ตามรอยองค์หลวงปู่มั่น ภูริทัตโต

ร่วมเดินไปยังสถานที่ที่เกี่ยวเนื่อง กับองค์หลวงปู่มั่น ภูริทตฺโต พร้อมเรื่องราวความสำคัญ ศิษยานุศิษย์ที่เข้ามาฝากตัว เป็นสานุศิษย์ถักทอสู่ "กองทัพธรรมพระกรรมฐาน" โดยเว็บมาสเตอร์ www.luangpumun.org และสุดยอดแฟนพันธุ์แท้ ศิษยานุศิษย์หลวงปู่มั่น ภูริทัตโต จากรายการ แฟนพันธุ์แท้ 2018

เมนูหลัก ตามรอยองค์หลวงปู่มั่น คลิ๊ก

จากป่าดงบากสู่วัดป่าสุทธาวาส
เมตตาโปรดชาวสกลนคร
วัดป่าสุทธาวาส อ.เมือง จ.สกลนคร พ.ศ.
2484
ตามรอยองค์หลวงปู่มั่น ภูริทตฺโต ตอนที่ 49


รูปถ่ายองค์หลวงปู่มั่น ภูริทตฺโต ณ วัดป่าสุทธาวาส จ.สกลนคร ในช่วงปลายปี พ.ศ. 2484 (รูปจาก ฐานข้อมูล Admin)

          ภายหลังออกพรรษากาลปี พ.ศ. 2484 คณะศรัทธาชาวสกลนครได้ไปกราบอาราธนาองค์หลวงปู่มั่น ภูริทตฺโต มาพักยังวัดป่าสุทธาวาส ซึ่งองค์หลวงปู่มั่น พร้อมด้วยองค์หลวงปู่เสาร์ กนฺตสีโล ได้เคยมาพำนักเมื่อปี พ.ศ. 2469 ซึ่งในคราวนั้นยังคงเป็นป่าดงบากชานเมืองสกลนคร สถานที่นี้มีศิษย์ที่ไดรับการอบรมทั้งฝ่ายธรรมยุตและมหานิกาย คือ หลวงปู่ทองรัตน์ กนฺตสีโล หลวงปู่กินรี จนฺทิโย และหลวงปู่จันทร์ศรี จนฺททีโป เป็นต้น ท่านได้พักอยู่ที่วัดป่าสุทธาวาส 15 วัน แล้วจึงเดินทางไปบ้านนามน และจำพรรษาที่บ้านโคก อ.โคกศรีสุพรรณ จ.สกลนคร ในพรรษากาลปี พ.ศ. 2485 โดยมีรายละเอียดดังนี้


วัดป่าสุทธาวาส อ.เมือง จ.สกลนคร (รูปโดย Admin)

1. กำเนิดวัดป่าสุทธาวาส

          ย้อนกลับไปเมื่อพรรษากาลปี พ.ศ. 2469 องค์หลวงปู่มั่น จำพรรษาบ้านสามผง อ.ศรีสงคราม จ.นครพนม องค์หลวงปู่เสาร์ กนฺตสีโล จำพรรษาที่บ้านดงยาง อ.หนองหาร จ.อุดรธานี

ครั้นออกพรรษาแล้ว องค์หลวงปู่เสาร์กับองค์หลวงปู่มั่น ได้มาพบกันที่บ้านดอนแดง พระบูรพาจารย์ทั้งสองได้มีการประชุมคณะสงฆ์ โดยวางระเบียบการปฏิบัติเกี่ยวกับการอยู่ป่า การตั้งสำนักปฏิบัติ กับแนวทางแนะนำสั่งสอนปฏิบัติจิต เพื่อให้คณะศิษย์ของพระบูรพาจารย์ทั้งสอง ได้นำไปปฏิบัติเป็นระเบียบเดียวกัน ซึ่งต่อมาได้รับขนานนามว่า "กองทัพธรรมพระกรรมฐานสาย หลวงปู่เสาร์ หลวงปู่มั่น" องค์หลวงปู่มั่นปรารภถึงการเดินทางออกจากบ้านสามผง จะเดินทางไปแถบใดต่อ ซึ่งศิษยานุศิษย์มีมติเดินทางกลับอุบลราชธานี ยังเป็นการไปส่งโยมแม่ชีจันทร์ โยมมารดาขององค์หลวงปู่มั่นที่ชราภาพยังบ้านเกิดให้ญาติดูแลต่อ ก่อนออกเดินทางองค์หลวงปู่มั่น ได้ออกระเบียบการเดินทาง ไม่ให้เดินทางเป็นคณะใหญ่ ให้แบ่งออกเป็นหมู่ๆ พร้อมกับสั่งสอนธรรมะให้ประชาชนตามรายทางไปด้วย

เมื่อประชุมสงฆ์เสร็จแล้ว พระบูรพาจารย์ทั้งสององค์ และคณะศิษยานุศิษย์ ได้แยกย้ายกันจาริกไปในที่ต่างๆ แต่ก็ได้มาพบกันที่จังหวัดสกลนครโดยบังเอิญ ได้รับนิมนต์ในงานบำเพ็ญกุศลมารดา นางนุ่ม ชุวานนท์ และฉลองศรัทธาชาวสกลนครที่เพิ่งได้เคยเห็นพระปฏิบัติมารวมกันขนาดนี้ นางนุ่มนิมนต์มาพักที่บริเวณที่ปัจจุบัน คือ วัดป่าสุทธาวาส อ.เมือง จ.สกลนคร

ต่อจากนั้นได้รับนิมนต์ในการบำเพ็ญกุศล พระยาประจันตประเทศธานี ซึ่งเป็นครั้งแรกที่อนุโลมให้ฉันภัตตาหารในบ้าน เมื่อแล้วเสร็จงานบำเพ็ญกุศลทั้งสองแล้ว องค์หลวงปู่มั่น ได้เดินทางออกจากสกลนคร และจำพรรษาในปี พ.ศ. 2470 ณ บ้านหนองขอน อ.ตัวตะพาน จ.อำนาจเจริญ

          หลังจากนั้นในพรรษากาลปี พ.ศ. 2479 องค์หลวงปู่เสาร์ได้มาจำพรรษา และยังมีหลวงปู่หลุย จนฺทสาโร ร่วมจำพรรษาและถวายอุปัฏฐากองค์หลวงปู่เสาร์ด้วย


อุโบสถวัดป่าสุทธาวาส อ.เมือง จ.สกลนคร (รูปโดย Admin)

2. จากอุดรเมตตาโปรดชาวสกลนคร

          ในเดือนพฤศจิกายน พ.ศ. 2484 ศรัทธาชาวสกลนคร นำโดย คุณแม่นุ่ม ชุวานนท์ ได้มากราบนิมนต์องค์หลวงปู่มั่น ที่ก่อนหน้านั้นท่านจำพรรษาอยู่วัดโนนนิเวศน์ อ.เมือง จ.อุดรธานี ในระหว่างปี พ.ศ.  2483-2484 ภายหลังกลับจากภาคเหนือ โดยท่านเมตตามาพักยังวัดป่าสุทธาวาสเป็นเวลา 15 วัน โดยมีรายละเอียดตามบันทึก ดังนี้

... องค์หลวงปู่มั่นได้จำพรรษา ณ วัดป่าโนนนิเวศน์ 2 พรรษา ระหว่างปี พ.ศ. 2483-2484 พอออกพรรษาแล้ว คณะศรัทธาญาติโยมชาวจังหวัดสกลนคร ได้พร้อมกันจัดรถไปกราบอาราธนานิมนต์ให้องค์หลวงปู่มั่นไปโปรดชาวสกลนครบ้าง ต้นเดือนพฤศจิกายน พ.ศ. 2484 องค์หลวงปู่มั่น ภูริทตฺโต จึงได้เดินทางไปสกลนคร พักวัดป่าสุทธาวาส 15 วัน ...(จันทร์ศรีผ่องเพ็ญ, 2554:75)

          ... คณะศรัทธาทางจังหวัดสกลนคร มีคุณแม่นุ่ม ชุวานนท์ เป็นต้น ซึ่งเคยเป็นลูกศิษย์เก่าแก่ของท่าน พร้อมกันมาอาราธนานิมนต์ท่านให้ไปโปรดทางจังหวัดสกลนคร ซึ่งท่านเคยอยู่มาก่อน ท่านยินดีรับอาราธนา คณะศรัทธาทั้งหลายต่างมีความยินดีพร้อมกันเอารถมารับท่านไปที่จังหวัดสกลนคร... (หลวงตามหาบัว ญาณสมปนฺโน)


