ตามรอยองค์หลวงปู่มั่น ภูริทัตโต

ร่วมเดินไปยังสถานที่ที่เกี่ยวเนื่อง กับองค์หลวงปู่มั่น ภูริทตฺโต พร้อมเรื่องราวความสำคัญ ศิษยานุศิษย์ที่เข้ามาฝากตัว เป็นสานุศิษย์ถักทอสู่ "กองทัพธรรมพระกรรมฐาน" โดยเว็บมาสเตอร์ www.luangpumun.org และสุดยอดแฟนพันธุ์แท้ ศิษยานุศิษย์หลวงปู่มั่น ภูริทัตโต จากรายการ แฟนพันธุ์แท้ 2018

เมนูหลัก ตามรอยองค์หลวงปู่มั่น คลิ๊ก

ตั้งสำนักที่โนนนิเวศน์ เริ่มอบรมศิษย์เข้มข้น
วัดป่าโนนนิเวศน์ อ.เมือง จ.อุดรธานี พ.ศ.
2483-2484
ตามรอยองค์หลวงปู่มั่น ภูริทตฺโต ตอนที่ 47


กุฏิจำลององค์หลวงปู่มั่น ภูริทตฺโต วัดป่าโนนนิเวศน์ อ.เมือง จ.อุดรธานี (รูปโดย โครงการท่องเที่ยวโดยชุมชนตามรอยองค์หลวงปู่มั่น ภูริทตฺโต)

          เมื่อองค์หลวงปู่มั่น ภูริทตฺโต ได้เดินทางถึงแผ่นดินอีสาน ภายหลังจากจาริกในภาคเหนือ 12 ปี ท่านได้มาพักที่วัดป่าสาลวัน อ.เมือง จ.นครราชสีมา ต่อจากนั้นท่านได้เดินทางมาพบ ท่านเจ้าพระธรรมเจดีย์ (จูม พนฺธุโล) ณ วัดโพธิสมภรณ์ อ.เมือง จ.อุดรธานี  ซึ่งต่อมาท่านเจ้าคุณฯ ได้จัดเสนาสนะสำหรับองค์หลวงปู่มั่นที่ วัดป่าโนนนิเวศน์ ซึ่งเป็นป่าช้าทิ้งศพมาแต่เดิม เป็นสถานที่เหมาะสำหรับบำเพ็ญภาวนา  องค์หลวงปู่มั่นได้อยู่จำพรรษา 2 พรรษา คือระหว่างปี พ.ศ. 2483-2484 ในช่วงออกพรรษาองค์ท่านจะไปวิเวกที่บ้านน้ำเค็ม ในช่วงระยะเวลานี้ชื่อเสียงขององค์หลวงปู่มั่นเริ่มขจรขจาย มีพระที่หวังทางมรรคผล ทั้งศิษย์เดิมและศิษย์ใหม่ ได้ทยอยมาฟังเทศน์และกระจายไปยังที่ต่างๆ ยังผลให้ภาคอีสานเป็นภูมิภาคของพระกรรมฐานจนถึงปัจจุบัน

          ในส่วนของพระอุปัฏฐากมี หลวงปู่เจี๊ยะ จุนฺโท ได้ถวายอุปัฏฐากทั้ง 2 ปี ในส่วนของ หลวงปู่อ่อนสี สุเมโธ ที่ถวายอุปัฏฐากมาตั้งแต่ภาคเหนือ ท่านได้กราบลาองค์หลวงปู่มั่นออกวิเวก ในช่วงนี้ เนื่องจากหลวงปู่อ่อนสีเห็นว่า ในพื้นที่ภาคอีสาน เป็นพื้นที่ที่มีศิษย์องค์หลวงปู่มั่นมากขึ้น สามารถเข้ามาถวายอุปัฏฐากได้

โดยมีรายละเอียดเหตุการณ์ตามลำดับ ดังนี้

1) ประวัติวัดป่าโนนนิเวศน์

          วัดโนนนิเวศน์ เริ่มสร้างเมื่อ พ.ศ. 2477 โดยมี ขุนชาญอักษร (นวล) - นางพรม สรรพอาสา เป็นหัวหน้าชักชวนชาวบ้านริเริ่มสร้างเป็นวัดขึ้น เรียกกันว่าวัดป่า

          บรรยากาศดั้งเดิมนั้น กล่าวกันว่าเป็นป่าช้า ทิ้งศพนักโทษ บรรยากาศน่ากลัว สงบสงัด ซึ่งถูกกับองค์หลวงปู่มั่น ที่ท่านมักจะอยู่ภาวนาในสถานที่เช่นนี้ ซึ่งแตกต่างจากในปัจจุบันที่อยู่ในพื้นที่เมืองแล้ว  ตามที่หลวงตามหาบัว ได้กล่าวถึงบรรยากาศดั้งเดิมกับสภาพในปัจจุบันในกัณฑ์เทศน์ ลูกศิษย์คิดทำลายครู เมื่อวันที่ 28 มี.ค. 2545 ณ วัดป่าบ้านตาด ไว้ดังนี้

          "... แต่ก่อนเขาเรียกวัดป่าโนนนิเวศน์ ป่าจริง ๆ ใครไม่กล้าไปแถวนั้น คือป่าช้า จุดรวมก็วัดมัชฌิมาวาส นั้นละจุดรวมเมืองอุดรแต่ก่อน วัดมัชฌิมาวาส บ้านห้วย นี้สุดตรงนั้น จากนั้นเป็นป่าเป็นอะไร เป็นป่าช้าไปหมดเข้าถึงวัดโนนนิเวศน์ ห่างไกลเป็นกิโล ดูเหมือนกิโลกว่า เดี๋ยวนี้มันกลายเป็นป่าคน ทีแรกป่าช้าผีตายเต็มหมด เดี๋ยวนี้ป่าช้าผีเป็นเต็มไปหมด ไม่มีป่าที่ไหนเลย จึงเรียกว่ากลางเมืองแล้วแหละเดี๋ยวนี้วัดโนนนิเวศน์ เราไม่เคยไปพักหรือยังไงนา แต่การไปการมาธรรมดานั้นไปมาบ่อย แต่ที่ไปพักค้างคืนจริง ๆ ดูไม่ปรากฏนะ

คือโนนนิเวศน์นี้เป็นป่าช้าล้วน ๆ แต่ก่อน เรียกว่าป่าจริง ๆ ป่าช้า แล้วก็เป็นดงหมดเลย เขาจึงเรียกว่าวัดป่าโนนนิเวศน์ ห่างจากหมู่บ้านจริง ๆ วัดมัชฌิมาวาส สุดเขตของเมืองอุดร เรียกว่าชานเมืองสุด จากนั้นก็เป็นวัด ไปถึงโน้นก็เป็นวัดโนนนิเวศน์ ดูเหมือนจะกิโลกว่าละมั้ง เดี๋ยวนี้ก็ดูเอาซิ ผู้คนหนาแน่นเข้าทุกวัน ๆ ..." (หลวงตามหาบัว ญาณสมฺปนฺโนhttps://luangta.com/thamma-luangta/result/detail?id=150)


พระธรรมเจดีย์ (จูม พนฺธุโล) ท่านได้อาราธนาองค์หลวงปู่มั่น ภูริทตฺโต จากเชียงใหม่มายังแผ่นดินอีสาน ในปี พ.ศ. 2483 (รูปจาก ฐานข้อมูล Admin)

2) ท่านเจ้าคุณพระธรรมเจดีย์นิมนต์มาจำพรรษา

          ท่านเจ้าคุณพระธรรมเจดีย์ (จูม พนฺธุโร) ได้เห็นถึงประโยชน์แก่หมู่คณะศิษย์องค์หลวงปู่มั่น ที่โดยส่วนใหญ่ คือ ชาวภาคอีสาน ท่านเจ้าคุณฯ ได้พยายามเขียนจดหมายไปนิมนต์ แต่ยังไม่เป็นผล

เมื่อกาลปรากฏว่า องค์หลวงปู่มั่นเริ่มปรารภที่จะกลับคืนสู่ภาคอีสานให้หลวงปู่เทสก์ได้ทราบ เมื่อหลวงปู่เทสก์ได้กลับมายังภาคอีสานล่วงหน้าก่อนในออกพรรษาปี พ.ศ. 2481 หลวงปู่เทสก์ได้มากราบเรียนโอกาสอันสำคัญนี้แก่ท่านเจ้าคุณฯ ที่จะได้เตรียมการนิมนต์องค์หลวงปู่มั่นกลับสู่ภาคอีสาน 

