที่สร้างวัดนี้เป็นความดำริของเจ้าพระคุณสมเด็จพระมหาวีรวงศ์ (อ้วน ติสฺโส) เมื่อครั้งเป็นพระพรหมมุนี แสวงหาที่ดินที่จะสร้างเป็นวัดอรัญญวาสี สำหรับพระฝ่ายวิปัสสนาธุระอยู่อาศัยเพื่อบำเพ็ญวิปัสสนาธุระมิให้เสื่อม ท่านพยายามหาที่มาหลายปีแล้วไม่มีที่ใดเหมาะ ครั้นมา พ.ศ. นี้ ท่านได้ไปอาราธนาท่านพระอาจารย์สิงห์ และพระมหาปิ่น และพระอื่นๆ อีกรวม 6-7รูป ล้วนเป็นพระวิปัสสนาทั้งสิ้นมาจากขอนแก่น

พระอาจารย์สิงห์ ขนฺตฺยาคโม เจ้าอาวาสรูปแรก วัดป่าสาลวัน อ.เมือง จ.นครราชสีมา (รูปจาก นาวาอากาศเมฆ อำไพจิต)
1.2 โปรดสัตว์ที่ป่าช้าก่อนสร้างวัด
ท่านพระอาจารย์สิงห์มาถึงโคราชแล้ว เจ้าพระคุณสมเด็จพระมหาวีรวงศ์ได้นำไปปักกลดโปรดสัตว์ที่ป่าช้าที่ 3 ซึ่งอยู่ทิศตะวันตกที่ดินของข้าพเจ้า คนละฟากทางหลวง ท่านเจ้าคุณสมเด็จพระมหาวีรวงศ์ไปร่วมอยู่ในป่าช้านั้นด้วย มีคนเลื่อมใสศรัทธาไปทำบุญกันมาก
1.3 หลวงชาญฯ ถวายที่ดินสร้างวัด
ข้าพเจ้าและบุตรภรรยาได้ช่วยปัดกวาดสถานที่สำหรับพระอยู่อาศัยด้วยและหมั่นไปเสมอแทบทุกวัน ข้าพเจ้าได้ทราบความประสงค์ของเจ้าพระคุณสมเด็จฯ ที่จะหาที่สร้างวัด ก็บังเกิดความศรัทธาเลื่อมใสขึ้นในขณะนั้น และข้าพเจ้าก็มีอุปนิสัยชอบไปในทางวิปัสสนาธุระอยู่ด้วย จึงปรึกษาบุตรและภรรยา ต่างก็มีความร่วมใจกันในอันที่จะถวายที่ดินสร้างวัด จึงนำความกราบเรียนท่านเจ้าพระคุณสมเด็จฯ ว่า ข้าพเจ้าพร้อมด้วยบุตรภรรยามีใจเลื่อมใสศรัทธาที่จะถวายที่ดินของข้าพเจ้า แล้วจะก่อสร้างให้เป็นสำนักสงฆ์ตามความประสงค์ของท่าน
ครั้นแล้วข้าพเจ้าก็นำท่านและพระอาจารย์สิงห์พร้อมด้วยสงฆ์ตรวจดูที่ดินของข้าพเจ้า เจ้าพระคุณสมเด็จฯ และสงฆ์ตรวจดูแล้วว่าที่ดินนี้ถูกต้องเหมาะแก่การสร้างวัดอรัญญวาสี เพราะไม่ไกลไม่ใกล้หมู่บ้าน ถูกต้องตามพระธรรมวินัย ก็เป็นอันตกลง

โบสถ์น้ำ วัดป่าสาลวัน อ.เมือง จ.นครราชสีมา ในระยะแรก (รูปจาก นาวาอากาศเมฆ อำไพจิต)
1.4 สมเด็จฯ ปลงธรรมสังเวช
พ.ศ. 2475 เจ้าพระคุณสมเด็จพระมหาวีรวงศ์ (อ้วน ติสฺโส) ขณะดำรงสมณศักดิ์เป็นพระธรรมปาโมกข์ ได้เห็นเจ้าพระคุณพระอุบาลีคุณูปมาจารย์ (จันทร์ สิริจนฺโท) ป่วยหนัก บังเกิดมีความสลดสังเวชใจ เห็นภัยในวัฏสงสาร ใคร่แสวงหาที่พึ่ง จึงได้อนุมัติให้ตั้งสำนักสงฆ์วัดป่าสาลวันขึ้น หลวงชาญนิคมกับพวกจึงรับบัญชา เจ้าพระคุณสมเด็จฯ สร้างวัดป่าสาลวันขึ้นเป็นวัดแรก พอให้เป็นตัวอย่าง เจ้าพระคุณสมเด็จฯก็ได้ออกมาบำเพ็ญภาวนาเป็นครั้งคราวในเวลาว่างจากการคณะสงฆ์
ท่านเจ้าคุณพระญาณวิศิษฏ์ ได้อยู่จำพรรษาในวัดแห่งนี้ในระยะแรกตั้งแต่ปี พ.ศ. 2475-2479 รวมเวลา 5 ปี
ส่วนการสร้างโบสถ์น้ำ (สิมน้ำ) พลตรีหลวงโจมจตุรงค์ ปลัดสุขาฯ มีศรัทธาพร้อมด้วยนายเกลี้ยง สมุห์บัญชี และนายมณี รับทำ ใช้รากคอนกรีต ต่อเสาไม้เต็งรัง พื้นฝา เครื่องบนใช้ไม้จริง หลังคามุงสังกะสี กว้าง 8 ศอก ยาว 16 ศอก ราคา 600 บาท (พระมหาธีรนาถ อคฺคธีโร, 2543:178-181)


ผู้สร้างวัดป่าสาลวัน อ.เมือง จ.นครราชสีมาในวัยชรา (รูปจาก นาวาอากาศเมฆ อำไพจิต)
2. องค์หลวงปู่มั่นเดินทางมานครราชสีมา