องค์หลวงปู่เสาร์ กนฺตสีโล ขณะองค์หลวงปู่มั่นมาถึงที่วัดป่าสุทธวาส องค์หลวงปู่เสาร์กำลังอาพาธอยู่ที่ วัดดอนธาตุ อ.พิบูลย์มังสาหาร จ.อุบลราชธานี องค์หลวงปู่มั่นได้มอบหมายให้ หลวงปู่เจี๊ยะ จุนฺโท เดินทางจากวัดป่าสุทธาวาส ไปยังวัดดอนธาตุ เพื่อถวายอุปัฏฐากองค์หลวงปู่เสาร์ จนวาระสุดท้ายขององค์หลวงปู่เสาร์ (รูปจาก ฐานข้อมูล Admin)

3. มอบหมายหลวงปู่เจี๊ยะ ไปดูแลหลวงปู่เสาร์

          เหตุการณ์สำคัญที่เกิดขึ้นในระหว่างที่พักอยู่ที่วัดป่าสุทธาวาส กล่าวคือ องค์หลวงปู่มั่น ได้มอบหมายให้หลวงปู่เจี๊ยะ ไปอุปัฏฐากองค์หลวงปู่เสาร์ที่กำลังอาพาธอยู่ ซึ่งหลวงปู่เจี๊ยะได้อุปัฏฐากจนกระทั่งองค์หลวงปู่เสาร์มรณภาพ โดยมีรายละเอียดตามบันทึกประวัติ หลวงปู่เจี๊ยะ ดังนี้

          ... เมื่อเดินทางถึงสกลนครและพักอยู่ที่วัดป่าสุทธาวาสได้ 2-3 วัน หลวงปู่เสาร์ กนฺตสีโลก็มีจดหมายมานิมนต์ท่านพระอาจารย์มั่น เนื่องจากหลวงปู่เสาร์ป่วยหนัก ท่านพระอาจารย์มั่นจึงมอบหมายให้เรา (หลวงปู่เจี๊ยะ) เดินทางไปอุบลฯ แทน เพื่อดูแลอุปัฏฐากในอาการป่วยของหลวงปู่เสาร์และกราบเรียนตามที่ท่านพระอาจารย์มั่นสั่งมา

หลวงปู่เจี๊ยะ.pdf - Adobe Acrobat Reader (64-bit)
องค์หลวงปู่มั่นได้มอบหมายให้ หลวงปู่เจี๊ยะ จุนฺโท เดินทางจากวัดป่าสุทธาวาส ไปยังวัดดอนธาตุ เพื่อถวายอุปัฏฐากองค์หลวงปู่เสาร์ จนวาระสุดท้ายขององค์หลวงปู่เสาร์ (รูปจาก พระผู้เป็นดั่งผ้าขี้ริ้วห่อทอง)

เราจึงออกเดินทางโดยรถยนต์ไปยังจังหวัดอุบลราชธานี และเดินเท้าไปพบกับหลวงปู่เสาร์ ที่วัดดอนธาตุ อำเภอพิบูลมังสาหาร จังหวัดอุบลราชธานี ...

... หลังจากหลวงปู่เสาร์ท่านหายจากอาพาธแล้ว ธาตุขันธ์กระปรี้กระเปร่า ท่านจึงเดินทางไปทำบุญอุทิศให้ท่านแดดังผู้เป็นอุปัชฌาย์ของท่านซึ่งอยู่ที่หลี่ผี ประเทศลาว (ตามปกติหลวงปู่เสาร์จะชอบออกธุดงค์ลงไปทางใต้นครจำปาศักดิ์ หลี่ผี ปากเซ ฝั่งประเทศลาว แล้วก็ย้อนกลับมาจำพรรษาที่วัดดอนธาตุเป็นประจำทุกปี)

หลวงปู่เสาร์เดินทางล่วงหน้าไปประเทศลาวก่อน เราจึงเดินธุดงค์ติดตามไปทีหลัง ความจริงแล้วเราจะไม่ธุดงค์ติดตามท่านไปจำปาศักดิ์ ประเทศลาว ตั้งใจว่าจะกลับสกลนครไปหาพระอาจารย์มั่นที่บ้านโคกก่อนเลยก็ได้แต่เมื่อมานึกถึงคำสั่งของท่านพระอาจารย์มั่นก็ให้หวนรู้สึกประหวัดอยู่ในใจว่า

"เจี๊ยะเอ้ย... ดูแลหลวงปู่เสาร์แทนผมให้ดีนะ ถึงการป่วยอาพาธของท่านจะหายก็อย่าได้ไว้วางใจเป็นอันขาด"

เมื่อเป็นดังนี้เราจึงจำเป็นต้องเดินธุดงค์ติดตามหลวงปู่เสาร์ไปประเทศลาวเพราะมีความมั่นใจในความรู้พิเศษของท่านพระอาจารย์มั่นว่า

"ท่านต้องทราบเหตุการณ์ล่วงหน้าในเรื่องอย่างใดอย่างหนึ่งเป็นแน่นอน จึงกำชับให้เราดูแลหลวงปู่เสาร์เป็นอย่างดี" ท่านเน้นว่า

"อย่าได้ไว้วางใจ" เหมือนกับท่านบอกเป็นนัย ๆ แต่ท่านไม่พูดตรงๆ จะเป็นการทำนายครูบาอาจารย์ ท่านพระอาจารย์มั่นท่านเคารพรักหลวงปู่เสาร์มาก ... (พระมหาธีนาถ อคฺคธีโร, 2547, 136-146)

 

4. เมตตาครูบาอาจารย์

          ตามบันทึกประวัติศิษยานุศิษย์ เท่าที่รวบรวมได้พบว่ามี 3 ท่านที่ได้มาศึกษาปฏิบัติกับองค์หลวงปู่มั่นที่วัดป่าสุทธาวาส โดยเฉพาะหลวงปู่จันทร์ศรี ได้ระบุเวลาชัดเจน คือ ในช่วงปลายปี พ.ศ. 2484 แต่สำหรับหลวงปู่ทองรัตน์ และหลวงปู่กินรี ยังระบุช่วงเวลาได้ไม่ชัดเจนนัก แต่บันทึกประวัติของแต่ละท่าน ได้ช่วยทำให้เห็นถึงรายละเอียดข้อวัตรปฏิบัติ สิ่งที่องค์หลวงปู่มั่นได้สอน โดยมีรายละเอียดตามบันทึกประวัติของแต่ละท่าน ดังนี้

รวมรูปพระจากร้านโปร - OneDrive - Google Chrome
หลวงปู่ทองรัตน์ กนฺตสีโล ศิษย์อาวุโสฝ่ายมหานิกายในองค์หลวงปู่มั่น ภูริทตฺโต (รูปจาก ฐานข้อมูล Admin)

4.1 หลวงปู่ทองรัตน์ กนฺตสีโล

ท่านเป็นศิษย์องค์หลวงปู่มั่นในฝ่ายมหานิกายในยุคต้น ซึ่งยังมีหลวงปู่กินรี จนฺทิโย และหลวงปู่ชา สุภทฺโธ รวมทั้งอีกหลายรูปซึ่งเป็นกองทัพธรรมกรรมฐานฝ่ายมหานิกายส่วนใหญ่ล้วนเคยได้รับการอบรมจากหลวงปู่ทองรัตน์อีกด้วย ในบันทึกประวัติหลวงปู่ทองรัตน์ระบุไว้ว่า ท่านได้มาศึกษาธรรมะกับองค์หลวงปู่มั่นครั้งแรกที่วัดป่าสุทธาวาส แต่ไม่ชัดเจนว่าเป็นช่วงเวลาใด โดยได้บันทึกข้อธรรมไว้ตามบันทึกประวัติหลวงปู่ทองรัตน์ ดังนี้

          ... ในพรรษาที่ 6 หลวงปู่ (หลวงปู่ทองรัตน์) เริ่มเบื่อหน่ายต่อการศึกษาปริยัติธรรม นึกเปรียบเทียบการปฏิบัติกับพระธรรมวินัยของตนแล้วดูจะห่างไกลกันมาก ยิ่งมีความสงสัยในการประพฤติปฏิบัติว่าจะไม่ใช่แนวทางที่ถูกต้อง อีกทั้งได้ยินข่าวครูบาอาจารย์ในทางวิปัสสนากรรมฐานที่สกลนคร คือ ท่านพระอาจารย์มั่น ภูริทตฺโต และท่านพระอาจารย์เสาร์ กนฺตสีโล ซึ่งพำนักอยู่ที่วัดป่าสุทธาวาส และวัดป่าในละแวกเขตอำเภอโคกศรีสุพรรณ อำเภอเมือง จังหวัดสกลนคร ว่าเป็นผู้มีคุณธรรมสูง ชำนาญด้านวิปัสสนาธุระ มีประชาชนเคารพเลื่อมใสศรัทธามาก