จนกระทั่งท่านเจ้าคุณฯ ได้เดินทางไปนิมนต์ที่เชียงใหม่ด้วยองค์ท่านเอง ในช่วงเดือนพฤษภาคม พ.ศ. 2483 ณ วัดเจดีย์หลวง องค์หลวงปู่มั่นได้รับนิมนต์ ภายหลังวันวิสาขบูชา (ซึ่งตรงกับวันที่ 21 พฤษภาคม พ.ศ.2483 Admin) ผ่านไปแล้ว ท่านได้เดินทางจากเชียงใหม่ลงมากรุงเทพฯ พักที่วัดบรมนิวาส จากนั้นจึงเดินทางมายัง จ.นครราชสีมา พักที่วัดป่าสาลวัน ต่อจากนั้นจึงเดินทางมายัง จ.อุดรธานี มายังวัดโพธิสมภรณ์ก่อน จากนั้น ท่านเจ้าคุณฯ ได้เตรียม วัดป่าโนนนิเวศน์ เป็นที่จำพรรษาขององค์หลวงปู่มั่น โดยมีรายละเอียดดังนี้

... ในระยะนี้ท่านเจ้าคุณพระธรรมเจดีย์กำลังสนใจในกัมมัฏฐาน และในตัวของท่านอาจารย์มั่นมาก แท้จริงเจ้าคุณธรรมเจดีย์เมื่อเป็นสามเณรก่อนจะไปเรียนหนังสือที่กรุงเทพฯ ก็เคยเป็นลูกศิษย์ของท่านอาจารย์เสาร์ ท่านอาจารย์มั่นมาก่อนแล้ว แต่ไม่ได้สนใจในธรรมปฏิบัติ หลังจากนั้นมา ก็เห็นจะเป็นครั้งผูกพัทธสีมาวัดโพธิสมภรณ์นั้นกระมัง ที่ท่านได้สัมพันธ์ใกล้ชิดกับท่านอาจารย์ทั้งสอง มาตอนนี้ท่านสนใจมาก ถึงกับถามปฏิปทาและนิสัยใจคอของท่านอาจารย์ทั้งสองกับเราเสมอ บางครั้งยังให้เราแสดงธรรมที่ได้ยินได้ฟังมาจากท่านทั้งสองให้ฟังอีกด้วย เมื่อเรานำเอาธรรมของท่านอาจารย์มาแสดง รู้สึกว่าท่านตั้งใจฟังโดยความเคารพสงบนิ่งอย่างน่านับถือมาก... (หลวงปู่เทสก์ เทสรํสี, 2538:82-83)

... ข้าพเจ้า (หลวงปู่เทสก์) ได้ตามท่าน (องค์หลวงปู่มั่น) ไปเชียงใหม่ด้วย เจ้าพระคุณ (พระธรรมเจดีย์) ได้สั่งหนักหนาว่า ขอให้ตามนิมนต์ท่านอาจารย์ (องค์หลวงปู่มั่น) มาให้ได้ เมื่อข้าพเจ้าไปถึงเชียงใหม่ อยู่จำพรรษากับท่านสี่พรรษาแล้ว ภายหลังข้าพเจ้าจึงได้ปรารภถึงผู้สนใจในการปฏิบัติธรรมทางภาคอีสาน โดยอ้างเอาเจ้าคุณพระธรรมเจดีย์ (สมัยท่านยังเป็นพระเทพกวี) และพุทธบริษัททั่วๆ ไปมาเป็นเหตุ ไปมาเป็นเหตุผล ตอนท้ายท่านเห็นด้วยโดยนัยตามนิสัยของท่าน ข้าพเจ้าจึงได้มีจดหมายมาเรียนท่าน พร้อมด้วยแนะนำแนวที่จะไปนิมนต์.. (หลวงปู่เทสก์ เทสรํสี, 2506:36)

... ภายหลังท่านเจ้าคุณพระธรรมเจดีย์ได้ให้อาจารย์อุ่น ธมฺมธโร ไปนิมนต์ท่านอาจารย์มั่นที่เชียงใหม่ แต่ก็ไม่เป็นผล ไปเล่าเรื่องฉันเจ (มังสวิรัติ) ให้ท่านฟังจนเป็นเหตุให้หมู่คณะทะเลาะแตกแยกกัน ท่านอาจารย์มั่นบอกว่า พระอรหันต์ทั้งหลายท่านไม่ทะเลาะกันเพราะเรื่องกินเรื่องขี้ดอก อะไรพวกเราจะมาทะเลาะกันเพราะเรื่องพรรค์นี้

เมื่อเจ้าคุณพระธรรมเจดีย์ฯ ลงไปกรุงเทพ ฯ ด้วยกิจคณะสงฆ์ พอเสร็จแล้วท่านจึงเลยไปเชียงใหม่แล้วนิมนต์ด้วยตนเอง ท่านอาจารย์มั่นบอกว่า เออ! อย่างนี้ซิ นิมนต์ด้วยหนังสือใหญ่ (คือนิมนต์ด้วยตนเอง) ... (หลวงปู่เทสก์ เทสรํสี, 2538:82-83)


วิหารองค์หลวงปู่มั่น ภูริทตฺโต และหลวงปู่ภูมี ฐิตธมฺโม ณ วัดป่าโนนนิเวศน์ อ.เมือง จ.อุดรธานี (รูปโดย Admin)

3) พระผู้เป็นหลักของหมู่คณะประกาศมรรคผล

... ท่านเจ้าคุณธรรมเจดีย์ได้จัดเสนาสนะถวายท่านอาจารย์มั่นฯ เพื่อจำพรรษาที่วัดป่าโนนนิเวศน์ ท่านก็ได้พักจำพรรษาที่วัดป่าโนนนิเวศน์ ใน พ.ศ 2483-พ.ศ 2484 ครั้งนี้ก็เป็นการเปิดเผยตัวของท่านอาจารย์มั่น ฯ อีกครั้งหนึ่ง หลังจากท่านได้ปลีกตัวอยู่ในถ้ำภูเขา ซ่อนเร้นเพื่อสมณธรรมอยู่เชียงใหม่ - เชียงรายเป็นเวลาถึง 12 ปี ที่ได้กล่าวว่าท่านได้เปิดเผยตัวนั้นก็คือ ท่านจำพรรษาอยู่ใกล้บ้าน และเปิดโอกาสให้พระภิกษุสามเณรทั้งหลายเข้าศึกษาและปฏิบัติอยู่กับท่านได้ และท่านก็อบรมและให้โอวาทแนะนำ และแก้ไขปฏิปทาต่าง ๆ ทั้งภายนอกและภายในให้อย่างไม่อั้น เป็นเหตุให้พระภิกษุสามเณรผู้สนใจในการปฏิบัติเพื่อพ้นทุกข์ ได้ทราบข่าวอันเป็นมงคลนี้อย่างรวดเร็ว พระเล็กเณรน้อย และพระเถรานุเถระจึงหลั่งไหลกันเข้ามามอบตัวเป็นศิษย์เป็นอันมาก

แม้ผู้เขียน (หลวงพ่อวิริยังค์) ได้สดับข่าวอันเป็นมงคลนี้เช่นกัน มีความกระตือรือร้นอยากที่จะมาหาท่านให้จงได้ แต่พระอาจารย์กงมา ผู้เป็นอาจารย์ของข้าพเจ้ายังไม่ให้โอกาส เพราะขณะนั้นท่านยังสร้างวัดทรายงาม บ้านหนองบัว จังหวัดจันทบุรีอยู่ ท่านก็บอกว่าจะพาไป ผู้เขียนก็พยายามทำความเพียรอย่างอุกฤษฏ์ไม่หลับไม่นอนตลอด เวลาหลายเดือนเพื่อเร่งความเพียรหวังเพื่อจะได้ศึกษาต่อกับพระอาจารย์มั่น ฯ จนเมื่อ พ.ศ 2484 ผู้เขียนก็ได้อุปสมบทเป็นพระภิกษุ และก็ได้ทำการรบเร้าพระอาจารย์กงมาเพื่อให้นำไปหาพระอาจารย์มั่นฯ ให้ได้ ปีนี้ออกพรรษาแล้ว ท่านอาจารย์กงมา ก็ได้พาผู้เขียนเดินธุดงค์จากจังหวัดจันทบุรี ผ่านพระตะบอง จังหวัดมงคลบุรี ศรีโสภณ ตัดขึ้นไปอรัญประเทศ และข้ามภูเขาไปที่ถ้ำวัวแดง ผ่านอำเภอกระโทก เข้าจังหวัดนครราชสีมา ต่อไปถึงจังหวัดขอนแก่น อุดรฯ แล้วตรงไปจังหวัดสกลนคร พบกับท่านอาจารย์มั่นฯ ที่บ้านโคก ต.ตองโขบ อ. เมือง จ.สกลนคร อันเป็นบ้านเกิดเมืองนอนของพระอาจารย์กงมาผู้เป็นอาจารย์ของผู้เขียน