องค์หลวงปู่มั่น ได้เดินทางจากเชียงใหม่-กรุงเทพฯ-นครราชสีมา เข้าใจว่าคณะศิษย์ได้นิมนต์องค์ท่านพักที่วัดป่าสาลวัน ซึ่งในขณะนั้นอยู่ในระยะเริ่มต้น อีกทั้งมีศิษย์เดิมได้มาถวายการต้อนรับ เมื่อองค์หลวงปู่มั่นมาถึง จะได้อบรมแก้ไขการปฏิบัติให้ยิ่งขึ้นไป ยังผลถึงความมั่นคงของหมู่คณะ อีกทั้งยังมีผู้ที่ได้กราบเรียนถามธรรมะ ที่ได้มีการบันทึกไว้ อีกทั้งการถ่ายรูปที่เป็นจารึกประวัติศาสตร์ โดยมีรายละเอียด ดังนี้

ศาลาการเปรียญ วัดป่าสาลวัน อ.เมือง จ.นครราชสีมา (ชีวประวัติและปฏิปทาพระอาจารย์ฝั้น อาจาโร)
2.1 เข้าพักที่วัดป่าสาลวัน
จากบันทึกประวัติองค์หลวงปู่มั่น โดย หลวงพ่อวิริยังค์ ได้ทำให้เห็นบรรยากาศเมื่อองค์หลวงปู่มั่น มาถึงยังวัดป่าสาลวัน ตลอดถึงครูบาอาจารย์ที่เกี่ยวข้อง ดังนี้
...เป็นอันว่าท่านมาอยู่วัดบรมนิวาสชั่วขณะหนึ่ง ก็ยังได้ทำประโยชน์ แนะนำธรรมปฏิบัติแก่พระภิกษุสามเณรอุบาสกอุบาสิกาตามสมควรแล้ว ท่านก็เดินทางต่อไป และได้แวะจังหวัดนครราชสีมา พักอยู่วัดสาลวัน ขณะนั้นพระอาจารย์สิงห์เป็นเจ้าอาวาสอยู่ และพระอาจารย์สิงห์ ขนฺตยาคโม ก็เป็นศิษย์ขั้นพระเถระ เป็นศิษย์รุ่นแรกของท่าน เมื่อพระอาจารย์มั่นฯ มาเยี่ยมคราวนั้นมีความดีใจมาก กับทั้งพระเถระอื่นๆ ทั้งพระอาจารย์อ่อน ญาณสิริ พระอาจารย์ฝั้น อาจาโร เป็นต้นก็ยังอยู่ที่นั้น เป็นโอกาสที่ท่านจะได้แสดงธรรมอันเป็นส่วนของการแก้ไขจิต ทั้งพระเถระทั้งหลายก็สนใจที่จะฟังเพื่อการดำเนินปฏิปทาอันถูกต้อง ขณะนั้นผู้เขียนยังอยู่จังหวัดจันทบุรี
เมื่อพระอาจารย์มั่นฯ ได้พักอยู่ที่วัดสาลวันชั่วระยะหนึ่งแล้วและได้สถิตธรรมส่วนลึก อันเป็นธรรมสำคัญไว้ เพื่อการให้ความคิดของท่านพระเถระทั้งหลาย จนมีความคิดว่าจะต้องติดตามท่านอาจารย์มั่นฯ ไป แต่ขณะนั้นท่านพระเถระทั้งหลายก็ยังต้องอยู่ เพื่อรักษาศรัทธาของประชาชนไปพลางก่อน แต่ปรากฏว่าบรรดาพระอาจารย์ทั้งหลาย ในกาลต่อไปได้ติดตามท่านอาจารย์มั่นฯ มาเป็นส่วนมาก... (หลวงพ่อวิริยังค์ สิรินฺธโร)

คณะพระเถรานุเถระที่เริ่มต้นวัดป่าสาลวัน ที่ทราบนาม ได้แก่ พระอาจารย์สิงห์ ขนฺตฺยาคโม หลวงปู่อ่อน ญาณสิริ พระอาจารย์กงมา จิรปุญฺโญ พระอาจารย์ฝั้น อาจาโร และพระอริยเวที (เขียน ฐิตสีโล) ในการอุปสมบท นายวัน คมนามูล ณ วัดสุทธจินดา อ.เมือง จ.นครราชสีมา (รูปโดย ดร.นระ คมนามูล)
2.2 ชาวโคราชถามปัญหาธรรมะ
จากประวัติองค์หลวงปู่มั่น โดย หลวงตามหาบัว ได้บันทึกรายละเอียดการตอบปัญหาธรรมะของชาวนครราชสีมาไว้ ดังนี้
... ขณะท่านพักอยู่กรุงเทพฯ มีผู้มาอาราธนานิมนต์ไปฉันในบ้านเสมอ แต่ท่านขอผ่านเพราะไม่สะดวกแก่การปฏิบัติต่อสรีรกิจประจำวันหลังจากฉันเสร็จแล้ว
พอควรแก่กาลแล้วท่านเริ่มออกเดินทางมาพักโคราช ตามคำอาราธนาของคณะศรัทธาชาวนครราชสีมา พักที่วัดป่าสาลวัน ขณะพักอยู่ที่นั้นก็มีท่านผู้สนใจมาถามปัญหาหลายราย มีปัญหาที่น่าคิดอยู่ข้อหนึ่ง ผู้เขียนฟังจากท่านแล้วยังจำได้ไม่หลงลืม ชะรอยปัญหานั้นจะกลับมาเป็นประวัติท่านอีกก็อาจเป็นได้ จึงบันดาลไม่ให้หลงลืม ทั้งที่ผู้เขียนเป็นคนชอบหลงลืมเก่ง ปัญหานั้นเป็นเชิงหยั่งหาความจริงในท่าน ว่าจะมีความจริงมากน้อยเพียงไร สมคำเล่าลือของประชาชนหรือหาไม่ เจ้าของปัญหาก็ลูกศิษย์กรรมฐานเพื่อมุ่งหาความจริงอยู่อย่างเต็มใจจริง ๆ

อุโบสถวัดป่าสาลวัน อ.เมือง จ.นครราชสีมา (ชีวประวัติและปฏิปทาพระอาจารย์ฝั้น อาจาโร)