ดังนั้น ในพรรษาที่ 6 หลวงปู่ทองรัตน์ได้เดินทางไปจังหวัดสกลนคร เข้านมัสการและขอโอกาสถามปัญหาในข้อวัตรปฏิบัติ ปกิณกะธรรม และวิสุทธิมรรค แล้วขอฝากตัวเป็นศิษย์

หลวงพ่ออวน ปคุโณ (สิริอายุรวมได้ 66 ปี พรรษา 46) แห่งวัดจันทิยาวาส บ้านนามะเขือ ตำบลนามะเขือ อำเภอปลาปาก จังหวัดนครพนม ศิษย์ผู้ใกล้ชิดหลวงปู่ทองรัตน์รูปหนึ่ง ได้เล่าถึงการไปศึกษาธรรมของหลวงปู่ทองรัตน์กับท่านพระอาจารย์มั่น ภูริทตฺโต ไว้ว่า ขั้นแรกของการศึกษา หลวงปู่ทองรัตน์ไม่รู้สึกอะไร ภาวนาตามธรรมดา ท่านพระอาจารย์มั่นได้แนะนำว่า รู้ไม่รู้ไม่สำคัญ ขอให้ทำจิตใจให้รู้จักจิตว่าสงบหรือไม่สงบ หลวงปู่ทองรัตน์ได้ออกวิเวกเที่ยวธุดงค์ไปแล้วกลับมาถามท่านพระอาจารย์มั่นอีก โดยถามว่าจิตสงบเป็นอย่างไร ท่านพระอาจารย์มั่นถาม "เท่าที่ทองรัตน์ปฏิบัติทุกวันนี้รู้สึกว่าเป็นแบบใด"

หลวงปู่ทองรัตน์ ตอบว่า "มีเหตุหนักกายหนักใจ ใจฝืดเคืองนัก" ท่านพระอาจารย์มั่นแนะนำว่า "เรื่องที่หนักกายหนักใจนั่น ไม่ใช่เพราะการบำเพ็ญภาวนา แสดงว่ามีความเชื่อมั่นศรัทธาอยู่ในการปฏิบัติอยากทำ แต่ไม่รู้จักวิธีการปฏิบัติให้รักษาจิต รักษาระเบียบวินัย กิจวัตร ข้อวัตรวินัยต้องเข้มงวด ปฏิบัติถึงแล้วก็จะเกิดเมตตา มีเมตตาแล้วแสดงว่ามีศีลบริสุทธิ์ มีศีลบริสุทธิ์แล้วจิตก็สงบ จิตสงบแล้วจะเกิดสมาธิ"

หลวงปู่ทองรัตน์ได้อุบายธรรมปฏิบัติแล้ว ได้กราบนมัสการลาออกหาวิเวกธุดงค์ จนกระทั่งรู้จักสมาธิแล้วจึงมาหาท่านพระอาจารย์มั่น และได้เล่าให้ท่านฟังว่า "ผมรู้จักแล้วสมาธิ" ท่านพระอาจารย์มั่นจึงถามว่าที่ว่ารู้จักนั้น รู้จักแบบไหน หลวงปู่ทองรัตน์ ตอบว่า "รู้จักเมื่อเป็นสมาธิแล้วก็เบากาย เบาจิต" ท่านพระอาจารย์มั่นได้แนะนำต่อว่า จิตสงบแล้วก็ให้พิจารณาขันธ์ 5 ให้รู้จักอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา หลวงปู่ทองรัตน์จึงได้ออกวิเวกธุดงค์ไปตามหุบห้วยภูผาป่าช้าต่างๆ ปฏิบัติตามคำสั่งสอนของพระผู้เป็นบูรพาจารย์ เช่น ห้ามเทศน์เด็ดขาด ให้ระวังสำรวม ให้อยู่ตามต้นไม้ อยู่ป่า สหธรรมิกที่มีอุปนิสัยต้องกันในระหว่างจำพรรษาอยู่กับท่านพระอาจารย์มั่น คือ หลวงปู่มี ญาณมุนี แห่งวัดป่าสูงเนิน (วัดญาณโสภิตวนาราม) อำเภอโนนสูง จังหวัดนครราชสีมา (จากหนังสือ มณีรัตน์)

รวมรูปพระจากร้านโปร - OneDrive - Google Chrome
หลวงปู่กินรี จนฺทิโย ศิษย์อาวุโสฝ่ายมหานิกายในองค์หลวงปู่มั่น ภูริทตฺโต (รูปจาก ฐานข้อมูล Admin)

4.2 หลวงปู่กินรี จนฺทิโย

          ท่านเป็นพระอาจารย์ที่หลวงปู่ชา สุภทฺโธ ถวายความเคารพอีกรูปหนึ่ง จากบันทึกประวัติหลวงปู่กินรี ได้ระบุว่าท่านได้กราบองค์หลวงปู่มั่น ที่วัดป่าสุทธาวาส โดยมีหลวงปู่ทองรัตน์เป็นผู้นำพาท่าน แต่ไม่ได้ระบุช่วงเวลาที่ชัดเจน โดยได้บันทึกข้อธรรมไว้ตามบันทึกประวัติหลวงปู่กินรี ดังนี้ 

          ... ในระหว่างที่หลวงปู่ไปมาหาสู่เพื่อคารวะ และปฏิบัติธรรมในสำนักของพระอาจารย์หลวงปู่ทองรัตน์นั้น ท่านอาจารย์ทองรัตน์ได้พาหลวงปู่เดินทางไปกราบนมัสการหลวงปู่มั่น ภูริทตฺโต พระอาจารย์ใหญ่ฝ่ายวิปัสสนากรรมฐานผู้มีชื่อเสียงและเกียรติคุณเลื่องลือโด่งดังมาก ในขณะที่หลวงปู่มั่นพระธรรมาจารย์ผู้มีปรีชาสามารถ พำนักอยู่ที่วัดป่าสุทธาวาส อำเภอเมือง จังหวัดสกลนคร เพื่อรับโอวาทจากท่าน

หลวงปู่มั่นท่านได้อบรมสั่งสอนธรรมแก่หลวงปู่กินรี ถึงข้อปฏิบัติธรรมกรรมฐานนั้น ซึ่งมีรากฐานอยู่ที่การกระทำศีลให้สมบูรณ์บริบูรณ์พร้อมๆ ไปกับการเจริญสมาธิภาวนา เพื่อจะทำจิตให้สงบระงับจากอารมณ์ทั้งปวง เพราะความที่จิตปลอดจากอกุศลว่างเว้นจากอารมณ์ อันเกิดจากการสัมผัสทางอายตนะ คือ ที่ตั้งแห่งการกระทบ มี 6 คู่ อันได้แก่ ตากับรูป หูกับเสียง จมูกกับกลิ่น ลิ้นกับรส กายกับการสัมผัสทางกาย และใจที่กระทบกับอารมณ์ภายในที่ทำให้เกิดเวทนา ความรู้สึกสุข รู้สึกทุกข์ รู้ดี รู้ชั่ว รู้สวย รู้ไม่สวย รู้น่ารัก รู้ไม่น่ารัก ทั้งหลายแล้ว จิตใจก็ย่อมจะตั้งมั่นอยู่ในอารมณ์อันเดียว อารมณ์นั้นก็ได้แก่พระกรรมฐาน หมายถึง การเอาพระกรรมฐานเข้ามาตั้งไว้ในใจ ความตั้งมั่นของจิตในลักษณะการเช่นนี้ ย่อมจะทำจิตให้สงบอย่างเดียว เป็นความสงบที่สะอาดและบริสุทธิ์ผุดผ่องใส

หลังจากนั้นแล้วจึงหันมาพิจารณาธาตุทั้ง 4 อันได้แก่ ธาตุดิน ธาตุน้ำ ธาตุไฟ และธาตุลม และพิจารณาขันธ์ทั้ง 5 อันได้แก่ รูป เวทนา สัญญา สังขาร และวิญญาณ ให้รู้ว่าธาตุขันธ์และรูปนามทั้งหลายเหล่านี้แท้จริงก็คือบ่อเกิดของความทุกข์โศกร่ำไรรำพันนานาประการทั้งปวงนั่นเอง

หลวงปู่มั่นท่านได้อบรมสั่งสอนข้อธรรมแก่หลวงปู่กินรีเป็นประจำ และเมื่อท่านพบหน้าหลวงปู่กินรี ท่านมักจะเอ่ยถามไปว่า "กินรี ได้ที่อยู่แล้วหรือยัง ?"