พระอาจารย์มั่น ฯ ท่านเล่าให้ผู้เขียนฟังถึงการมาอยู่ที่วัดป่าโนนนิเวศน์ อุดรธานีว่า เจ้าคุณธรรมเจดีย์ (จูม พนฺธุโล) มีความประสงค์จะอยู่ใกล้ชิดเพื่อขอการแนะนำในทางจิตอันที่จะเป็นแนวทางที่ถูกต้อง และเพื่อความอบอุ่นของคณะ เพราะเวลานั้นความมั่นคงของคณะไม่ค่อยจะดี พระเถระผู้ใหญ่ฝ่ายกรรมฐานได้ไปอยู่คนละทิศละทาง การกระทบเพื่อความมั่นคงของคณะมีมาก และกำลังพระภิกษุสามเณรมีน้อย ที่เป็นเช่นนี้เพราะขาดหลักที่ยืดถือ หมายถึงพระเถระผู้ทรงคุณวุฒิที่เป็นแกนกลาง เจ้าคุณธรรมเจดีย์เองท่านเป็นเจ้าคณะพระผู้ใหญ่ก็จริง แต่ยังไม่สามารถจะรวมกำลังของพระภิกษุสามเณรที่เป็นพระปฏิบัติได้ หากสถานการณ์เป็นเช่นนี้ความร่อยหรอของพระภิกษุสามเณรก็จะมีมากยิ่งขึ้น ก็จะเป็นการอ่อนแอของคณะได้

ดังนั้นพระอาจารย์มั่นฯ ท่านจึงได้สละเวลาถึง ๓ ปี ในการที่อยู่ที่วัดโนนนิเวศน์จังหวัดอุดรธานี หลังจากที่พระอาจารย์มั่นฯ ท่านมาอยู่ที่นี้แล้ว พระเถรานุเถระทั้งหลายจำนวนมากเมื่อทราบข่าวต่างก็พากันมา เพื่อศึกษาธรรมปฏิบัติ เป็นเหตุให้เกิดพลังคณะสงฆ์ขึ้น เพราะท่านพระเถรานุเถระเหล่านี้เป็นที่เลื่อมใสของอุบาสกอุบาสิกาพระภิกษุสามเณรเป็นอันมาก เมื่อพระเถรานุเถระมารวมกันมาก ท่านพระอาจารย์มั่นฯ ท่านก็ให้แยกย้ายกันออกไปอยู่แห่งละ 5 องค์ 10 องค์ ถึงเวลาอันควร พระเถรานุเถระเหล่านี้ก็เข้าไปอยู่ศึกษาธรรมปฏิบัติเป็นครั้งคราว และก็ได้รับประโยชน์อย่างมากทั้งด้านจิตใจและปฏิปทา จนเป็นต้นเหตุให้เกิดวัดป่าขึ้นอีกนับร้อย ๆ วัดป่าคือสถานปฏิบัติธรรมที่ท่านพระเถรานุเถระที่มาศึกษาธรรมจากท่านพระอาจารย์มั่นฯ ท่านเอง


อัฐบริขารเก่าที่จัดแสดงใน วิหารองค์หลวงปู่มั่น ภูริทตฺโต และหลวงปู่ภูมี ฐิตธมฺโม ณ วัดป่าโนนนิเวศน์ อ.เมือง จ.อุดรธานี (รูปโดย Admin)

ฉะนั้นการมาอยู่ของพระอาจารย์มั่นฯ 3 ปี ที่จังหวัดอุดรธานีจึงถือว่าเป็นการฟื้นฟูคณะธรรมยุติครั้งยิ่งใหญ่ที่จังหวัดอุดรธานีจนถึง จังหวัดหนองคาย – นครพนม เป็นต้น ความเป็นพลังคณะสงฆ์ปรากฏเด่นชัดขึ้นตามลำดับ จนถึงกับพระปฏิบัติสายพระอาจารย์มั่นฯ ต้องมารับหน้าที่ฝ่ายปกครองเป็นเจ้าคณะ เราอาจกล่าวได้ว่า ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ (ภาคอีสาน) กำลังพระธรรมยุติเป็นอันดับหนึ่งของประเทศไทย รับข้อปฏิบัติอันเป็นปฏิปทาของพระอาจารย์มั่นฯ แม้จะเข้ามาบริหารหมู่คณะ เป็นฝ่ายปกครองได้รับการเชื่อถือจากมหาชนอย่างมาก ประโยชน์อันจะเกิดขึ้นอย่างใหญ่หลวงแก่คณะนี้เอง ที่ทำให้พระอาจารย์มั่น ได้กลับจากเชียงใหม่ตามคำอาราธนาของท่านเจ้าคุณพระธรรมเจดีย์ (จูม พนฺธุโล)

ทั้งนี้ก็ต้องระลึกถึงพระคุณของท่านเจ้าคุณธรรมเจดีย์ (จูม พนฺธุโล) ที่ท่านมีสายตาอันยาวไกลเพื่อหมู่คณะมิใช่เพียงเพื่อตัวของท่านเอง ด้วยความพยายามอย่างยิ่งเป็นเวลาหลายปีกว่าจะอาราธนาให้ท่านอาจารย์มั่นฯ กลับภาคอีสานได้ "ลบไม่ศูนย์" คือความดีงามและความเห็นประโยชน์แก่ส่วนรวม ความประเสริฐเลิศยิ่งแห่งความบริสุทธิ์ใจแก่หมู่คณะธรรมยุติ ภาคอีสาน ที่จะต้องจารึกไว้นี้เอง คือคำว่า "ลบไม่ศูนย์" ของท่านเจ้าคุณธรรมเจดีย์ (จูม พนฺธุโล) ... (หลวงพ่อวิริยังค์ สิรินฺธโร)

... ปกติท่านเจ้าคุณเป็นผู้สนใจในธรรมปฏิบัติเป็นประจำนิสัยมาดั้งเดิม ถ้าพูดคุยธรรมกับท่านนานเท่าไร ท่านไม่แสดงอาการเหน็ดเหนื่อยให้ปรากฏเลย ยิ่งเป็นธรรมฝ่ายปฏิบัติด้วยแล้ว ท่านยิ่งชอบเป็นพิเศษ ท่านรักและเลื่อมใสท่านอาจารย์มั่นมาก เวลาท่านพระอาจารย์อยู่อุดรฯ ท่านเป็นผู้เอาใจใส่เป็นพิเศษ และคอยสอบถามความสุขทุกข์ท่านอาจารย์จากใครต่อใครอยู่เสมอ นอกจากนั้นยังพยายามชักชวนให้ประชาชนไปรู้จักและสนิทสนมกับท่านอาจารย์อยู่เสมอ ถ้าเขาไม่กล้าไป ท่านเป็นผู้พาไปเองโดยไม่เห็นแก่ความเหน็ดเหนื่อย คุณธรรมท่านในข้อนี้รู้สึกว่าเด่นมากเป็นพิเศษและน่าเลื่อมใสมาก ....