เริ่มต้นปัญหาว่า "เท่าที่ท่านอาจารย์มาโคราชคราวนี้ เป็นการมาเพื่ออนุเคราะห์ประชาชนตามคำนิมนต์เพียงอย่างเดียว หรือยังมีหวังเพื่อมรรคผลนิพพานอยู่ด้วยในการรับนิมนต์คราวนี้"
ท่านตอบว่า "อาตมาไม่หิว อาตมาไม่หลง จึงไม่หาอะไรให้ยุ่งไป อันเป็นการก่อทุกข์ใส่ตัว คนหิวอยู่เป็นปกติสุขไม่ได้จึงวิ่งหาโน่นหานี่ เจออะไรก็คว้าติดมือมา โดยไม่คำนึงว่าผิดหรือถูก ครั้นแล้วสิ่งที่คว้ามาก็มาเผาตัวเองให้ร้อนยิ่งกว่าไฟ
อาตมาไม่หลงจึงไม่แสวงหาอะไร คนที่หลงจึงต้องแสวงหา ถ้าไม่หลงก็ไม่ต้องหา จะหาไปให้ลำบากทำไม อะไร ๆ ก็มีอยู่กับตัวเองอย่างสมบูรณ์อยู่แล้ว จะตื่นเงาและตะครุบเงาไปทำไม เพราะรู้แล้วว่าเงาไม่ใช่ตัวจริง ตัวจริงคือสัจจะทั้งสี่ก็มีอยู่ในกายในใจอย่างสมบูรณ์แล้ว และรู้จนหมดสิ้นแล้ว จะหาอะไรกันอีกถ้าไม่หลง ชีวิตลมหายใจยังมีและผู้มุ่งประโยชน์กับเรายังมี ก็สงเคราะห์กันไปอย่างนั้นเอง
หาคนดีมีธรรมในใจนี้หายากยิ่งกว่าหาเพชรนิลจินดาเป็นไหน ๆ ได้คนเป็นคนเพียงคนเดียวย่อมมีคุณค่ามากกว่าได้เงินเป็นล้าน ๆ เพราะเงินล้าน ๆ ไม่สามารถทำความร่มเย็นให้แก่โลกได้อย่างถึงใจเหมือนได้คนดีมาทำประโยชน์ คนดีแม้เพียงคนเดียวยังสามารถทำความเย็นใจให้แก่โลกได้มากมายและยั่งยืน เช่น พระพุทธเจ้าและพระสาวกทั้งหลายเป็นตัวอย่าง คนดีแต่ละคนมีคุณค่ามากกว่าเงินเป็นก่ายกอง และเห็นคุณค่าแห่งความดีของตนที่จะทำต่อไปมากกว่าเงิน แม้จะจนก็ยอมจน ขอแต่ให้ตัวดีและโลกมีความสุข
แต่คนโง่ชอบเงินมากกว่าคนดีและความดี ขอแต่ได้เงินแม้ตัวจะเป็นอย่างไรไม่สนใจคิด ถึงจะชั่วช้าลามกหรือแสนโสมมเพียงไรก็ตาม ขนาดนายยมบาลเกลียดกลัวไม่อยากนับเข้าบัญชีผู้ต้องหา กลัวจะไปทำลายสัตว์นรกด้วยกันให้เดือดร้อนฉิบหายก็ไม่ว่า ขอแต่ได้เงินก็เป็นที่พอใจ ส่วนจะผิดถูกประการใด ถ้าบาปมีค่อยคิดบัญชีกันเองโดยเขาไม่ยุ่งเกี่ยว
คนดีกับคนชั่วและสมบัติเงินทองกับธรรมคือคุณงามความดีผิดกันอย่างนี้แล ใครมีหูมีตาก็รีบคิดเสียแต่บัดนี้อย่าทันให้สายเกินไป จะหมดหนทางเลือกเฟ้น การให้ผลก็ต่างกันสุดแต่กรรมของตนจะอำนวย จะทักท้วงหรือคัดค้านไม่ได้ กรรมอำนวยให้อย่างใดต้องยอมรับเอาอย่างนั้น ฉะนั้นสัตว์โลกจึงต่างกัน ทั้งภพกำเนิด รูปร่าง ลักษณะ จริต นิสัย สุข ทุกข์อันเป็นสมบัติประจำตัวของแต่ละราย แบ่งหนักแบ่งเบากันไม่ได้ ใครมีอย่างไรก็หอบหิ้วไปเอง ดีชั่ว สุขทุกข์ก็ยอมรับ ไม่มีอำนาจปฏิเสธได้ เพราะไม่ใช่แง่กฎหมาย แต่เป็นกฎของกรรมหรือกฎของตัวเองที่ทำขึ้น มิใช่กฎของใครไปทำให้ ตัวทำเอาเอง ถามอาตมาเพื่ออะไรอย่างนั้น"

ด้านบนศาลาการเปรียญ วัดป่าสาลวัน อ.เมือง จ.นครราชสีมา (ชีวประวัติและปฏิปทาพระอาจารย์ฝั้น อาจาโร)
การตอบปัญหาท่านคราวนี้รู้สึกเข้มข้นพอดู นี้ทราบจากท่านเองและพระที่ติดตามเล่าให้ฟัง รู้สึกว่าถึงใจและจำไม่ลืม