คำถามของหลวงปู่มั่นนั้นมิได้หมายถึงที่อยู่ในวัดปัจจุบัน แต่ท่านถามถึงส่วนลึกของใจว่ามีสติตั้งมั่นหรือยัง ถ้ายังท่านก็จะกล่าวอบรมต่อไป ซึ่งส่วนมากหลวงปู่มั่นท่านจะเน้นให้เห็นถึงว่าสิ่งทั้งหลายทั้งปวงเป็นบ่อเกิดของความทุกข์ เพราะเกิดจากอวิชชา คือ ความไม่รู้แจ้งในความเป็นของไม่เที่ยง ในความเป็นของเสื่อมโทรมของธาตุขันธ์ทั้งหลาย เป็นเหตุ และเพราะความไม่รู้จักสิ่งทั้งหลายตามเป็นจริงว่ามันมิใช่สัตว์บุคคลตัวตนเราเขา ไม่รู้จักความไม่เที่ยง ไม่รู้จักความเป็นทุกข์ และไม่รู้ความเป็นอนัตตา คือ ไม่ใช่ตัวตนตามความเป็นจริงแล้ว อาสวกิเลส คือ ราคะ โลภะ โทสะ โมหะ ก็ย่อมครอบงำจิตของคนๆ นั้นให้มืดมัว เร่าร้อนและเป็นทุกข์ได้ในที่สุด

หลวงปู่มั่นท่านอบรมสั่งสอนหลวงปู่กินรีต่อไปว่า การประพฤติปฏิบัติธรรมนั้นมีรากฐานสำคัญอยู่ที่การปฏิบัติศีลเป็นเบื้องต้น และทำสมาธิในท่ามกลางเพื่อจะให้เกิดปัญญา ความรู้แจ้งแทงตลอดในธาตุขันธ์ทั้งหลายเหล่านั้นได้ในที่สุด และเพื่อจะให้รู้ความจริงก็ต้องหมั่นพิจารณาว่าร่างกายของเราที่ปั้นปรุงขึ้นมาจากธาตุทั้ง 4 นี้ ประกอบอยู่ด้วยธาตุอีกอย่างหนึ่งซึ่งแบ่งออกได้เป็น 4 อย่าง ได้แก่

เวทนา คือ ความรู้สุข รู้ทุกข์ และไม่สุข ไม่ทุกข์

สัญญา คือ ความจำได้หมายรู้ในอายตนะทั้งหลายที่มากระทบแล้วรู้สึกแล้ว

สังขาร คือ ความไหลเวียนปรุงเปลี่ยนไม่หยุดอยู่ของนามธาตุนั้น

วิญญาณ คือ ความรู้สึกได้

รวมเป็น 4 อย่างด้วยกัน เรียกว่า นามขันธ์

เมื่อรวมเข้ากับธาตุ 4 คือ รูปขันธ์ด้วยแล้ว จึงเป็นขันธ์ รวมย่อแล้วเรียกว่า กายกับใจนี้เป็นสิ่งที่ไม่ยืนยงคงที่ ไม่เที่ยงแท้แน่นอนอะไรเลย โดยเฉพาะอย่างยิ่งก็คือ ร่างกายเนื้อหนังของเรานี้เป็นของไม่สวยไม่งาม สกปรกโสโครกโดยประการทั้งปวง การภาวนาที่ถูกต้องจะต้องเป็นไปในลักษณะนี้ นักภาวนาเมื่อรู้เห็นซึ่งสภาพตามเป็นจริงอย่างนี้แล้ว ย่อมจะมีความสะดุ้งกลัวต่อภัยและความเป็นโทษทุกข์ของสังขาร ไม่อยากประสบพบเห็นกับความทุกข์ทรมานเหล่านี้อีกแล้ว เมื่อนั้นจิตก็ย่อมจะคลายจากความกำหนัดยินดีในรูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะ และธรรมารมณ์ ย่อมคลายความกำหนัดรักใคร่ชอบใจในสิ่งอันเป็นที่ตั้งแห่งความรักใคร่ชอบใจ เมื่อจิตมีความเบื่อหน่ายคลายความกำหนัดเช่นนี้แล้ว ทุกข์ทั้งปวงก็ย่อมดับลงได้โดยแท้ ข้อที่ว่าทุกข์ทั้งปวงดับลงนี้เป็นเพราะอวิชชาคือความไม่รู้ ความเป็นจริงในธรรมดับไปนั่นเอง จึงเป็นเหตุให้รู้ความเห็นในธรรมที่เรียกว่า "ปัญญา" นั้น เจริญถึงที่สุด ผลที่ได้รับก็คือ "ปัญญาอันสงบระงับและแจ่มแจ้ง" หลวงปู่มั่นท่านกล่าวอบรมหลวงปู่กินรี

แสดงกระทู้ - หลวงปู่กินรี จนฺทิโย • ลานธรรมจักร and 5 more pages - Work - Microsoft​ Edge
ครูบาอาจารย์กองทัพธรรมฝ่ายมหานิกาย (จากขวา) หลวงปู่กินรี จนฺทิโย, หลวงปู่ชา สุภทฺโท และหลวงปู่อวน ปคุโณ (รูปจาก ลานธรรมจักร)

หลวงปู่กินรีท่านได้เล่าเรื่องราวของท่านสมัยที่ท่านไปฝึกอบรมกรรมฐานกับหลวงปู่มั่น ให้สานุศิษย์ทั้งหลายฟังอยู่เสมอว่า ในขณะที่ท่านนั่งสมาธิบริกรรมภาวนาอยู่นั้น ก็รู้สึกว่าจิตค่อยๆ สงบเข้าไปทีละน้อยๆ แล้วปรากฏว่า ทั้งร่างกายและเนื้อหนังของท่านนั้นได้เปื่อยหลุดออกจากกันจนเหลือแต่ซากของกระดูกอันเป็นโครงร่างที่แท้จริงในกายของท่านเอง "สิ่งที่ปรากฏในอาการอย่างนั้นมันชวนให้น่าเบื่อหน่ายยิ่งนัก" หลวงปู่ท่านกล่าว

ประสบการณ์ในธรรมโดยลักษณะนี้ ได้เกิดขึ้นกับหลวงปู่ท่านอีกครั้งหนึ่งในเวลาต่อมา แต่ไม่ทราบแน่ชัดว่าในขณะนั้นท่านพำนักอยู่ที่ใด ซึ่งครั้งนี้ท่านกล่าวว่า "ในขณะที่ภาวนาอยู่นั้นได้เกิดเพลิงไหม้ขึ้นในตัว เปลวเพลิงได้ลุกลามพัดไหม้ทั่วร่าง ในที่สุดก็เหลืออยู่แต่ซากกระดูกที่ถูกเผา และคิดอยู่ที่นั้นว่าร่างกายคนเราจะสวยงามแค่ไหน ในที่สุดมันก็ต้องถูกเผาอย่างนี้เอง" หลวงปู่กินรีท่านได้อธิบายถึง การภาวนา ว่ามีอยู่ 3 ขั้นด้วยกัน กล่าวคือ

1. บริกรรมภาวนา คือ การภาวนาที่กำหนดกรรมฐาน 40 อย่างใดอย่างหนึ่งเป็นอารมณ์ เพื่อจะทำจิตให้ตั้งมั่น ขั้นนี้ยังเป็นเพียงการกำหนดนึก ยังไม่เป็นอารมณ์ที่แน่นแฟ้นจริงจัง มีการภาวนา "พุทโธ" เป็นอาทิ ข้อนี้เป็นการภาวนาในระดับที่จะทำให้เกิดบริกรรมนิมิตอันเป็นนิมิตข้อต้นเท่านั้น

2. อุปจารภาวนา คือ การภาวนาที่เริ่มจะทำจิตให้ตั้งมั่นดีกว่าข้อแรกขึ้นนิดหนึ่ง ข้อนี้อุคหนิมิตจะปรากฏขึ้นได้