ท่านพักจำพรรษาอยู่จังหวัดอุดรฯ นับว่าได้ทำประโยชน์แก่ประชาชนพระเณรอย่างมากมาย แถบจังหวัดและอำเภอใกล้เคียงกับจังหวัดอุดรฯ ที่ท่านพักอยู่ มีประชาชนและพระสงฆ์ทยอยกันมาบำเพ็ญกุศลและสดับธรรมท่านมิได้ขาด เพราะท่านเหล่านี้โดยมากก็เคยเป็นลูกศิษย์เก่าแก่ สมัยที่ท่านมาบำเพ็ญอยู่ก่อนเดินทางไปจังหวัดเชียงใหม่แล้ว ดังนั้น เมื่อทราบว่าท่านมาจึงต่างมีความดีใจกระหยิ่มยิ้มแย้ม อยากมาพบมาเห็นและทำบุญให้ทานสดับตรับฟังโอวาทกับท่าน

ในระยะนั้นอายุท่านยังไม่แก่นัก ราว 70 ปี การไปมาในทิศทางใดก็พอสะดวกอยู่บ้าง ประกอบกับท่านมีนิสัยคล่องแคล่วว่องไวลุกง่ายไปเร็วอยู่ด้วย และไม่ชอบอยู่ในที่แห่งเดียวเป็นประจำ ชอบเที่ยวซอกแซกตามป่าตามเขาที่เห็นว่าสงบสงัดปราศจากสิ่งก่อกวน ... (หลวงตามหาบัว ญาณสมฺปนฺโน)


อุโบสถวัดป่าโนนนิเวศน์ อ.เมือง จ.อุดรธานี (รูปโดย Admin)

4) ปัญหาของชาวอุดรธานี

          จากบันทึกประวัติหลวงปู่มั่น โดย หลวงตามหาบัว ได้กล่าวถึงคำถามที่ชาวอุดรธานี กราบเรียนถามองค์หลวงปู่มั่น ซึ่งค่อนข้างเป็นปัญหาทางโลก มีรายะเอียด ดังนี้

... ที่อุดรฯ ก็ปรากฏว่า มีผู้มาเรียนถามปัญหาธรรมกับท่านบ่อย ๆ เช่นที่อื่น ๆ เหมือนกัน ปัญหาที่เขาถามท่านมีคล้ายคลึงกับปัญหาที่ผ่านมาแล้วก็มี ที่แปลกต่างกันออกไปตามความคิดเห็นของผู้ถามก็มี ที่คล้ายคลึงกันได้แก่ ปัญหาที่เกี่ยวกับบุพเพสันนิวาสของสัตว์ที่เคยสร้างความดีมาเป็นลำดับ ไม่ละนิสัยวาสนาของตนหนึ่ง บุพเพสันนิวาสของสามีภริยาที่เคยครองรักอยู่ร่วมกันมาหนึ่ง ทั้งสองข้อนี้ท่านว่ามีผู้สงสัยถามมากกว่าข้ออื่น ๆ ในข้อแรกท่านมิได้ระบุปัญหาที่เขาถามลงอย่างชัดเจนว่า เขาถามอย่างนั้น ๆ เป็นแต่ท่านปรารภแล้วอธิบายไปเองทีเดียวว่า สิ่งเหล่านี้ ต้องมีการริเริ่มก่อตั้งเจตนาขึ้นมา ให้เป็นทางเดินแห่งภพชาติของผู้จะเกี่ยวข้องกับตน และตนจะเกี่ยวข้องกับผู้นั้น ...  (หลวงตามหาบัว ญาณสมฺปนฺโน)

4.1 บุพเพสันนิวาสจะเคียงคู่กันไปตลอดต้องทำอย่างไร

... ส่วนข้อต่อมาท่านระบุปัญหาที่เขาถามว่า คำว่า บุพเพสันนิวาสนี้ เราจะรู้ได้อย่างไรว่า หญิงชายรักกันอย่างนี้เป็นบุพเพสันนิวาส รักกันอย่างนั้นไม่ใช่บุพเพสันนิวาส และอยู่ร่วมกันกับคนนี้เป็นบุพเพสันนิวาส อยู่ร่วมกันกับคนนั้นมิใช่บุพเพสันนิวาส ท่านตอบว่าสำหรับพวกเรายากจะมีทางทราบได้ว่า รักอย่างนั้นและรักคนนั้นเป็นบุพเพสันนิวาส รักอย่างนั้นและรักคนนั้นมิใช่บุพเพสันนิวาส ก็รักและอยู่ร่วมกันไปแบบคนตาบอด เกิดความหิวจัดคว้าหาอาหารมารับประทานนั่นแล อะไรถูกมือก็รับไปพอประทังชีวิตไปวันหนึ่ง ๆ บุพเพสันนิวาสก็เช่นเดียวกัน ทั้งที่มีอยู่กับสัตว์บุคคลทั่วไป แต่จะคว้าถูกจุดของบุพเพสันนิวาส คือรักและอยู่ร่วมกับผู้เคยเป็นบุพเพสันนิวาสกันนั้น เป็นสิ่งที่หาเจอได้ยากมาก เนื่องจากกิเลสตัวรักๆ นี้มันมิได้ไว้หน้าใคร และมิได้รอคอยให้บุพเพสันนิวาสมาวินิจฉัยหรือตัดสินก่อนมัน ขอแต่ว่าเป็นหญิงหรือเป็นชายที่ต้องกับเพศและนิสัยของมันแล้ว เป็นต้องรักและคว้าดะไปเลย

กิเลสตัวรักนี่แลพาให้คนเป็นนักต่อสู้แบบไม่รู้จักเป็นรู้จักตาย ไม่รู้จักสูงจักต่ำ ไม่รู้จักใกล้จักไกล ไม่รู้จักเลือกสรรปันแบ่งว่ามากไปหรือน้อยไป ควรหรือไม่ควรเพียงใด มีแต่จะสู้ตายเอาท่าเดียวไม่ยอมแพ้ แม้จะพลาดท่าหรือตายไปก็ยังไม่ยอมทิ้งลวดลายที่เคยเป็นนักต่อสู้เอาเลย นี่แลเรื่องของกิเลสตัวรัก มันแสดงตัวเด่นอยู่ในหัวใจของสัตว์โลกอย่างเปิดเผย ไม่ยอมอยู่ใต้อำนาจของใครเอาง่าย ๆ ผู้ต้องการมีหลักฐานและความมีประมาณเป็นเครื่องทรงตัวไว้บ้าง จึงไม่ควรปล่อยให้มันวิ่งแซงหน้าไปตามนิสัยโดยถ่ายเดียว ควรมีการหักห้ามกันบ้างพอมีทางตั้งตัว แม้จะไม่ทราบบุพเพสันนิวาสของตัว ก็ยังพอมีทางยับยั้งใจได้บ้าง ไม่ถูกมันจับถูไถเข้าถ้ำเข้ารูลงเหวตกบ่อไปท่าเดียว

ความรู้บุพเพสันนิวาสของตนนี้ ถ้าไม่ใช่นักปฏิบัติจิตตภาวนา ซึ่งมีนิสัยในทางรู้เหตุการณ์ต่าง ๆ ก็ยากที่จะทราบได้ แต่อย่างไรก็ตาม เราควรมีสติหักห้ามมันอยู่เสมอ อย่าปล่อยให้มันพาไหลลงสู่ที่โสมมแบบน้ำล้นฝั่งไม่มีอะไรกั้นก็แล้วกัน ยังพอจะมีหวังครองตัวไปได้ ไม่จอดจมหล่มลึกลงในกลางทะเลแห่งความรักอันไม่มีประมาณโดยถ่ายเดียว

เขาถามท่านอีกปัญหาหนึ่งว่า "ระหว่างสามีภริยาที่อยู่ร่วมกันด้วยความผาสุกเย็นใจตลอดมา ไม่ประสงค์จะให้พลัดพรากจากกันในภพต่อไป เกิดในชาติใดภพใดขอให้ได้เป็นสามีภริยากันตลอดไป จะปฏิบัติอย่างไรจึงจะสมหวัง ถ้าต่างคนต่างตั้งความปรารถนาให้ได้พบกันทุกภพทุกชาติจะเป็นไปได้ไหม" ท่านตอบว่า "ความปรารถนานั้นเป็นเพียงเส้นทางเดินของจิตใจผู้มุ่งหมายเท่านั้น ถ้าไม่ดำเนินตามความปรารถนาก็ไม่เกิดประโยชน์ตามความมุ่งหมาย เช่น คนต้องการเป็นคนร่ำรวย แต่เกียจคร้านในการแสวงหาทรัพย์ ความร่ำรวยก็เป็นไปไม่ได้ ต้องอาศัยความขวนขวายตามเจตนาจำนงที่ตั้งไว้ด้วยจึงจะสมหวัง

นี่ก็เหมือนกัน ถ้าต้องการเป็นสามีภริยาครองรักกันอย่างมีความสุขทุกภพทุกชาติไป ไม่อยากพลัดพรากจากกัน ต้องมีจิตใจคือทรรศนะตรงกัน ต่างคนต่างอยู่ในขอบเขตของกันและกัน ไม่ชอบแสวงหาเศษหาเลยอันเป็นการทำลายจิตใจและความสุขความไว้วางใจกัน ต่างคนเป็นผู้รักศีลรักธรรม มีความประพฤติดีไว้วางใจกันได้ ความรู้ความเห็นลงรอยกัน ต่างพยายามรักษาความปรารถนาด้วยการทำดี ย่อมมีทางสมหวังได้ ไม่เหนือความพยายามของผู้ปรารถนาไปได้เลย แต่ถ้าความประพฤติทุกด้านแบบตรงกันข้าม หรือสามีดีแต่ภริยาชั่ว หรือภริยาดีแต่สามีชั่ว ต่างคนต่างทำความชอบใจ ไม่ลงรอยกัน แม้ต่างจะปรารถนาสักกี่ร้อยกี่พันครั้งก็ไม่มีทางสำเร็จ เพราะเป็นการทำลายความปรารถนาของตน"