เขาตอบท่านว่า "ขอประทานโทษ พวกกระผมเคยได้ยินกิตติศัพท์กิตติคุณท่านอาจารย์โด่งดังมานานแล้ว ไม่ว่าครูอาจารย์หรือพระเณรองค์ใดตลอดฆราวาส ใครพูดถึงอาจารย์ล้วนพูดเป็นเสียงเดียวกันว่า อาจารย์มิใช่พระธรรมดา ดังนี้จึงกระหายอยากฟังเมตตาธรรมท่าน แล้วได้เรียนถามไปตามความอยากความหิว แต่ไม่มีความฉลาดรอบคอบในการถามซึ่งอาจจะทำความกระเทือนแก่ท่านอยู่บ้าง กระผมก็สนใจปฏิบัติมานานพอสมควร จิตใจนับว่าได้รับความเย็นประจักษ์เรื่อยมา ไม่เสียชาติที่เกิดมาพบพระศาสนา และยังได้กราบไหว้ครูอาจารย์ผู้ศักดิ์สิทธิ์วิเศษด้วยการปฏิบัติและคุณธรรม แม้ปัญหาธรรมที่เรียนถามวันนี้ก็ได้รับความแจ้งชัดเกินคาดหมาย วันนี้เป็นหายสงสัยเด็ดขาดตามภูมิของคนยังมีกิเลส ที่ยังอยู่ก็ตัวเองเท่านั้นจะสามารถปฏิบัติให้ได้ให้ถึงมากน้อยเพียงใด"
ท่านตอบซ้ำอีกว่า "โยมถามมาอย่างนั้น อาตมาก็ต้องตอบไปอย่างนั้น เพราะอาตมาไม่หิวไม่หลง จะให้อาตมาไปหาอะไรอีก อาตมาเคยหิวเคยหลงมาพอแล้วครั้งปฏิบัติที่ยังไม่รู้เรื่องรู้ราวอะไรโน้น อาตมาแทบตายอยู่ในป่าในเขาคนเดียวไม่มีใครไปเห็น จนพอลืมหูลืมตาได้บ้าง จึงมีคนนั้นไปหาคนนี้ไปหา แล้วร่ำลือกันว่าวิเศษอย่างนั้นอย่างนี้ ขณะอาตมาสลบสามหนรอดตายครั้งนั้น ไม่เห็นใครทราบและร่ำลือบ้าง จนเลยขั้นสลบและขั้นตายมาแล้ว จึงมาเล่าลือกันหาประโยชน์อะไร
อยากได้ของดีที่มีอยู่กับตัวเราทุกคนก็พากันปฏิบัติเอาทำเอา เมื่อเวลาตายแล้วจึงพากันวุ่นวาย หานิมนต์พระมาให้บุญกุสลามาติกา นั่นไม่ใช่เกาถูกที่คันนะ จะว่าไม่บอก ต้องรีบเกาให้ถูกที่คันเสียแต่บัดนี้ โรคคันจะได้หาย คือเร่งทำความดีเสียแต่บัดนี้ จะได้หายห่วงหายหวงกับอะไร ๆ ที่เป็นสมบัติของโลก มิใช่สมบัติอันแท้จริงของเรา แต่พากันจับจองเอาแต่ชื่อของมันเปล่า ๆ ตัวจริงไม่มีใครเหลียวแล
สมบัติในโลกเราแสวงหามาเป็นความสุขแก่ตัวก็พอหาได้ จะแสวงหามาเป็นไฟเผาตัวก็ทำให้ฉิบหายได้จริง ๆ ข้อนี้ขึ้นอยู่กับความฉลาดและความโง่เขลาของผู้แสวงหาแต่ละราย ท่านผู้พ้นทุกข์ไปได้ด้วยความอุตส่าห์สร้างความดีใส่ตนจนกลายเป็นสรณะของพวกเรา จะเข้าใจว่าท่านไม่เคยมีสมบัติเงินทองเครื่องหวงแหนอย่างนั้นหรือ เข้าใจว่าเป็นคนร่ำรวยสวยงามเฉพาะสมัยของพวกเราเท่านั้นหรือ จึงพากันรักพากันหวงพากันห่วงจนไม่รู้จักเป็นรู้จักตาย
บ้านเมืองเราสมัยนี้ไม่มีป่าช้าสำหรับฝังหรือเผาคนตายอย่างนั้นหรือ จึงสำคัญว่าตนจะไม่ตาย และพากันประมาทจนลืมเนื้อลืมตัว กลัวแต่จะไม่ได้กินได้นอน กลัวแต่จะไม่ได้เพลิดได้เพลิน ประหนึ่งโลกจะดับสูญจากไปในเดี๋ยวนี้ จึงพากันรีบตักตวงเอาแต่ความไม่เป็นท่าใส่ตนแทบหาบไม่ไหว อันสิ่งเหล่านี้แม้แต่สัตว์เขาก็มิได้เหมือนมนุษย์เรา อย่าสำคัญตนว่าเก่งกาจสามารถฉลาดรู้ยิ่งกว่าเขาเลย ถึงกับสร้างความมืดมิดปิดตาทับถมตัวเองจนไม่มีวันสร่างซา เมื่อถึงเวลาจนตรอก อาจจนยิ่งกว่าสัตว์ ใครจะไปทราบได้ ถ้าไม่เตรียมทราบไว้เสียแต่บัดนี้ซึ่งอยู่ในฐานะที่ควร
อาตมาต้องขออภัยด้วยถ้าพูดหยาบคายไป แต่คำพูดที่สั่งสอนให้คนละชั่วทำดียังจัดเป็นคำหยาบคายอยู่แล้ว โลกเราก็จะถึงคราวหมดสิ้นศาสนา เพราะไม่มีผู้ยอมรับความจริง การทำบาปหยาบคายมีมาประจำตนแทบทุกคนทั้งให้ผลเป็นทุกข์ ตนยังไม่อาจรู้ได้และตำหนิมันบ้างพอมีทางคิดแก้ไข แต่กลับตำหนิคำสั่งสอนว่าหยาบคาย นับว่าเป็นโรคที่หมดหวัง"

บุษบกบรรจุพระบรมสารีริกธาตุ และพระธาตุบูรพาจารย์ หลวงปู่เสาร์ กนฺตสีโล หลวงปู่มั่น ภูริทตฺโต และอัฐิธาตุพระอาจารย์สิงห์ ขนฺตฺยาคโม ประดิษฐานบนศาลาการเปรียญ วัดป่าสาลวัน อ.เมือง จ.นครราชสีมา (รูปจาก ฐานิยตฺเถรวตฺถุ)