3. อัปนาภาวนา เป็นการภาวนาที่แน่วแน่ อาจทำให้เกิดปฏิภาคนิมิตได้

หลวงปู่กินรีท่านได้ใช้ชีวิตอยู่กับท่านหลวงปู่มั่นเพียง 2 ปี เท่านั้น ส่วนเวลานอกนั้นท่านมักจะอยู่ตามลำพัง เป็นตัวของตัวเองมากกว่า ส่วนผู้ที่หลวงปู่กินรีจะลืมเสียมิได้ถึงแม้จะมาอยู่ปฏิบัติธรรมกับหลวงปู่มั่นก็ตาม ท่านคือ พระอาจารย์หลวงปู่ทองรัตน์ เพราะท่านเป็นผู้ที่ให้วิชาความรู้ในการปฏิบัติแก่หลวงปู่ นับว่าเป็นองค์แรกที่เป็นอาจารย์ของหลวงปู่กินรี ซึ่งท่านมักจะไปมาหาสู่กันอยู่เสมอ ... (จาก ลานธรรมจักร Online เข้าถึงข้อมูลวันที่ 22 ตุลาคม พ.ศ. 2568, http://www.dhammajak.net/forums/viewtopic.php?f=13&t=26618)

ลปจันศรี.pdf - Adobe Acrobat Reader (64-bit)
พระอุดมญาณโมลี (หลวงปู่จันทร์ศรี จนฺททีโป) (รูปจาก สุริยาส่องฟ้า จันทร์ศรีส่องธรรม)

3.3 หลวงปู่จันทร์ศรี จนฺททีโป

          บันทึกประวัติหลวงปู่จันทร์ศรี ได้ให้รายละเอียดทั้งช่วงเวลา และลำดับเหตุการณ์ในช่วงเวลา 15 วันสำคัญในสมณเพศของหลวงปู่จันทร์ศรี โดยมีรายละเอียดตามบันทึกประวัติของท่าน ดังนี้

1) ใต้ร่มธรรมของหลวงปู่มั่น

หลวงปู่เล่าให้ลูกศิษย์ฟังอยู่เสมอว่า ที่อยู่ในพระพุทธศาสนาจนตลอดรอดฝั่งและได้รับความผาสุกร่มเย็นมาเป็นลำดับ ก็เพราะช่วงหนึ่งในชีวิตของท่านได้อุปัฏฐากรับใช้หลวงปู่มั่น ภูริทตฺโต ได้รับการฝึกหัดทรมานจนได้หลักในการปฏิบัติเรื่อยมา ซึ่งท่านใช้คำว่าเป็นกำไรแห่งชีวิตพรหมจรรย์ ท่านเล่าถึงความหลัง ด้วยความปีติและระลึกถึงพระคุณของหลวงปู่มั่นอันลึกซึ้งถึงจิตใจ ไว้ดังนี้

"ปี พ.ศ. 2484 เจ้าพระคุณสมเด็จฯ มีพระบัญชาให้ไปสอนพระปริยัติธรรมแผนกธรรมและบาลีไวยากรณ์-ป.ธ.3 ณ วัดป่าสุทธาวาส ตำบลธาตุเชิงชุม อำเภอเมืองจังหวัดสกลนคร โดยพระอริยคุณาธาร (เส็ง ปุสฺโส) ขณะนั้นท่านยังเป็นเปรียญอยู่ เป็นเจ้าคณะจังหวัดสกลนคร (ธ)

พอออกพรรษาแล้ว คณะศรัทธาญาติโยม ชาวจังหวัดสกลนคร ได้พร้อมกันจัดรถไปกราบอาราธนานิมนต์ให้หลวงปู่มั่น ภูริทตฺโต ไปโปรดชาวสกลนครบ้าง ต้นเดือนพฤศจิกายน พ.ศ. 2484 หลวงปู่มั่น ภูริทตฺโต จึงได้เดินทางไปสกลนคร พักวัดป่าสุทธาวาส 15 วัน มีพระเณรมากราบนมัสการและรับฟังโอวาทมิได้ขาด จากนั้นท่านก็ออกเดินทางไปพักที่เสนาสนะป่าบ้านนามน พอสมควรแล้ว ก็เดินทางมาพักที่บ้านโคก (บ้านเกิดพระอาจารย์กงมา จิรปุญฺโณ) และจำพรรษาที่นั้น ในปี พ.ศ. 2485

ณ วัดป่าสุทธาวาส พระมหาเส็ง ปุสฺโส ได้มอบให้หลวงปู่เป็นผู้อุปัฏฐากดูแลประจำทุกวันหลวงปู่มั่น ภูริทตฺโต ท่านมีปฏิปทาฝ่ายวิปัสสนาธุระอันเยี่ยมยอดหาที่เปรียบมิได้ สามารถกำหนดรู้เหตุการณ์ที่จะเกิดขึ้นในปัจจุบันและอนาคตได้"

08 - OneDrive - Google Chrome
พระอริยคุณาธาร (พระมหาเส็ง ปุสฺโส) ผู้มอบหมายหลวงปู่จันทร์ศรี มาถวายอุปัฏฐากองค์หลวงปู่มั่น ที่วัดป่าสุทธาวาส (รูปจาก ฐานข้อมูล Admin)

2) อุปัฏฐากหลวงปู่มั่น

หลวงปู่เล่าถึงประวัติตอนที่ได้อุปัฏฐากหลวงปู่มั่น ว่า

"หลวงปู่เป็นคนปฏิบัติหลวงปู่มั่นจนกระทั่งว่าการบิณฑบาต ตอนเวลาเย็นขนาดนี้ท่านก็เดินจงกรม เมื่อท่านเดินจงกรมเสร็จก็ขึ้นไปบนศาลา ฉันน้ำร้อนน้ำชาเสร็จ ท่านก็ให้โอวาทแก่พระภิกษุสามเณร ซึ่งอยู่ในสำนักนั้นประมาณ 40 หรือ 50 รูป

ส่วนครูบาอาจารย์ชั้นผู้ใหญ่ก็มี ท่านพระอาจารย์เทสก์ เทสรํสี ท่านพระอาจารย์ฝั้น อาจาโร ท่านพระอาจารย์อ่อน และท่านพระอาจารย์กงมา พอกลางคืนก็ไปนวดให้ท่าน

วันหนึ่งก็มีญาติโยม เขามาอาราธนาท่านว่า การบิณฑบาตนั้น ไม่ต้องเข้าไปถึงในเมือง ให้อยู่นอกวัดประมาณสัก 10 เส้น แล้วผู้ที่จะมาใส่บาตรนั้น ก็มีพวกคุณแม่นุ่ม แม่นิล คุณวิศิษฏ์ คุณวิเศษ และกลุ่มลูกหลานที่เขาสร้างวัดนั้นมาใส่บาตร

หลวงปู่ก็สะพายบาตรให้ พอไปรับบาตรถึงจะเอาใส่มือท่าน และก็ไม่ไกลจากที่รับบาตร ขนาดนอกวัด เพราะตอนนั้นอายุท่านประมาณ 70 แล้ว แต่ยังแข็งแรง"

ลปจันศรี.pdf - Adobe Acrobat Reader (64-bit)
หลวงปู่จันทร์ศรี จนฺททีโป ในช่วงพรรษาต้นๆ (รูปจาก สุริยาส่องฟ้า จันทร์ศรีส่องธรรม)

3) รู้เหตุการณ์ล่วงหน้า

"มีแปลกอยู่วันหนึ่ง หลวงปู่มั่น ภูริทตฺโต ท่านเดินจงกรมตั้งแต่ประมาณตี5 จนกระทั่งถึงหนึ่งโมง หลวงปู่ก็ไปอาราธนาท่าน เตรียมบาตรเตรียมอะไรเสร็จแล้วไปอาราธนาท่านให้ออกบิณฑบาต

ท่านก็บอกว่า "เขายังไม่มา เมื่อคืนนี้เขาไปดูหนังแล้วมันก็นอนตื่นสาย มันนึ่งข้าวยังไม่สุก"

พอประมาณสักโมงครึ่งท่านก็บอกว่า "อ้าวไปหล่ะ"

หลวงปู่ก็สะพายบาตรเดินตามหลังไป พอไปถึงที่ๆ เคยรับบาตร เขามักจะนั่งรถสามล้อสีแดงมา ทีนี้

พอเขามาถึง เขาก็นั่งรถสามล้อคันสีแดงนั้นมา มาแล้วเข้าแถวแล้วก็เอาบาตรถวายท่าน

ท่านก็รับบาตร เมื่อรับบาตรเสร็จ หลวงปู่ก็รับเอาบาตรจากหลวงปู่มั่นมาสะพาย ทั้งบาตรตนเองด้วย