ท่านย้อนถามว่า "โยมปรารถนาเพียงอยากอยู่ร่วมกันเท่านั้น ไม่ปรารถนาอะไรอื่นบ้างหรือ" เขาตอบท่านว่า "นอกนั้นก็ไม่ทราบว่าจะปรารถนาอะไรอีก เพราะความปรารถนาอยากได้เงินได้ทอง อยากได้บริษัทบริวาร อยากได้ยศถาบรรดาศักดิ์ อยากเป็นพระมหากษัตริย์ อยากไปสวรรค์นิพพาน ก็ยังอดลืมภริยาซึ่งเป็นที่รักไม่ได้อยู่นั่นเอง เพราะนี้เป็นจุดใหญ่แห่งความปรารถนาของโลก เลยต้องปรารถนาสิ่งนี้ซึ่งเป็นเรื่องใหญ่สำหรับปุถุชนก่อน จากนั้นถ้าพอเป็นไปได้ค่อยพิจารณากันไป กระผมจึงเรียนถามเรื่องนี้ก่อน แม้กลัวท่านดุและอายท่านก็ทนเอา เพราะความจริงของโลกโดยมากเป็นกันอย่างนี้ทั้งนั้น เป็นแต่จะกล้าพูดหรือไม่เท่านั้น"

ท่านหัวเราะแล้วถามเขาว่า "ถ้าเป็นดังที่ว่านี้ โยมไปไหนก็จะต้องเอาแม่เด็กไปด้วยใช่ไหม" เขาหัวเราะบ้างแล้วเรียนท่านว่า "กระผมอายจะเรียนท่านตามความหยาบของปุถุชนที่เป็นอยู่ภายใน แต่ความจริงแล้วเท่าที่กระผมยังบวชไม่ได้จนบัดนี้ ก็เพราะเป็นห่วงแม่เด็ก กลัวเขาจะว้าเหว่เป็นทุกข์ ไม่มีผู้ปรึกษาปรารภและให้ความอบอุ่นแก่เขาเท่าที่ควร ลูก ๆ นอกจากจะมารบกวนขอเงินไปซื้อนั่นซื้อนี่ และเรื่องอื่น ๆ ซึ่งเป็นเรื่องกวนใจให้ยุ่งแล้ว ก็ยังมองไม่เห็นว่าเขาจะมีความสามารถทำให้แม่มีความอบอุ่น และสบายใจได้ในทางใดบ้าง ผมจึงอดเป็นห่วงเขามิได้ ... (หลวงตามหาบัว ญาณสมฺปนฺโน)


โครงกระดูกสำหรับพิจารณากายคตาสติ บนศาลาการเปรียญ วัดป่าโนนนิเวศน์ อ.เมือง จ.อุดรธานี (รูปโดย Admin)

4.2 ความสุขทางโลกหรือทางธรรมอยู่ที่ใครจะเห็นคุณค่า

... อีกประการหนึ่งสวรรค์ชั้นนั้น ๆ ตามธรรมท่านบอกไว้ว่ามีทั้งเทวบุตรเทวธิดา ซึ่งแสดงว่ามีทั้งหญิงทั้งชายเหมือนแดนมนุษย์เรา และมีความสุขความสำราญด้วยเครื่องบำรุงบำเรอนานาชนิด ซึ่งเป็นสถานที่น่าไปและน่าอยู่มาก แต่พรหมโลกไม่ปรากฏว่ามีเทวบุตรเทวธิดาเหมือนมนุษย์และสวรรค์เลย เมื่อเป็นเช่นนั้นจะไม่ว้าเหว่ไปหรือ เพราะไม่มีผู้คอยปลอบโยนเอาอกเอาใจในเวลาเกิดความหงุดหงิดใจขึ้นมา ยิ่งนิพพานด้วยแล้วยิ่งไม่มีอะไรไปเกี่ยวข้องสัมผัสเอาเลย เป็นตัวของตัวโดยสมบูรณ์ทุกอย่าง ไม่ต้องอาศัยสิ่งอื่นผู้อื่นใดเข้าไปช่วยเหลือหรือเกี่ยวข้องบ้างเลย เป็นตัวของตัวแท้ ๆ แล้วจะมีอะไรเป็นที่ภาคภูมิใจและเทิดเกียรติว่า ผู้ถึงนิพพานแล้วเป็นผู้ได้รับความภาคภูมิใจ ทั้งเกียรติยศชื่อเสียงเรียงนามและความสุขความสบายจากบรรดาท่านผู้ถึงนิพพานด้วยกัน อย่างมนุษย์ผู้มีฐานะดีมีสมบัติมาก มีเกียรติยศสูงได้รับความยกย่องสรรเสริญจากเพื่อนมนุษย์หญิงชายด้วยกัน

ท่านที่ไปนิพพานแล้วเห็นเงียบไปเลย ไม่มีพวกเดียวกันยกย่องสรรเสริญท่าน จึงทำให้สงสัยว่าการเงียบไปเลยเช่นนั้นจะเป็นความสุขได้อย่างไร กระผมต้องขอประทานโทษที่มาถามบ้า ๆ บอ ๆ ไม่เข้าเรื่องเข้าราวเหมือนคนที่มีสติทั่ว ๆ ไป แต่ก็เป็นความสงสัยทำให้ลำบากใจอยู่ไม่หาย ถ้าไม่ได้เรียนถามท่านผู้รู้ให้หายสงสัยเสียก่อน

ท่านตอบว่า "สวรรค์ พรหมโลก และนิพพานมิได้มีไว้เฉพาะคนขี้สงสัยแบบโยม แต่มีไว้สำหรับผู้มองเห็นคุณค่าของตัว และคุณค่าของสวรรค์ พรหมโลก และนิพพาน ว่าเป็นของดีมีคุณค่าต่างกันขึ้นไปตามลำดับชั้น และความดีของผู้ที่ควรจะได้จะถึงตามลำดับ คนแบบโยม สวรรค์ พรหมโลก และนิพพานคงมิได้ฝันถึงเลย แม้โยมจะไปก็ยังไปไม่ได้ถ้าแม่เด็กยังอยู่ หรือแม้แม่เด็กตายไป โยมก็จะอดคิดถึงไม่ได้ แล้วจะมีโอกาสคิดถึงสวรรค์นิพพานพอจะหาเวลาคิดเพื่อจะไปได้อย่างไร แม้พรหมโลกและนิพพานก็มิได้ดีกว่าแม่เด็กสำหรับความรู้สึกของโยม เพราะพรหมโลกและนิพพานบำรุงบำเรอโยมไม่เป็นเหมือนแม่เด็ก โยมจึงสงสัยและไม่อยากไป กลัวจะขาดผู้บำเรอ (ตอนนี้ท่านว่าทั้งท่านทั้งเขาหัวเราะถูกใจ)

อันความสุขที่เกิดจากสิ่งต่าง ๆ นั้น แม้ในโลกมนุษย์เรายังต่างกันตามชนิดของสิ่งนั้น ๆ ที่มีรสต่างกัน แม้ประสาทเครื่องรับสิ่งเหล่านั้นที่มีอยู่ในร่างกายอันเดียวกัน ก็ยังนิยมรับสัมผัสต่าง ๆ กัน เช่น ตาชอบสัมผัสทางรูป หูชอบสัมผัสทางเสียง จมูกชอบสัมผัสทางกลิ่น ลิ้นชอบสัมผัสทางรส กายชอบสัมผัสทางเย็นร้อนอ่อนแข็ง ใจชอบสัมผัสทางอารมณ์ต่าง ๆ ตามหน้าที่และความนิยมของตน จะให้รสนิยมเหมือนกันย่อมไม่ได้ การรับประทานเป็นความสุขทางหนึ่ง การพักผ่อนนอนหลับเป็นความสุขทางหนึ่ง การครองรักตามประเพณีของโลกเป็นความสุขทางหนึ่ง แต่อย่าลืมว่า การทะเลาะกันเพราะความเห็นขัดแย้งกันด้วยเรื่องต่าง ๆ ก็เป็นความทุกข์ทางหนึ่ง ฉะนั้น โลกจึงไม่ขาดจากการสัมพันธ์ติดต่อกันกับสิ่งที่ตนเห็นว่าเป็นความสุขตลอดมา และจำต้องแสวงกันทั่วโลก จะขาดมิได้