ตอนนี้ต้องขออภัยท่านสุภาพชนทั้งหลาย ที่ได้บังอาจเขียนแบบคนไม่มีสติอยู่กับตัวเอาเลย ทั้งนี้ความมุ่งหมายเพื่อสงวนธรรมที่ท่านเมตตาแสดงในบางครั้งให้คงเส้นคงวาไว้บ้าง เพื่อบางท่านได้พิจารณาถือเอาความจริงในธรรมนี้ ไม่อยากให้ลดลงจากระดับเดิมของท่าน จึงพยายามหลับหูหลับตาเขียนไปตามเนื้อหา
สำหรับปัญหาธรรมนั้นไม่ว่าท่านไปพักที่ไหน มีคนมาเรียนถามมิได้ขาด แต่ไม่สามารถจดจำได้ทุกบททุกบาท ทั้งอาจารย์ทั้งหลายที่กรุณาให้ต้นฉบับมาแต่ละองค์ และผู้เขียนจำมาเอง ประโยคใดที่สะดุดใจประโยคนั้นก็จำไว้ได้และบันทึกไว้ ประโยคที่ไม่สะดุดใจก็หลงลืมจำต้องปล่อยให้ผ่านไป... (หลวงตามหาบัว ญาณสมฺปนฺโน)
|
|
|
|
คาดว่าทั้ง 3 รูปนี้ น่าจะถ่ายในระยะเวลาใกล้เคียงกัน และสถานที่เดียวกัน สังเกตจากพนักพิงธรรมาสน์และต้นไม้ด้านหลังที่มีลักษณะเหมือนกัน |
|
2.3 รูปประวัติศาสตร์
มีรูปองค์หลวงปู่มั่นรูปเดียวในขณะนี้ ที่มีการระบุเวลาการถ่ายภาพ ความเป็นมาที่ชัดเจนที่สุดโดยสามารถคาดคะเนสถานที่ถ่ายรูป ถ่ายในช่วงเวลาที่องค์ท่าน ได้มาพักชั่วคราวที่วัดป่าสาลวัน จ.นครราชสีมา แห่งนี้เมื่อวันที่ 10 มิถุนายน พ.ศ. 2483 โดยมีรายละเอียด ดังนี้
จากการศึกษา โดย Admin ในบทความ "บันทึกประวัติศาสตร์ พระบูรพาจารย์" ได้อธิบายว่า รูปถ่ายนี้ถ่ายในขณะที่หลวงปู่มั่นอยู่ในอิริยาบถนั่งสมาธิ ห่มจีวรลดไหล่ พาดสังฆาฏิ นั่งอยู่บนอาสนะสีขาว มีพรมปูทับและหมอนอิงหลัง บนธรรมาสน์ขนาดใหญ่มีพนักพิงทรงสูง รูปถ่ายมีขนาดโดยประมาณ กว้าง 10 นิ้ว ยาว 12 นิ้ว ที่มุมซ้ายของภาพมีรอยปั๊มนูนแสดงร้านถ่ายภาพ "มีกวง นครราชสีมา" ติดบนกระดาษแข็งหนา บรรจุอยู่ภายในกรอบไม้สักทาสีทองแกะสลักเป็นลายเถาองุ่น มีขนาดโดยประมาณ กว้าง 20 นิ้ว ยาว 25 นิ้ว อยู่ในสภาพสมบูรณ์ และที่สำคัญคือ ข้อความที่บันทึกอยู่ด้านล่างรูปถ่ายบนกระดาษแข็ง ซึ่งผู้ดูแลเว็บไซต์หลวงปู่มั่น ภูริทตฺตมหาเถรถอดข้อความได้ดังนี้ (คงตัวเลขไทยและการสะกดเดิมตามที่บันทึก)
บันทึกด้านหลังรูปถ่ายองค์หลวงปู่มั่น ภูริทตฺโต โดย นายวัน คมนามูล (รูปโดย ดร.นระ คมนามูล)
" ถ่ายเมื่อวันที่ ๑๐ มิถุนายน พระพุทธศักราช ๒๔๘๓ รูปพระอาจารย์หมั้น อายุ ๗๐ ปี พรรษา ๔๗ เป็นพระมหาเถระ ถือธุดงค์วัตร ชำนาญในสมถะวิปัสสนา มีลูกศิษย์มาก ท่านศึกษาต่อ พระปัญญาพิสาระเถร พระอุบาลี เป็นกรรมวาจา ในภาคอิสานและภาคพายัพไม่ใครสู้ในทางปฏิบัติชอบอยู่ในป่า เขาถ้ำ อยู่เขาเชียงใหม่ "
ที่มุมของกระดาษแข็งยังลงลายมือชื่อ "วัน คมนามูล" ซึ่งแสดงให้เห็นว่า คุณวันฯ เป็นผู้บันทึก และข้างหลังของภาพก็ยังมีบันทึกตามแนวนอนของกรอบรูป มีข้อความว่า
" รูปพระอาจารย์หมั้น เกิดเมืองอุบลภาคอิสาน อายุ ๗๐ ปี พรรษา ๔๗ ได้ศึกษาเล่าเรียนต่อพระปัญญาภิสารเถระ เจ้าคุณอุบาลีเป็นกรรมวาจา ท่านได้ปฏิบัติในสมถะวิปัสสนา ท่านกลับเชียงใหม่ อยู่ในเขาเชียงใหม่ ๑๑ ปี มีลูกศิษย์มาก พระอาจารย์สิงห์ พระมหาปิ่น พระอาจารย์อ่อน พระอาจารย์ฟั่น พระอาจารย์ภูมี พระอาจารย์อ่อน พระอาจารย์สีโห พระอาจารย์ลี พระอาจารย์กงมา พระอาจารย์คำดี และท่านได้ปฏิบัติที่สุดในพระศาสนา ท่านได้ทั้งมรรคผลรู้ธรรมพิเศษ และมีปัญญาอภิญญารู้ทั้งอดีต ปัจจุบัน และอนาคต แลรู้บุพเพนิวาสานุสติญาณ ข้าพเจ้าเรียกช่างภาพมาถ่ายภาพไว้ เพื่อให้กุลบุตรและธิดาเกิดมาภายหลังจะได้รู้ได้เห็นเป็นตัวอย่างว่าพระอรหันต์ไม่ขาดจากโลก ในประเทศสยามประเทศไทย...