ทีนี้พอกลับมา ก็มีโยมผู้ที่มีศรัทธาไม่ทราบว่าใครเอาผ้าไหมชนิดอย่างดี เรียกว่าหูกหนึ่ง คือยาวตัดจีวรได้สัก 2 ตัวโน่นแหละ พอท่านชักบังสุกุลเสร็จแล้ว เราก็รับจากท่านเอาไปเก็บไว้ก่อน"

ลปจันศรี.pdf - Adobe Acrobat Reader (64-bit)
หลวงปู่จันทร์ศรี จนฺททีโป (รูปจาก สุริยาส่องฟ้า จันทร์ศรีส่องธรรม)

4) จัดอาหารใส่บาตรให้หลวงปู่มั่น

"จากนั้นก็ขึ้นบนศาลาหอฉัน แล้วก็จัดอาหารลงบาตร ในขณะนั้นหลวงปู่ได้สังเกตว่าท่านเอาอาหารอะไรบ้างลงไปในบาตร เอามากเอาน้อยเท่าไหร่ แล้วทีนี้ก็นั่งดูอยู่ 3 วันก็จำได้

พอวันที่ 4 ก็จัดอาหารลงบาตรท่านได้ เมื่อท่านฉันเสร็จแล้วก็เหลือนิดหน่อย เราก็เอาบาตรท่านไปล้าง ไปเช็ดไปผึ่งให้ดี ตามปกติที่ท่านเคยทำเอง

ทีนี้ส่วนครูบาอาจารย์ผู้หลักผู้ใหญ่ เช่น ท่านพระอาจารย์ฝั้น ท่านพระอาจารย์เทสก์ เป็นต้น พอฉันเสร็จแล้วท่านก็บอกว่า "เอ๋! มหานี้ มีคาถาดีอย่างไรหลวงปู่ท่านถึงไม่ดุ พวกผมไปรับบาตรท่านไม่ได้ มีแต่ท่านจะดุ แล้วก็มีมหาองค์เดียวนี้แหละที่จัดบาตรท่านได้ เราก็เกิดปีติคือความดีใจว่า เราได้ปฏิบัติพระผู้เฒ่าผู้ปฏิบัติดีดีปฏิบัติชอบในขณะนั้นอายุท่านก็ประมาณ 70 ปี เศษแล้ว"

ลปจันศรี.pdf - Adobe Acrobat Reader (64-bit)
หลวงปู่จันทร์ศรี จนฺททีโป เป็นอุปัชฌายาจารย์ในการอุปสมบทกุลบุตร (รูปจาก สุริยาส่องฟ้า จันทร์ศรีส่องธรรม)

5) รู้วาระจิต

"เมื่อเสร็จจากนั้นก็ไปคุยกัน มีพระมหาน้อย พระมหาปิ่น ซึ่งไปเป็นครูด้วยกันชวนกันว่าไปขอผ้าไหมของท่านไปตัดเสื้อกางเกงซะว่างั้น พวกเราก็อยู่ในพรรษา 8 พรรษา 9 คิดอยากจะสึกกัน

ทีนี้พอประมาณสักเที่ยง ท่านก็เรียกครูบาอาจารย์ผู้หลักผู้ใหญ่ที่อยู่ในวัดนั้นไป แล้วก็เอาผ้านั้นไปตัดเป็นผ้าสบงหมดแล้ว ก็ไปย้อมกรัก เสร็จเรียบร้อยเอาไปถวายเณรหมด พระไม่ให้ เพราะเกี่ยวกับว่าเราคงมาคุยกันว่าเราจะไปขอผ้ามาตัดเสื้อกางเกงท่านคงจะรู้ นี้เป็นการนึกเดากัน

ทีนี้ครั้นต่อมา 2 วัน ก็มีโยมเอาผ้ามัสลินอย่างดีมาถวายอีกแต่ก่อน เรียกว่าไม้หนึ่งก็ตัดจีวรได้ผืนหรือสองผืนนี้แหละ ทีนี้หลวงปู่ก็เอาผ้านั้นไปวัดจีวรครองของท่านเสียก่อนท่านไม่ยอมเปลี่ยน หลวงปู่ใช้ไม้บรรทัดวัดดูสิว่า กว้างเท่าไหร่ อนุวาต (แผ่นผ้าทาบริมโดยรอบ) กว้างเท่าไหร่ วัดเอาตัวเท่าจีวรท่านมาตัด ท่านใช้ขันธ์ 9 วัดทุกชิ้นทุกส่วน

เสร็จเรียบร้อยแล้ว ก็มีสามเณรมาช่วยตัด หลวงปู่เป็นคนตัดเอง พอตัดเสร็จเรียบร้อยแล้วก็เอาไปให้พวกลูกหลานแม่นุ่ม แม่นิลนั้นเดินจักรให้เสียก่อน แล้วก็มาสอยมือ ประมาณ 9 วันก็เสร็จ แล้วก็ย้อมแก่นขนุน จนกระทั่งสีได้ที่เหมือนสีสังฆาฏิ

พอเสร็จแล้ว ก็ให้เณรทองคำไปหากิ่งไม้แห้งมาให้ มาปักไว้ ที่บันไดท่าน แล้วก็เอาเทียนไขมาจุดไว้แล้วเอาผ้าพาดไว้หลวงปู่ก็ไปเดินจงกรมคอยดูท่าน ว่าจะชักผ้าบังสุกุลให้หรือไม่ พอท่านเดินจงกรมเสร็จประมาณ 2 ทุ่ม ท่านก็ขึ้น ท่านชักเอาผ้าแล้วท่านก็ไปถอนจีวรครองของท่านออกตามพระธรรมวินัย แล้วก็พินทุอธิษฐานจีวรที่เราตัดเอาไปถวายท่านนั้น ท่านเอาเป็นจีวรครอง

พอตื่นเช้ามาจีวรเก่าของท่านนั้นมันขาด ท่านปะโน่นปะนี่ เราก็เอาไปซักให้ดีแล้วก็มาเย็บเป็นผ้าปูนอนหรือเป็นที่นอนของท่าน อันนี้ก็เรียกว่าได้ปฏิบัติท่านอย่างใกล้ชิด

มีอยู่วันหนึ่ง ท่านสั่งว่า มหา วันนี้ให้ไปปูเสื่อจัดอาสนะ ดูความสะอาดเรียบร้อย ศาลาจะมีคนมา  แต่ท่านก็ไม่ได้บอกว่าใคร เราก็ไปจัดการ พอสายๆ พ.ต.อ.ขุนศุภกิจ วิเลขการข้าหลวงประจำจังหวัดสกลนคร มาหาหลวงปู่มั่น พอไปถึง ท่านทักขึ้นทีแรกเลยว่า "เมาหรือเปล่า"

พ.ต.อ.ขุนศุภกิจฯ ตอบว่า "นิดหน่อยครับ" แล้วก็ไปกราบหลวงปู่มั่น

ท่านก็ถามว่า"อยากอยู่นาน หรือยากตายเร็ว"

พ.ต.อ.ขุนศุภกิจ ฯ ตอบว่า "อยากอยู่ครับ"

"อย่างนั้นให้เลิกกินเหล้า เลิกสูบบุหรี่ ไม่อย่างนั้น อายุ 50 ปีก็ตาย" พ.ต.อ.ขุนศุภกิจฯ ก็เลยเลิกหมดอยู่มาได้จนอายุ 90 กว่าปี มาตอนหลัง ย้ายมาเป็นข้าหลวงประจำจังหวัดอุดรธานี"

ลปจันศรี.pdf - Adobe Acrobat Reader (64-bit)
หลวงปู่จันทร์ศรี จนฺททีโป (รูปจาก สุริยาส่องฟ้า จันทร์ศรีส่องธรรม)

6) สอบได้ ป.ธ.4

ในปีนี้ (พ.ศ. 2484) หลวงปู่จันทร์ศรีสอบได้ ป.ธ. 4 ซึ่งท่านเล่าถึงตอนที่ไปกราบเรียนถามหลวงปู่มั่น ว่า

"หลวงปู่ๆ ผมสอบประโยค 4 ตก มาตั้ง 3 ปีแล้ว เขาจะออกอะไร"

ท่านหัวเราะ ท่านบอกว่า "เขาด่าโกรธไหม เขายกย่องดีใจไหม"

เรียนท่านว่า "เขาด่าก็โกรธ ถ้าเขาสรรเสริญก็ยินดี"

ท่านกล่าวว่า "มันมีไหมล่ะ ในหลักสูตร"

เรียนท่านว่า "มีกระผม"

ท่านกล่าวว่า "อะไรล่ะ"

เรียนท่านว่า "โลกธรรม 8 มันอยู่ในมงคลภาค 2 กระผม"