ความสุขในมนุษย์และสัตว์ที่ได้รับตามภูมิของตนเป็นความสุขประเภทหนึ่ง ความสุขในสวรรค์และพรหมโลกเป็นความสุขประเภทหนึ่ง ความสุขในพระนิพพานของท่านผู้สิ้นกิเลสเครื่องกังวลใจโดยประการทั้งปวงเป็นความสุขประเภทหนึ่ง ต่างจากความสุขที่โลกมีกิเลสทั้งหลายได้รับกัน จะให้เป็นความสุขเหมือนแม่เด็กเสียทุกอย่างแล้ว โยมก็ไม่จำเป็นต้องดูรูปฟังเสียง รับประทานอาหารพักผ่อนหลับนอน และแสวงหาคุณงามความดีมีการให้ทานรักษาศีลภาวนาเป็นต้นให้ลำบาก เพียงอยู่กับแม่เด็กเท่านั้น ความสุขจากสิ่งต่าง ๆ ก็ไหลมารวมในที่นั้นหมด ซึ่งเป็นการตัดปัญหาความยุ่งยากลงได้เยอะแยะ แต่คุณจะให้เป็นดังที่ว่านี้ได้ไหม?

เขาตอบว่า "โอ้โฮ จะได้อย่างไรท่านอาจารย์ แม้แต่กับแม่เด็กบางครั้งยังมีการทะเลาะกันได้ จะสามารถนำความสุขจากสิ่งต่าง ๆ มารวมกับเขาคนเดียวได้อย่างไร ก็ยิ่งจะทำให้ยุ่งใหญ่" ท่านเล่าว่า เขาเป็นคนมีนิสัยอาจหาญและตรงไปตรงมา ทั้งรักศีลรักธรรมดีมาก สำหรับฆราวาสที่มีความใฝ่ใจในธรรมและมีความจงรักภักดีต่อครูอาจารย์มากมาย ท่านจึงได้สละเวลาพูดคุยธรรมกันแบบพิเศษ เป็นกันเองแทบทุกครั้งที่เขามาเยี่ยมท่านเวลาปลอดจากแขก ปกติก็ไม่ค่อยมีใครสามารถมาถามท่านแบบเขาได้เลย เขาเป็นคนมีนิสัยรักลูกรักเมียมาก เคยมากราบเยี่ยมท่านบ่อยด้วยความรักเลื่อมใสท่านมาก เวลามีแขกอยู่กับท่าน เขาเพียงมากราบแล้วก็หลีกหนีไป ทำงานอะไรช่วยพระเณรไปตามนิสัยของคนสนิทกับวัด ถ้าไม่มีคนนั่นแลเป็นโอกาสที่เขาจะกราบเรียนถามเรื่องอะไรต่าง ๆ ตามแต่เขาถนัด ท่านชอบเมตตาเขาด้วยแทบทุกครั้งที่เขามาสบโอกาสเหมาะ ๆ

สำหรับท่านพระอาจารย์มั่นแล้ว ท่านฉลาดและรู้นิสัยของคนได้ดีมากหาที่ตำหนิมิได้ คนทุกชั้นทุกเพศทุกวัยมาหาท่าน การปฏิสันถารทางกิริยาจะไม่เหมือนกันเลย ทั้งการพูดธรรมดาและอรรถธรรมต้องต่างกันไปเป็นราย ๆ ของผู้มาเกี่ยวข้อง ดังที่เขียนผ่านมาบ้างแล้ว ท่านพักอยู่วัดโนนนิเวศน์ อุดรฯ พระมาจำพรรษากับท่านมากและที่มาอบรมศึกษามีมากตลอดมา วัดโนนนิเวศน์แต่สมัยก่อนที่ท่านพักอยู่มีความสงบมากกว่าทุกวันนี้ รถราผู้คนไม่มาก ผู้เข้าไปเกี่ยวข้องกับวัดโดยมากเป็นผู้หวังบุญกุศลจริง ๆ มิได้เข้าไปแบบทำลายทั้งที่มีเจตนาและไม่มีเจตนา การบำเพ็ญเพียรของพระเณรก็เต็มเม็ดเต็มหน่วยตามเวลาที่ต้องการ ฉะนั้นพระที่ทรงคุณธรรมทางใจจึงมีมากพอเป็นเครื่องอบอุ่นแก่ตัวเอง และประชาชนผู้หวังพึ่งความร่มเย็นของพระ ... (หลวงตามหาบัว ญาณสมฺปนฺโน)

5. การอบรมสั่งสอนพระภิกษุสงฆ์

... ตอนกลางคืนท่านอบรมพระเณร การแสดงธรรมโดยมากท่านเริ่มแต่ ศีล สมาธิ ปัญญา ขึ้นไปเป็นขั้น ๆ อย่างไม่มีจุดหมายว่าท่านจะไปจบในธรรมขั้นใด แสดงจนถึงวิมุตติหลุดพ้นอันเป็นจุดสำคัญของธรรม แล้วย้อนกลับมาแสดงเกี่ยวแก่ผู้ปฏิบัติว่าจะควรปฏิบัติตนอย่างไร จึงจะสามารถบรรลุจุดประสงค์ตามธรรมที่ท่านอบรมสั่งสอน การสอนพระในวงปฏิบัติ ท่านสอนเน้นลงในความเป็นผู้มีศีลสังวร โดยถือศีลเป็นสำคัญในองค์พระ พระจะสมบูรณ์ตามเพศของตนได้ต้องเป็นผู้หนักแน่นในศีล เคารพในสิกขาบทน้อยใหญ่ ไม่ล่วงเกินโดยเห็นว่าเป็นสิกขาบทเล็กน้อยไม่สำคัญอันเป็นลักษณะของความไม่ละอายบาป และอาจล่วงเกินได้ในสิกขาบททั่วไป เป็นผู้รักษาวินัยเคร่งครัด ไม่ยอมให้ศีลของตนด่างพร้อยขาดทะลุได้ อันเป็นเครื่องเสริมให้เป็นผู้มีความอบอุ่นกล้าหาญในสังคม ไม่กลัวครูอาจารย์หรือเพื่อนพรหมจรรย์จะรังเกียจหรือตำหนิ

พระในใจจะสมบูรณ์เป็นขั้น ๆ นับแต่พระโสดา ฯลฯ ถึงพระอรหันต์ได้ ต้องเป็นผู้หนักในความเพียรเพื่อสมาธิและปัญญาทุกชั้นจะมีทางเกิดขึ้นและเจริญก้าวหน้า สามารถชำระล้างสิ่งสกปรกรุงรังภายในใจออกได้โดยสิ้นเชิง อนึ่งคำว่าพระควรเป็นผู้เยี่ยมด้วยความสะอาดแห่งความประพฤติทางกายวาจา และเยี่ยมด้วยจิตที่ทรงไว้ซึ่งคุณธรรม คือสมาธิ ปัญญา วิมุตติ และวิมุตติญาณทัสสนะตามลำดับ ไม่ควรเป็นพระที่อับเฉาเศร้าใจ ไม่สง่าผ่าเผย หลบ ๆ ซ่อน ๆ เพราะปมด้อยคอยกระซิบอยู่ภายใน มีอะไรลึกลับทำให้ร้อนสุมอยู่ในใจนั้น มิใช่พระลูกศิษย์พระตถาคตผู้งดงามด้วยความประพฤติภายในภายนอก ไม่มีที่ต้องติ

แต่ควรเป็นพระที่องอาจกล้าหาญต่อการละชั่วทำดี ดำเนินตามวิถีรอยพระบาทที่ศาสดาพาดำเนิน เป็นผู้ซื่อตรงต่อตนเองและพระธรรมวินัยตลอดเพื่อนฝูง อยู่ที่ใดไปที่ใดมีสุคโตเป็นที่รองรับ มีโอชารสแห่งธรรมเป็นที่ซึมซาบ มีความสว่างไสวอยู่ด้วยสติปัญญาเป็นเครื่องส่องทาง ไม่อยู่อย่างจนตรอกหลอกตัวเองให้จนมุม นั่นคือพระลูกศิษย์พระตถาคตแท้ ควรสำเหนียกศึกษาอย่างถึงใจ ยึดไว้เป็นหลักอนาคตอันแจ่มใสไร้กังวล จะเป็นสมบัติที่พึงพอใจของผู้นั้นแน่นอน นี่เป็นปกตินิสัยที่ท่านอบรมพระปฏิบัติ