พระกรรมานคณะอาจารย์หมั้น พระอาจารย์สิงห์ เป็นลูกสิสของท่านได้ประกาศพระศาสนาในทางสมถวิปัสสนา เป็นกำลังของพระศาสนา อุบล อุดร นครพนม สกล นครราชสีมา ไชยภูมิ สุริน บุรีรัมย์ เพชรบูรณ์ ตราด จันทบุรี กรุงเทพ ธนบุรี สมุทรปราการ บางปู สระบุรี ข้าพเจ้าได้ศึกษาจากท่านนี้ จึงได้รู้หลักของพระศาสนา ไม่ใช่พระลวงโลก ไม่สั่งสอนโดยไม่เห็นแก่ลาภสักการะ "

นายวัน - นางทองสุก คมนามูล ผู้ขออนุญาตองค์หลวงปู่มั่น ถ่ายรูปไว้ที่ จ.นครราชสีมา และได้บันทึกไว้อย่างละเอียด (รูปโดย ดร.นระ คมนามูล)
" นายวัน คมนามูล อายุ ๔๔ ปี เกิดปีวอก วันจันทร์ เดือน ๑๐ " (ผู้ดูแลเว็บไซต์หลวงปู่มั่น ภูริทตฺตมหาเถร)
อนึ่ง หลวงตามหาบัว ได้บันทึกไว้ใน ประวัติองค์หลวงปู่มั่น เกี่ยวกับการถ่ายรูปในแต่ละสถานที่ที่ท่านอนุญาต ซึ่งมีการถ่ายรูปไว้ที่ จ.นครราชสีมา อยู่ด้วย โดยมีรายละเอียด ดังนี้
... ท่านอนุญาตให้ถ่ายภาพท่านคราวมาพักนครราชสีมาครั้งหนึ่ง คราวมาพักที่สกลนครครั้งหนึ่ง ที่บ้านฝั่งแดง อำเภอพระธาตุพนม จังหวัดนครพนม คราวกลับจากงานฌาปนกิจศพท่านพระอาจารย์เสาร์ครั้งหนึ่ง
ที่ท่านผู้เคารพเลื่อมใสในท่านได้รับแจกไว้สักการบูชาทุกวันนี้ ก็เนื่องมาจากที่ท่านอนุญาตให้ถ่ายสามวาระนั่นแล ไม่เช่นนั้นก็คงไม่มีอะไรปรากฏเป็นพยานแห่งความเลื่อมใสในทางรูปกายท่านบ้างเลย
เพราะปกติท่านไม่ชอบให้ถ่ายอย่างง่าย ๆ กว่าจะอนุญาตให้ใครแต่ละครั้ง ผู้นั้นต้องรู้สึกอึดอัดใจอยู่ไม่น้อย ต้องนั่งถอยเข้าถอยออก และเปลี่ยนท่าเปลี่ยนทีอยู่หลายครั้ง จนเหงื่อแตกโชกไปทั้งตัวโดยไม่รู้สึก เพราะเคยทราบมาแล้วว่า ท่านไม่ค่อยอนุญาตให้ใครถ่ายเลย
ดีไม่ดีถ้าเข้าไม่สบโอกาสอาจโดนดุก็ได้ จึงต้องกลัวกันทุกรายไป ... (หลวงตามหาบัว ญาณสมฺปนฺโน)
3. ออกเดินทางไปอุดรธานี
เมื่อองค์หลวงปู่มั่น พักอยู่ที่นครราชสีมาระยะหนึ่งแล้ว ท่านได้เดินทางไปอุดรธานี และจำพรรษายังวัดป่าโนนนิเวศน์ อ.เมือง จ.อุดรธานี พรรษากาลปี พ.ศ. 2483 ในที่สุด ได้เกิดเหตุการณ์ตามลำดับ ดังนี้

รูปจำลองเหตุการณ์เมื่อครั้งหลวงปู่ท่อน ญาณธโร เมื่อครั้งเป็นสามเณร ได้มีโอกาสนมัสการองค์หลวงปู่มั่น ภูริทตฺโต ที่สถานีรถไฟ ในปี พ.ศ. 2483 (รูปจาก ญาณธโร)
3.1 เมตตาหลวงปู่ท่อน ญาณธโร เมื่อครั้งเป็นสามเณร
จากหนังสืออนุสรณ์ในงานพระราชทานเพลิงฯ หลวงปู่ท่อน ญาณธโร ได้ระบุว่า ในวัยเด็กหลวงปู่ท่อนได้มีโอกาสบรรพชาเป็นสามเณรในระยะเวลาสั้นๆ กับหลวงปู่อุปนันท์ ซึ่งเป็นหลวงน้าของท่าน ประจวบกับในปี พ.ศ. 2483 องค์หลวงปู่มั่น ภูริทตฺโต ได้โดยสารรถไฟเดินทางมาภาคอีสาน แวะพักที่จังหวัดนครราชสีมา
ในโอกาสนี้สามเณรท่อน ได้ร่วมกับคณะพระภิกษุสามเณรไปรอถวายการต้อนรับหลวงปู่มั่น ที่สถานีรถไฟจังหวัดนครราชสีมาด้วย แม้จะเป็นเพียงช่วงเวลาสั้นๆ หลวงปู่มั่น ได้มีธรรมโอวาทเตือนสติทุกคนในที่นั้นไว้ว่า
"เออ ๆ ... ดีใจหลาย อ้าว... พากันตั้งใจเน้อ ตั้งใจ ตั้งใจ ให้มาก ๆ ไม่งั้นไม่ไหวนะ ตั้งอกตั้งใจ..."