อีกสามวัน ที่ไปนวดให้ท่านทุกวันๆ วันที่ 3 ท่านก็เลยถามว่า "มหาๆ ตัดจีวรเป็นไหม"

เรียนท่านว่า "ที่หลวงปู่อธิษฐานเป็นผ้าครองนั้น กระผมก็ดีใจมาก"

ทีนี้เวลามาสอบครั้งแรก แม่กองธรรมสมัยนั้น คือสมเด็จพระวันรัต (ปลด กิตฺติโสภโณ) วัดเบญจมบพิตร เป็นแม่กองฯ พอสอบแล้วบอกว่าประโยค 3 ประโยค 4 ปัญหารั่วยกเลิกไม่ตรวจ เสียใจมากตอนนั้น ทีนี้พอประกาศยกเลิกไม่ตรวจแล้ว ก็ขึ้นไปเที่ยวขอนแก่น

เที่ยวขอนแก่นอยู่ประมาณ 7 เดือน และก็สั่งเพื่อนไว้ว่า ถ้าแม่กองฯ ประกาศสอบใหม่ให้โทรเลขไปที่วัดศรีจันทร์

ตอนหลวงปู่ออกไปบ้านนอก โทรเลขไปว่าให้ประโยค 3 ประโยค 4 สอบใหม่ ขึ้น 2 ค่ำ เดือน 7 ก็เตรียมตัวลงกรุงเทพฯ

มาวันหนึ่งก็เอาหนังสือมาดู ดูไปดูมาจิตมันไม่จำ ก็เลยเอาหนังสือมากองรวมไว้บนโต๊ะ แล้วก็กราบ แล้วนั่งสมาธิ

พอจิตมันรวมแล้วปรากฏว่าหลวงปู่มั่นถามว่า "มหาๆ ตัดจีวรเป็นไหม" ดังขึ้นที่หู 3 ครั้ง ก็เลยมากราบหนังสือ แล้วก็เปิดหาประโยคตัดจีวร เป็นภาค 1 ของมงคลทีปนี้ ก็ดูอยู่ประมาณ 4-5 วันดูแต่อันเดียวนั่นแหละ ได้แปลตามเผด็จสำนวนแปลของสมเด็จพระสังฆราชองค์ปัจจุบันนี้บ้าง (น่าจะหมายถึง สมเด็จพระสังฆราชเจ้า กรมหลวงวชิรญาณสังวร– Admin) ของท่านเจ้าคุณพระอริยเวที (เขียน) บ้าง ท่านกำลังสอบประโยค 9 อยู่ แปลให้คล่องเลย เวลาออกมาตรงเป๊ะ จึงสอบได้ประโยค 4 ปีนั้น

ท่านพูดอีกคำหนึ่งว่า เอาประโยค 4 พอ ถ้ามากประโยค กิเลสมันมาก ว่าอย่างนั้น พยายามสอบประโยค 5 อยู่เจ็ดปีก็ไม่ได้"

ลปจันศรี.pdf - Adobe Acrobat Reader (64-bit)
หลวงปู่จันทร์ศรี จนฺททีโป (รูปจาก สุริยาส่องฟ้า จันทร์ศรีส่องธรรม)

7) หลักการภาวนาจากหลวงปู่มั่น

"ในวันหนึ่ง พอกลางคืนหลวงปู่ก็ไปนวดให้หลวงปู่มั่น นวดไปๆ ก็เรียนถามท่านว่า

"หลวงปู่ๆ จิตเป็นโสดา สกิทาคา อนาคา มันเป็นอย่างไร"

ท่านไม่ตอบแต่ไล่ลงไปเดินจงกรม

ไปเดินจงกรมได้ 2 ชั่วโมง จิตมันไม่รวม จึงขึ้นมาบนกุฏิ กราบเรียนท่านว่าจิตมันฟุ้งซ่าน มองเห็นแต่หน้าสตรี ท่านก็ไล่ลงให้ไปเดินอยู่อย่างนั้นแหละ พอเดินไปเดินมาขึ้นมาอีก

พอวันที่ 7 ท่านทรมาน ประมาณตั้งแต่ 4 ทุ่ม ให้หลวงปู่นั่งสมาธิ ท่านก็นอนอยู่บนเตียงนี่แหละ ทีนี้ท่านคุมจิตเรา

เวลาท่านคุมจิต จิตเรามันคิดไปไหนๆ ท่านก็ทักเรื่อยๆ

จนกระทั่งเราเกิดความรู้สึกกลัวท่าน เพราะท่านรู้จักวาระจิตเราจริงๆ ไม่กล้าคิดไปไหน

ท่านบอกว่าให้เอาสติควบคุมจิต ดึงเข้ามาอยู่ที่หัวใจ ให้ว่า พุทโธๆ จนจิตสงบ แล้วใช้ปัญญาพิจารณากายของตนตั้งแต่หนังที่หุ้มห่อร่างกายอยู่นี้ ให้จิตเห็นเป็นอสุภกรรมฐานเป็นของสกปรกน่าเกลียด เมื่อตายแล้วไม่มีใครต้องการ สังขารทั้งปวงตกอยู่ในไตรลักษณ์คือ อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา ด้วยกันทั้งนั้น

เวลา 02.00 น. จิตของหลวงปู่ สงบจากอารมณ์ภายนอกที่จะมาสัมผัส เกิดความสว่างขึ้นกับจิต

พอจิตรวมได้ รู้สึกว่ากายมันเบา นั่งอยู่ตลอดจนกระทั่งถึงตี 5 ท่านก็บอกว่า

"เอ้า มหา ก่อนที่จะถอนจิตนั้น ให้ตั้งสติสัมปชัญญะ ทวนกระแสจิตดูว่าก่อนจิตจะสงบได้นั้นมัน ยึดอารมณ์อะไร"

หลวงปู่ก็ทวนกระแสจิต 10 ครั้ง ว่าเราทำอย่างไร จิตถึงได้รับผลอย่างนี้ ท่านบอกให้กราบ 3 ครั้ง แล้วท่านพูดว่า

"วันนี้มหาภาวนาได้ดีพอสมควร จำวิธีพิจารณาจิตไว้นะอย่าปล่อย ให้ทำภาวนาอย่างนี้ทุกวัน"

แล้วก็กราบพระ เตรียมไปบิณฑบาต หลวงปู่ก็ได้หลักการภาวนาจากหลวงปู่มั่นจนตั้งแต่บัดนั้นมา กระทั่งอยู่มาจนกระทั่งบัดนี้ เรียกว่าเป็นโชคดี ตอนนั้นอายุ 29 ปีเตรียมจะลาสิกขาอยู่แล้ว

ในตอนนั้นก็มีลูกสาวทนาย มาใส่บาตรอยู่เรื่อย สวย บางทีก็มาขอสบงจีวรของเราไปซัก แต่หลวงปู่ก็ไม่ให้"


หลวงปู่จันทร์ศรี จนฺททีโป (รูปจาก สุริยาส่องฟ้า จันทร์ศรีส่องธรรม)

8) วันแห่งกำไรชีวิตพรหมจรรย์

หลวงปู่จันทร์ศรี เล่าถึงประวัติท่านต่อว่า

"หลวงปู่ได้หลักการปฏิบัติสมถวิปัสสนากัมมัฏฐานจากหลวงปู่มั่น ภูริทตฺตมหาเถร ผู้ทรงคุณวุฒิด้านวิปัสสนาธุระ เป็นพระบูรพาจารย์ของพระธุดงคกัมมัฏฐานเป็นจำนวนมาก

โดยเฉพาะในภาคอีสาน การที่ได้รับการศึกษาอบรมจิตภาวนากับท่าน 15 วัน สามารถทำจิตของตนให้มั่นคงในการดำรงเพศสมณะ ตั้งแต่นั้นมาพยายามภาวนาตามแบบที่ท่านสอนคือ เอาพุทโธ คำเดียวนั่นล่ะและก็พิจารณาอสุภกรรมฐานไปด้วย

ผลที่ได้รับคือจิตสงบ เยือกเย็น จากสิ่งแวดล้อมภายนอกที่จะมากระทบทางตา หูจมูก ลิ้น กายและใจ ได้รับแสงสว่าง อันเกิดจากภาวนาตามสมควรแก่ฐานะ นับว่าเป็นลาภอันประเสริฐ ซึ่งเกิดจากดวงจิตของเรา ซึ่งเป็นสิ่งที่น่าอัศจรรย์ยิ่งนัก ถึงกับท่านพูดกับหลวงปู่ว่า