หลังจากการประชุมแล้ว ท่านผู้ใดมีข้อข้องใจก็ไปศึกษากับท่านเป็นราย ๆ ไปตามโอกาสที่ท่านว่าง ... (หลวงตามหาบัว ญาณสมฺปนฺโน)


ด้านบนกุฏิจำลององค์หลวงปู่มั่น ภูริทตฺโต วัดป่าโนนนิเวศน์ อ.เมือง จ.อุดรธานี (รูปโดย Admin)

6. กิจวัตรประจำวัน

... กิจประจำวัน ซึ่งมีติดต่อกันที่ท่านต้องปฏิบัติไม่ลดละไม่ว่าจะอยู่ในที่ใด

คือตอนเช้าออกจากที่ภาวนาแล้วลงเดินจงกรมก่อนบิณฑบาต

พอได้เวลาแล้วก็ออกบิณฑบาต

จากนั้นเข้าทางจงกรมเดินจงกรมจนถึงเที่ยงเข้าที่พัก พักจำวัดบ้างเล็กน้อย ลุกขึ้นภาวนาแล้วลงเดินจงกรม

บ่าย 4 โมงเย็น ปัดกวาดลานวัดหรือที่พักอยู่ขณะนั้น สรงน้ำแล้วเข้าทางจงกรมอีกเป็นเวลาหลายชั่วโมง

ออกจากที่จงกรมก็เข้าที่ไหว้พระสวดมนต์ การสวดมนต์ท่านสวดมากและสวดนานเป็นชั่วโมง ๆ เสร็จแล้วนั่งสมาธิภาวนาต่อไปตั้งหลายชั่วโมง คืนหนึ่ง ๆ ท่านพักจำวัดราว 4 ชั่วโมงเป็นอย่างมากในเวลาปกติ ถ้าเป็นเวลาพิเศษก็นั่งสมาธิภาวนาตลอดรุ่งไม่พักจำวัดเลย

ในวัยหนุ่มท่านทำความเพียรเก่งมาก ยากจะมีผู้เสมอได้ แม้ในวัยแก่ยังไม่ทิ้งลวดลาย เป็นแต่ผ่อนลงบ้างตามวิบากที่ทรุดโทรมลงทุกวันเวลา ที่ผิดกับพวกเราอยู่มากคือจิตใจท่านไม่แสดงอาการอ่อนแอไปตามวิบากธาตุขันธ์เท่านั้น นี่คือวิธีการของท่านผู้ดีเป็นคติแก่โลกดำเนินมา มิได้ทอดทิ้งปล่อยวางหน้าที่ของตนนับแต่ต้นเป็นลำดับมา ไม่ลดละความเพียรซึ่งเป็นแรงหนุนอันสำคัญ แดนแห่งชัยชนะที่ท่านได้รับอย่างพอใจนั้นได้ที่เขาลึกในจังหวัดเชียงใหม่ที่เขียนผ่านมาแล้ว ... (หลวงตามหาบัว ญาณสมฺปนฺโน)



อนุสรณ์องค์หลวงปู่มั่น ภูริทตฺโต บริเวณที่องค์ท่านมาปักกลดพำนัก ณ วัดโพธิ์ชัย บ้านหนองน้ำเค็ม ต.เชียงยืน อ.เมือง จ.อุดรธานี (รูปจากเพจ วัดป่าโพธิ์ชัย หนองน้ำเค็ม)

7) ออกพรรษาวิเวกบ้านน้ำเค็ม

ในช่วงออกพรรษาหน้าแล้ง องค์หลวงปู่มั่นจะเดินทางไปวิเวกที่บ้านน้ำเค็ม ที่ปัจจุบัน คือ วัดป่าโพธิ์ชัย บ้านน้ำเค็ม อ.เมือง จ.อุดรธานี โดยมี หลวงปู่เจี๊ยะ จุนฺโท ถวายอุปัฏฐาก นอกจากนั้นยังมีพระตามมาฟังการอบรมจากองค์หลวงปู่มั่น ได้แก่ หลวงปู่หลุย จนฺทสาโร หลวงปู่จันทร์ศรี จนฺทธีโป พระอริยคุณาธาร (เส็ง ปุสฺโส) เป็นต้น โดยบันทึกประวัติองค์หลวงปู่มั่น โดยหลวงตามหาบัว ได้กล่าวไว้ดังนี้

... ออกพรรษาแล้วอากาศแห้งแล้ง ท่านอาจารย์ชอบออกไปวิเวกอยู่ตามบ้านนอกเพื่อบำเพ็ญสมณธรรมตามนิสัย บ้านหนองน้ำเค็มที่อยู่ห่างตัวเมืองราว 300 เส้น เป็นหมู่บ้านที่ท่านชอบไปพักเป็นเวลานาน ๆ หมู่บ้านนี้มีป่าไม้ร่มรื่นดีเหมาะกับการบำเพ็ญธรรม ... (หลวงตามหาบัว ญาณสมฺปนฺโน)

08 - OneDrive - Google Chromeลปจันศรี.pdf - Adobe Acrobat Reader (64-bit)
หลวงปู่จันทร์ศรี จนฺทธีโป (ขวา) ท่านได้ติดตาม พระอริยาคุณาธาร (เส็ง ปุสฺโส) (ซ้าย) เมื่อครั้งยังเป็นพระมหาเปรียญ มาฟังธรรมจากองค์หลวงปู่มั่นครั้งแรก ที่บ้านน้ำเค็ม  (รูปจาก สุริยาส่องฟ้า จันทร์ศรีส่องธรรม)

7.1) หลวงปู่จันทร์ศรีได้กราบครั้งแรก

หลวงปู่จันทร์ศรี จนฺทธีโป ได้กราบนมัสการ องค์หลวงปู่มั่น ภูริทตฺโต ครั้งแรก ณ หนองน้ำเค็ม จังหวัดอุดรธานี ภายหลังจากที่เจ้าคุณธรรมเจดีย์ (จูม พนฺธุโล) ได้กราบอาราธนานิมนต์หลวงปู่มั่น ภูริทตฺโต กลับมาสู่ภาคอีสาน หลังจากไปวิเวกทางภาคเหนือนานถึง 12 ปี โดยมีรายละเอียด ดังนี้

...องค์หลวงปู่มั่น ภูริทตฺโต ได้มาพักที่บ้านหนองน้ำเค็ม จำได้ว่าเป็น พ.ศ. 2484 ก่อนที่หลวงปู่จะไปจังหวัดสกลนคร ได้พบท่านพระอาจารย์มั่นเป็นครั้งแรก ไปฟังท่านเทศน์เรื่องธัมมจักกัปปวัตนสูตร ท่านเทศน์อยู่ที่บ้านหนองน้ำเค็ม ไปกับพระอริยคุณาธร (เส็ง ปุสฺโส) ตอนนั้นท่านยังเป็นมหา 6 ประโยค ยังไม่ได้เป็นเจ้าคุณ ท่านก็เป็นพระปฏิบัติเหมือนกัน ขณะที่ฟังหลวงปู่มั่น ภูริทตฺโต เทศน์ไปๆ จิตก็นึกไปว่า ท่านแปลภาษาไม่ถูกตามไวยกรณ์ที่เราเรียน ท่านเลยพูดขึ้นมาว่า

"เอ้อ เราแปลหนังสือป่าๆ เถื่อนๆ ไม่มีคนฟัง" แล้วท่านก็เลยหยุด ไม่เทศน์ต่อ

ทีนี้หลวงปู่เลยนึกไปนึกมาว่า เอ เราคิดอย่างนี้เป็นการค้านการเทศน์ของท่านละมัง เลยนึกในใจว่าขอนิมนต์ให้หลวงปู่มั่นเทศน์ต่อ ท่านก็หัวเราะขึ้น เลยเทศน์ต่อเป็นชั่วโมงเลย เทศน์จนจบธัมมจักกัปปวัตนสูตรนั้นแหละ ขยายความกามสุขัลลิกานุโยค อัตตกิลมถานุโยค ทางสายกลาง คือ มัชฌิมาปฏิปทา อริยมรรคมีองค์ 8 ปิดท้ายลงอริยสัจ 4 มี ทุกข์ สมุทัย นิโรธ มรรค พอท่านเทศน์จบก็พูดว่า