"นี่อีกไม่นานแล้วนะ จะไม่ได้เห็นหมู่อีกแล้ว"
แม้หลวงปู่ท่อนเอง ในเวลานั้นยังเป็นสามเณรน้อย แต่หลวงปู่มั่น ก็เมตตาหันมามองและให้โอวาทที่ลึกซึ้งกินใจว่า
"เณรผู้นี้รูปงาม อย่าให้ใครเด็ดไปดอมดมก่อนถึงเวลาอันควรล่ะ"
เป็นโอวาทที่หลวงปู่ท่อนท่านไว้เตือนตนเอง ยามเมื่อมีทุกข์ท้อแท้ และเป็นเหตุการณ์ประทับใจจดจำจนตลอดสมณเพศของท่าน แม้จะเป็นเหตุการณ์สั้นๆ แต่เป็นประวัติศาสตร์ที่ได้มีโอกาสพบผู้เปรียบดั่งบิดาของพระธุดงคกรรมฐาน พ่อแม่ครูบาอาจารย์ของท่านเอง ("ญาณธโร" บรรณานุสรณ์ในงานพระราชทานเพลิงสรีรสังขาร หลวงปู่ท่อน ญาณธโร)

วัดป่าสาลวัน อ.เมือง จ.นครราชสีมา ในปัจจุบัน (รูปจาก ฐานิยตฺเถรวตฺถุ)
3.2 ถึงอุดรธานีพักวัดโพธิสมภรณ์
จากบันทึกประวัติองค์หลวงปู่มั่น โดย หลวงตามหาบัว ได้กล่าวถึงรายละเอียดเมื่อองค์หลวงปู่มั่น เดินทางถึง จ.อุดรธานี ไว้ดังนี้
...ท่านพักนครราชสีมาพอสมควรแล้วออกเดินทางต่อไปจังหวัดอุดรธานี มาถึงขอนแก่น ทราบว่า พี่น้องชาวขอนแก่นไปรอรับท่านที่สถานีคับคั่ง และพร้อมกันอาราธนาท่านให้ลงแวะพักเมตตาที่ขอนแก่นก่อน แล้วค่อยเดินทางต่อไปอุดรฯ แต่ท่านไม่อาจแวะตามคำนิมนต์ได้ จึงพากันพลาดหวังไปบ้างในโอกาสที่ควรจะได้นั้น
เมื่อท่านถึงอุดรฯ ทราบว่า ท่านตรงไปพักวัดโพธิสมภรณ์กับท่านเจ้าคุณธรรมเจดีย์ก่อน มีประชาชนจากจังหวัดหนองคายบ้าง สกลนครบ้าง อำเภอต่าง ๆ ของจังหวัดอุดรบ้าง มารอกราบนมัสการท่าน...(หลวงตามหาบัว ญาณสมฺปนฺโน)

เมรุที่ใช้พระราชทานเพลิงศพ พระอาจารย์สิงห์ ขนฺตฺยาคโม (รูปจาก ฐานิยตฺเถรวตฺถุ)
3.3 จำพรรษาวัดป่าโนนนิเวศน์ พ.ศ. 2483-2484
...จากวัดโพธิสมภรณ์ก็ไปพักที่วัดโนนนิเวศน์และจำพรรษาที่นั่น เวลาท่านจำพรรษาที่วัดโนนนิเวศน์ ทราบว่าท่านเจ้าคุณธรรมเจดีย์วัดโพธิฯ ได้พาคณะศรัทธาทั้งข้าราชการและพ่อค้าประชาชนไปรับโอวาทท่านทุกวันพระตอนเย็น ๆ มิได้ขาด เพราะท่านเจ้าคุณธรรมฯ เองอุตส่าห์เดินทางไปอาราธนานิมนต์ท่านอาจารย์มั่น ที่จังหวัดเชียงใหม่ ซึ่งไกลแสนไกล และยังอุตส่าห์ด้นดั้นเข้าไปจนถึงที่อยู่ของท่านด้วย จึงได้องค์ท่านมาโปรดชาวอุดรฯ เป็นต้น สมความปรารถนา ท่านเจ้าคุณธรรมฯ จึงเป็นผู้มีพระคุณมากแก่พวกเราที่ได้เห็นได้ยินธรรมท่านเวลามาถึงอุดรฯ แล้ว... (หลวงตามหาบัว ญาณสมฺปนฺโน)

วัดป่าสาลวัน อ.เมือง จ.นครราชสีมา ในปัจจุบัน (รูปจาก ฐานิยตฺเถรวตฺถุ)
4.วัดป่าสาลวันในสมัยปัจจุบัน
4.1ลำดับเจ้าอาวาสวัดป่าสาลวัน
1. พระญาณวิศิษฏ์สมิทธิวีราจารย์ (สิงห์ ขนฺตฺยาคโม)
2. พระอาจารย์อ่อน ญาณสิริ
3. พระสุธรรมคณาจารย์ (แดง ธมฺมรกฺขิโต)
4. พระราชสังวรญาณ (พุธ ฐานิโย)

พระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง พระราชโอรส และพระราชธิดา ทรงกราบนมัสการ หลวงพ่อพุธ ฐานิโย ณ วัดป่าสาลวัน อ.เมือง จ.นครราชสีมา (รูปจาก ฐานิยตฺเถรวตฺถุ)
4.2 ในสมัยหลวงพ่อพุธ ฐานิโย