"มหาภาวนาเป็น ควรเลิกเรียนปริยัติ ออกปฏิบัติกัมมัฏฐานอีก จะได้พ้นทุกข์ ประสบแต่ความสุขกาย สุขใจ ไม่ต้อง เวียนว่ายตายเกิดในสังสารอีก ดังนี้ เป็นต้น"

เป็นอันว่าได้อุปัฏฐากใกล้ชิดกับหลวงปู่มั่น ภูริทตฺตมหาเถร ชั่วระยะหนึ่งเป็นเวลา 15 วัน ท่านจึงจากไป ในปีนั้นหลวงปู่ได้กำไรแห่งชีวิต ทำศาสนกิจอยู่ในเพศพรหมจรรย์จนถึงปัจจุบัน" (สุริยาส่องฟ้า จันทร์ศรีส่องธรรม, 2555:54-71)


รูปองค์หลวงปู่มั่น ภูริทตฺโต ถ่ายที่วัดป่าสุทธาวาส ในช่วงปลายปี พ.ศ. 2484 (รูปจาก คลังสารสนเทศดิจิทัล มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์)

5. อนุญาตให้ถ่ายรูป

          อนุสรณ์ที่รำลึกถึงองค์หลวงปู่มั่น ที่สืบทอดมาจนถึงปัจจุบัน คือ รูปถ่ายที่หากสังเกตด้านหลัง จะเป็นพระพุทธรูปปางป่าเลไลย์ จากการศึกษาของผู้ดูแลเว็บไซต์ www.luangpumun.org ที่กล่าวว่า เป็นรูปที่ถ่ายที่วัดป่าสุทธาวาส โดยมีรายละเอียดตามบันทึก ดังนี้

รวมภาพถ่าย ท่านพระอาจารย์มั่น หลวงปู่มั่น ภูริทตฺตมหาเถร www.luangpumun.org and 6 more pages - Work - Microsoft​ Edge
พระพุทธรูปปางป่าเลไลย์และเขามอ ซึ่งเคยอยู่ในบริเวณวัดป่าสุทธาวาส จังหวัดสกลนคร ภาพถ่ายเก่าของวัดที่ถ่ายไว้เมื่อวันที่ 6 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2514 ปรากฏอยู่ด้านหลังองค์หลวงปู่มั่นในรูปถ่ายวัดป่าสุทธาวาส (รูปจาก luangpumun.org)

... ในปลายปี พ.ศ. 2484 ท่านไปพักวัดป่าสุทธาวาส สกลนคร ขณะที่ท่านพักอยู่มีประชาชนพระเณรพากันมากราบเยี่ยมและฟังโอวาทท่านมิได้ขาด ท่านพักวัดป่าสุทธาวาสครั้งนั้นมีผู้มาขอถ่ายภาพท่านไว้กราบไหว้บูชา

ท่านอนุญาตให้ถ่ายภาพท่านคราวมาพักนครราชสีมาครั้งหนึ่ง คราวมาพักที่สกลนครครั้งหนึ่ง ที่บ้านฝั่งแดง อำเภอพระธาตุพนม จังหวัดนครพนม คราวกลับจากงานฌาปนกิจศพท่านพระอาจารย์เสาร์ครั้งหนึ่ง ที่ท่านผู้เคารพเลื่อมใสในท่านได้รับแจกไว้สักการะบูชาทุกวันนี้ ก็เนื่องมาจากที่ท่านอนุญาตให้ถ่ายสามวาระนั่นแล ไม่เช่นนั้นก็คงไม่มีอะไรปรากฏเป็นพยานแห่งความเลื่อมใสในทางรูปกายท่านบ้างเลย เพราะปกติท่านไม่ชอบให้ถ่ายอย่างง่าย ๆ กว่าจะอนุญาตให้ใครแต่ละครั้ง ผู้นั้นต้องรู้สึกอึดอัดใจอยู่ไม่น้อย ต้องนั่งถอยเข้าถอยออก และเปลี่ยนท่าเปลี่ยนทีอยู่หลายครั้ง จนเหงื่อแตกโชกไปทั้งตัวโดยไม่รู้สึก เพราะเคยทราบมาแล้วว่า ท่านไม่ค่อยอนุญาตให้ใครถ่ายเลย ดีไม่ดีถ้าเข้าไม่สบโอกาสอาจโดนดุก็ได้ จึงต้องกลัวกันทุกรายไป ... (หลวงตามหาบัว ญาณสมปนฺโน)

 

6. เดินทางมาบ้านนามนและจำพรรษาบ้านโคก

เมื่อองค์หลวงปู่มั่นพำนักอยู่ที่วัดป่าสุทธาวาสเป็นเวลา 15 วัน ท่านได้มาพำนักที่บ้านนามน อ.โคกศรีสุพรรณ จ.สกลนคร ต่อจากนั้นจึงไปยังบ้านโคก ซึ่งอยู่ห่างประมาณ 2 กิโลเมตร จำพรรษาในปี พ.ศ. 2485 โดยมีรายละเอียดตามบันทึกประวัติองค์หลวงปู่มั่น โดย หลวงตามหาบัว ดังนี้

... ท่านพักวัดป่าสุทธาวาสพอควรแล้ว ก็ออกเดินทางไปพักที่สำนักป่าบ้านนามน ซึ่งเป็นที่สงัดวิเวกดีทั้งกลางวันกลางคืน เหมาะกับอัธยาศัยท่านที่ชอบเช่นนั้นมาประจำนิสัย พระเณรที่ไปอาศัยอยู่กับท่านเห็นแล้วน่าเลื่อมใสอย่างจับใจ มีแต่องค์พูดน้อยแต่ชอบต่อยมาก ๆ กันทั้งนั้น คือท่านไม่ชอบพูดคุยกัน ต่างองค์ประกอบความเพียรตลอดเวลาในที่ของตน อยู่ในกระต๊อบเป็นหลัง ๆ บ้าง อยู่ในที่จงกรมในป่าริมที่พักบ้าง ถึงเวลาบ่าย 4 โมงเย็นเวลาปัดกวาดลานวัด ถึงจะเห็นท่านเดินออกมาจากที่ต่าง ๆ แล้วปัดกวาดลานวัดโดยพร้อมเพรียงกัน จากนั้นก็พากันขนน้ำขึ้นใส่ตุ่มล้างเท้า ตุ่มล้างบาตร และสรงน้ำอย่างสงบเสงี่ยมงามตา ต่างองค์ต่างมีท่าอันสำรวม มีสติปัญญาพิจารณาธรรมไปกับกิจวัตรที่ทำ มิได้เลินเล่อเผลอตัวคะนองปากพูดไปต่าง ๆ ...(หลวงตามหาบัว ญาณสมฺปนฺโน)


คุณแม่นุ่ม ชุวานนท์ และน้องสาวทั้งสอง ผู้เป็นกำลังหลักในการตั้งวัดป่าสุทธาวาส (รูปจาก ญาณสัมปันนธัมมานุสรณ์)

ต่อจากนั้นวัดป่าสุทธาวาส จะเป็นสถานที่สำคัญในวาระนิพพานองค์หลวงปู่มั่น ภูริทตฺโต

อ้างอิง
ประวัติพระอาจารย์มั่น ภูริทตฺตเถร โดย หลวงปู่มหาบัว ญาณสมฺปนฺโณ พ.ศ. 2547
พระราชธรรมเจติยาจารย์ (วิริยังค์ สิรินฺธโร), ประวัติพระอาจารย์มั่น ภูริทัตตเถระ (ฉบับสมบูรณ์), สถาบันพลังจิตตานุภาพ : กรุงเทพฯ, 2541.
สุริยาส่องฟ้าจันทร์ศรีส่องธรรม เนื่องในฉลองมงคลอายุกาล 101 ปี พระอุดมญาณโมลี (หลวงปู่จันทร์ศรี จนฺทธีโป) พ.ศ. 2555.
หลวงปู่เจี๊ยะ จุนฺโท พระผู้เป็นดั่งผ้าข้าริ้วห่อทอง โดย พระมหาธีรนาถ อคฺคธีโร พ.ศ. 2547.
ญาณสัมปันนธัมมานุสรณ์ ประวัติหลวงตามหาบัว ญาณสมฺปนฺโน โดย คณะศิษยานุศิษย์ พ.ศ. 2554.
ประวัติหลวงปู่ทองรัตน์ กนฺตสีโล และ หลวงปู่กินรี จนฺทิโย (Online) จากเว็บบอร์ด ลานธรรมจักร

 

แสดงความเห็น  >>คลิ๊กที่นี่<<

< ตอนก่อนหน้า : ตอนต่อไป >