"มหา ฟังเทศน์เป็นยังไง คนป่าคนดงเทศน์ มันแปลหนังสือไม่ถูกตามภาษาบาลี"

ท่านรู้ในจิตของเรา ทีแรกเคยได้ยินเขาลือกันว่า ท่านมีญาณรู้จักว่า ใครคิดยังไง หลวงปู่ไม่เชื่อ คือ เราเรียนภาษาบาลี เราไม่เชื่อง่ายๆ... (จันทร์ศรีผ่องเพ็ญ, 2554:73-74)

รวมรูปพระจากร้านโปร - OneDrive - Google Chrome
หลวงปู่ศรี มหาวีโร ได้เล่าเรื่อง หลวงปู่มั่นโปรดผีอดีตเจ้าเมืองอุดรฯ บันทึกไว้ในประวัติของท่าน (รูปจาก ฐานข้อมูล Admin)

7.2) โปรดผีเจ้าเมืองเปลี่ยนภพภูมิ

          จากบันทึกประวัติ หลวงปู่ศรี มหาวีโร ได้มีโอกาสมาวิเวกที่บ้านน้ำเค็ม กล่าวถึงการที่องค์หลวงปู่มั่นมาพักที่บ้านหนองน้ำเค็ม เนื่องจากองค์ท่านจะไปโปรดผีเจ้าเมืองอุดรฯ เก่าที่มีความหวงแหนในทรัพย์สมบัติ โดยมีรายละเอียด ดังนี้

... สมัยที่ท่านพระอาจารย์มั่น ภูริทัตโต เมื่อครั้งได้มาพักจำพรรษาที่เสนาสนะป่าแห่งนี้และที่ดงหนองน้ำเค็ม (ผู้เขียนไม่ได้ระบุว่าดงหนองน้ำเค็มคือสถานที่ใด แต่คาดว่าน่าจะเป็นที่จังหวัดอุดรธานี) เมื่อออกพรรษาแล้วท่านพระอาจารย์มั่น จะออกเที่ยวกรรมฐานเป็นนิสัย โดยเฉพาะโปรดสัตว์ที่ตกทุกข์ยากที่มนุษย์มองไม่เห็นด้วยตาเนื้อ อย่างเช่นที่หนองน้ำเค็มที่คนเขาลือว่า "ผีดุมาก"

ท่านพระอาจารย์มั่น ไปทรมานผีพระยาองค์หนึ่ง อยู่ดงหนองน้ำเค็ม ท่านพิจารณาดูแล้วเห็นว่า "ถ้าไม่ไปทรมานแล้วเห็นท่าจะไม่ไหว" ท่านจึงไปอยู่ดงหนองน้ำเค็มถึง 9 เดือน

ฤดูแล้ง มีผีพระยาองค์หนึ่ง แต่ก่อนเป็นพระยาอุตรนคร เมืองอุดรเดิมมีชื่อเรียกว่า อุตรนคร พระยาองค์นี้มีทรัพย์สมบัติมากเลยฝังไว้ที่ดงหนองน้ำเค็ม พอตายลงไปด้วยโมหะในทรัพย์สิน ตายไปจึงไปเป็นผีนั่งเฝ้าสมบัติ นอนเฝ้า ตากแดด ตากฝน เฝ้ามหาสมบัติอยู่อย่างนั้น ไม่รู้กี่ชาติกี่ภพ ไม่รู้กี่กัปกี่กัลป์มาแล้ว ดังนั้น ใครไปใกล้ก็ไม่ได้ ใครไปเอาฟืนก็ไม่ได้ถูกขย้ำหลอกหลอนทันทีเลย หวงแหนไปหมดทุกสิ่งทุกอย่าง บรรดาสิ่งของต้นไม้ใบหญ้าในบริเวณนั้น

ท่านพระอาจารย์มั่นจึงนั่งแผ่เมตตาจิตอย่างนั้น แต่แล้วผีเจ้าพระยานั้นก็หวงสมบัติอยู่เหมือนเดิม ในขณะที่ท่านพระอาจารย์มั่นพักอยู่ที่นั้น ผีนั้นเข้ามารบกวนอยู่เรื่อยๆ มาทำขึงขังๆ ท่านไม่สนใจอะไรผลสุดท้ายมาแสดงท่าทางอย่างไรท่านก็ไม่กลัว ท่านแผ่เมตตาจิตให้เสมอ

ท่านพระอาจารย์มั่นสอนวิญญาณพระยาตนนี้ให้ทราบว่า "จะเอาไปทำไมของอย่างนี้ มันเป็นสมบัติของแผ่นดินโลก จะเอาก็เอาไม่ได้หรอกเพราะไม่ใช่ของใครๆ ทั้งนั้น จะเอาไปทำไม แม้แต่ร่างกายก็ทิ้งไว้ในโลกในแผ่นดินนี้ ถ้าใครไปยึดมั่นถือมั่นเป็นอุปาทานก็เดือดร้อนวุ่นวายอยู่ตลอดกาล เพราะของเหล่านี้มันเป็นสมบัติของโลก มนุษย์สมมุติขึ้นเฉยๆ"

เมื่อท่านพระอาจารย์มั่น พร่ำสอนนานวันเข้า ผีพระยาอุตรนคร จึงปลงใจในทรัพย์สมบัตินั้นได้ไม่ยึดมั่นถือมั่นอีก สุดท้ายจึงยอมยกสมบัตินั้นถวายท่านด้วยจิตศรัทธา พอละความยึดติดในสมบัตินั้น จิตวิญญาณจึงไปสู่สุคติ ไปสู่สวรรค์หลังจากที่อยู่นั้นมานานนับกัปนับกัลป์

เมืองอุดรเมื่อก่อนนั้นมีผีดุมาก สมัยหนึ่งกลางวันแสกๆ มีควายตู้ (ควายดื้อ) ตัวหนึ่งวิ่งผ่านกลางเมืองอุดร สมัยนั้นท่านพระอาจารย์เสาร์ท่านไปทรมานเอา เป็นควายวิ่งไปวิ่งมาหายไปเลย เฮี้ยนไม่เบา... (มหาวีรธัมมานุสรณ์, 2557:81-82)

 

อ้างอิง
ประวัติพระอาจารย์มั่น ภูริทตฺตเถร โดย หลวงปู่มหาบัว ญาณสมฺปนฺโณ พ.ศ. 2547
พระราชธรรมเจติยาจารย์ (วิริยังค์ สิรินฺธโร), ประวัติพระอาจารย์มั่น ภูริทัตตเถระ (ฉบับสมบูรณ์), สถาบันพลังจิตตานุภาพ : กรุงเทพฯ, 2541.
พระราชนิโรธรังสี คัมภีรปัญญาวิศิษฏ์ (เทสก์ เทสรังสี), อัตตโนประวัติพระราชนิโรธรังสี คัมภีรปัญญาวิศิษฏ์(เทสก์ เทสรังสี), ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมให้พิมพ์ในงานพระราชทานเพลิงศพฯ, พ.ศ. 2539
มูลนิธิหลวงปู่แหวน สุจิณฺโณ, อนุสรณ์หลวงปู่แหวน สุจิณฺโณ, โรงพิมพ์มูลนิธินวมราชานุสรณ์ : นครนายก, มปพ.
พระญาณวิริยะ, ประวัติย่อ พระอาจารย์มั่นฯ ในหนังสือที่ระลึกงานฌาปนกิจ นางพุ่ม งามเอก พ.ศ. 2520
บทความไว้อาลัย โดย หลวงปู่เทสก์ เทสรํสี ใน "พันธุลาภิบูชา" และ "ธรรมเจติยานุสรณ์" ที่ระลึกในการพระราชทานเพลิงศพ พระธรรมเจดีย์ (จูม พนฺธุโล) ณ เมรุวัดโพธิสมภรณ์ อ.เมือง จ.อุดรธานี วันอาทิตย์ที่ 2 มิถุนายน พ.ศ. 2506.
สุริยาส่องฟ้า จันทร์ศรีส่องธรรม เนื่องในฉลองมงคลอายุกาล 101 ปี พระอุดมญาณโมลี (หลวงปู่จันทร์ศรี จนฺทธีโป) พ.ศ. 2555.
ดำรง ภู่ระย้า, หลวงปู่อ่อนสี สุเมโธ, นิตยสารโลกทิพย์ (ฉบับที่ 76 ปีที่ 5) มีนาคม (ฉบับแรก), 2529.

 

แสดงความเห็น  >>คลิ๊กที่นี่<<

< ตอนก่อนหน้า : ตอนต่อไป >