... จากสภาพเดิมของวัดป่าสาลวันที่เป็นป่าไม้เต็งรัง ห่างจากหมู่บ้านประมาณ 30-40 เส้น เวลาผ่านไป 58 ปี (นับถึงปี พ.ศ. 2543) สภาพป่ารอบๆ บริเวณวัดได้เปลี่ยนแปลงไปเป็นบ้านเรือน ถนนหนทาง ตรอกซอยเต็มไปโดยรอบด้าน วัดจึงกลายสภาพจากป่าช้าที่รกชัฏเป็นวัดตั้งอยู่ใจกลางเมือง เพราะความเจริญของบ้านเรือนและประชากรต้องการที่อยู่มากขึ้น
หลวงพ่อ (พุธ ฐานิโย) รับเป็นเจ้าอาวาสตั้งแต่ พ.ศ.2513 มีศิษยานุศิษย์ผู้มีจิตศรัทธาร่วมกันถวายการสร้างสังฆาวาสและสาธารณูปการต่างๆ ขึ้นใหม่ในวัดเป็นจำนวนมาก เช่น สร้างประปาภายในวัด สร้างกำแพงล้อมรอบวัด สร้างศาลาโรงครัว 2 ชั้น สร้างห้องสุขา ตัดถนนติดต่อกันภายในวัด เทคอนกรีตเสริมเหล็ก สร้างหอระฆังใหม่ สร้างกุฏิสงฆ์และกุฏิแม่ชี สร้างกุฏิเจ้าอาวาส สำนักงาน กุฏิรับรอง ปรับปรุงศาลาบูรพาจารย์ชั้นล่างให้เป็นสถานที่ปฏิบัติธรรม ตั้งศูนย์สมาธิภาวนา และสร้างวิหารหลังใหญ่ขึ้น
วิหารหลังใหม่นี้มีลักษณะเป็นอาคารเทคอนกรีตเสริมเหล็ก 2 ชั้น ขนาดกว้าง 16 วา ยาว 40 วา วางศิลาฤกษ์เมื่อวันที่ 5 ตุลาคม พ.ศ. 2534 เวลา 10.19 น. และได้สร้างแล้วเสร็จเมื่อวันที่ 8 กุมภาพันธ์พ.ศ. 2536 ซึ่งเป็นวันเกิดของหลวงพ่อ
เพราะฉะนั้นคณะศิษยานุศิษย์ได้ทำพิธีฉลองวิหารใหม่และฉลองสมณศักดิ์ (พระราชสังวรญาณ) พร้อมทั้งวันเกิดในวันเดียวกันคือวันที่ 8 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2536...(พระมหาธีรนาถ อคฺคธีโร, 2543:178-181)
อ้างอิง
1) ประวัติพระอาจารย์มั่น ภูริทตฺตเถร โดย หลวงปู่มหาบัว ญาณสมฺปนฺโณ พ.ศ. 2547
2) ประวัติหลวงปู่มั่นฉบับสมบูรณ์ โดย หลวงพ่อวิริยังค์สิรินฺธโร พ.ศ.2541
3) บทความ "ถ้ำบารมีที่อยู่หลวงปู่มั่น" โดย ส.กวีวัฒน์ จากหนังสือ จารึกไว้ในล้านนา พ.ศ.2563
4) บูรพาจารย์ โดย สุกัญญา มกุฏอรฤดี, ณิชารีย์ แก้วพรรณา พ.ศ.2549
5) มูลนิธิหลวงปู่แหวน สุจิณฺโณ, อนุสรณ์หลวงปู่แหวน สุจิณฺโณ, โรงพิมพ์มูลนิธินวมราชานุสรณ์ : นครนายก, มปพ.
6) "ญาณธโร" บรรณานุสรณ์ในงานพระราชทานเพลิงสรีรสังขาร หลวงปู่ท่อน ญาณธโร 26 มกราคม พ.ศ. 2562
7) ฐานิยตฺเถรวตฺถุ ที่ระลึกในการพระราชทานเพลิงศพ พระราชสังวรญาณ (หลวงปู่พุธ ฐานิโย) วัดป่าสาลวัน อ.เมือง จ.นครราชสีมา วันที่ 31 พฤศภาคม พ.ศ. 2543 โดย พระมหาธีรนาถ อคฺคธีโร
8) ประวัติวัดป่าสาลวัน ประวัติพระวิปัสสนาจารย์ วิธีปฏิบัติทางพุทธศาสนา ธรรมบรรยายยามยากบางบท ในงานฉลองและผูกพัทธสีมา วัดป่าสาลวัน วันที่ 3-8 พฤษภาคม พ.ศ. 2504 โดย นาวาอากาศเมฆ อำไพจิต
9) บทความ "บันทึกประวัติศาสตร์ พระบูรพาจารย์" โดย ผู้ดูแลเว็บไซต์หลวงปู่มั่น ภูริทตฺตมหาเถร http://luangpumun.org/picdrnara/con1.htm
10) ดำรง ภู่ระย้า, หลวงปู่อ่อนสี สุเมโธ, นิตยสารโลกทิพย์ (ฉบับที่ 76 ปีที่ 5) มีนาคม (ฉบับแรก), 2529.
แสดงความเห็น >>คลิ๊กที่นี่<<


