๒. ท่านพระอาจารย์มั่น
รับนิมนต์สวดมนต์ในบ้าน
ครั้งนั้นชาวบ้านหนองผือเกิดเหตุการณ์ที่ไม่เคยมีมาก่อน
นั่นก็คือเกิดโรคระบาดชนิดหนึ่ง อย่างรุนแรง มีคนตายเกือบทุกวันครั้งละ
๑ - ๒ คน แต่ละวันต้องเอาคนตายไปฝังไปเผาอยู่เสมอ จนทำให้ผู้คนประชาชนแตกตื่นกลัวกันมากไม่รู้ว่าจะทำประการใด
บางคนก็คิดอยากอพยพรื้อบ้านเรือน หนีไปอยู่ท้องถิ่นอื่น แต่ก็ยังลังเลใจอยู่ไม่กล้าตัดสินใจเพราะบ้านหนองผือนี้ยังเป็นหมู่บ้านี่อุดมสมบูรณ์อยู่มาก
และเป็นหมู่บ้านที่ตั้งมานานพอสมควร ถ้าจะปล่อยให้ว่างเปล่าอยู่ก็รู้สึกว้าเหว่มาก
หมดที่พึ่งที่อาศัย ในตอนนี้ชาวหนองผือหดหู่ใจกันมาก ทั้งกลัวโรคระบาดชนิดนี้จะมาถึงตัวในวันใดคืนใดก็ไม่อาจรู้ได้
การรักษาหยูกยาในสมัยนั้นมีแต่รากไม้สมุนไพรต่างๆ เท่านั้น กินได้ก็ไม่ค่อยจะหายนอกจากนั้นบางคน
ก็วกไปหาหมอผีทำพิธีไสยศาสตร์เสกเป่าต่างๆ ก็มี คือทำทุกวิถีทาง เพื่อจะให้หายเพราะความกลัวตาย
เมื่อเป็นอยู่อย่างนี้ชาวบ้านก็มีความทุกข์ความลำบากใจ
บางคนก็หมดอาลัยตายอยากในชีวิต ตกตอนกลางคืนมาก็พากันเข้าห้องนอนกันเงียบ
ไม่มีใครกล้าจะออกมาเพ่นพ่านตามถนนหนทางกันเลย ในที่สุดพวกคนวัดคนวา
คนเฒ่าคนแก่ ผู้รู้หลักนักปราชญ์พิธีในทางพุทธศาสนาจึงพากันตกลงว่าต้อง
ทำพิธีบุญชำระกลางหมู่บ้าน ปัดรังควาน ตามประเพณีโบราณนิยมของภาคอีสานสมัยนั้น
แต่ก็มีปัญหาเล็กน้อย เนื่องด้วยชาวบ้านหนองผือมีความเคารพและเกรงกลัวท่านพระอาจารย์มั่นมาก
งานการอะไรที่คิดว่าไม่สมเหตุสมผล ก็ไม่อยากจะให้ถึงท่านแต่ถ้าไม่ถึงท่านก็ไม่ได้อีก
เพราะว่างานพิธีบุญในครั้งนี้จำเป็นต้องนิมนต์พระสงฆ์ไป เจริญพระพุทธมนต์
ที่ปะรำพิธีกลางบ้านด้วย สำหรับพวกโยมเจ้าพิธีทั้งหลายต่างก็พะวักพะวนใจอยู่ว่า
จะตัดสินใจกันอย่างไรสุดท้ายจึงตกลงให้โยมผู้ชายคนใดคนหนึ่งเข้าไปปรึกษาหารือกับท่านพระอาจารย์มั่นที่วัดป่าหนองผือ
ดูก่อน ในตอนนี้โยมบางคนกลัวท่านพระอาจารย์มาก ไม่กล้าไปขอตัวไม่เป็นผู้เข้าไปปรึกษาหารือกับท่านพระอาจารย์มั่น
ในที่สุดจึงได้มอบหมายหน้าที่ให้โยมผู้ชายคนหนึ่งซึ่งมีความกล้าหน่อย
ซึ่งเขาเคยบวชพระมานานพอสมควรแต่ ลาสิกขามามีครอบครัวแล้ว เป็นผู้เข้าไปปรึกษาเรื่องนี้กับท่านพระอาจารย์มั่น
เขาชื่ออาจารย์ บู่ นามสกุล ศูนย์จันทร์ ( ชาวบ้านหนองผือ
ผู้อยู่ในเหตุการณ์สมัยท่านพระอาจารย์มั่นมาจำพรรษาที่วัดป่าบ้านหนองผือ
ขณะนี้บวชเป็นพระพักอยู่สำนักสงฆ์ดานกอย ) ท่านเล่าว่า " ตอนแรกก็กลัวท่านเหมือนกัน
แต่ดูแล้วคนอื่นเขาไม่กล้าเลย ตัดสินใจรับว่า ตายเป็นตายแต่ยังอุ่นใจอยู่อย่างหนึ่งว่า
ท่านเป็นพระระดับนี้ผิดถูกอย่างไรท่านคงจะบอกสอนเรา อาจเป็นว่าเราคิดมากไปเองก็ได
้" โยมอาจารย์บู่ ท่านจึงตกลงไปที่วัดหนองผือ เพื่อเข้าไปหาท่านพระอาจารย์มั่น
เมื่อไปถึงวัดขณะนั้นท่านพระอาจารย์มั่น กำลังนั่งอยู่ที่อาสนะหน้าห้องกุฏิท่าน
หลวงพ่อบู่เล่าว่า ก่อนที่จะก้าวเดินขึ้นบันได กุฏิท่านนั้นรู้สึกว่าใจมันตีบตันไปหมด
จึงอดใจก้าวเท้าจนกระทั่งเท้าเหยียบขั้นบันไดขั้นแรกและขั้นที่สอง พร้อมกับศรีษะ
ตัวเองโผล่ขึ้นไป พอมองเห็นท่านพระอาจารย์มั่น ท่านจึงหันหน้าขวับมาพร้อมกับกล่าวขึ้นก่อนว่า
" ไปหยังพ่อออกจารย์ บู่ " ตอนนี้จึงทำให้โยมอาจารย์บู่โล่งอกโล่งใจ
จิตใจที่ตีบตันก็หายไป มีความปลอดโปร่งขึ้นมาแทนที่ จึงเดินขึ้นบันไดแล้ว
คลานเข้าไปกราบท่าน เสร็จแล้วเล่าเรื่องราวความเป็นมาต่างๆ ให้ท่านทราบ
ท่านพระอาจารย์มั่นฟังเสร็จได้หลับตาลงนิดหนึ่ง
เมื่อลืมตาขึ้นมาท่านพูดว่า " มันสิเป็นหยัง เมืองเวสาลี เกิดโรคระบาดฮ้อนฮน
คนตายกันปานอึ่ง พระพุทธเจ้าให้ไปสวดพระพุทธมนต์คาถาบทเดียว ความฮ้อนฮนหมู่นั้นจึงหาย
ไปหมดสิ้น..เอาทอนี่ละน้อ " ท่านพูดเสร็จแล้วก็ไม่พูดอะไรต่อไปอีก เนื้อความนั้นหมายความว่า
" จะเป็นอะไรไป เมืองเวสาลี คราวนั้นเกิดโรคระบาดร้อนรน อนธการ มีผู้คนนอนตายกันเหมือนกับอึ่ง
กับเขียด พระพุทธเจ้าให้ไปเจริญพระพุทธมนต์ เรื่องราวความเดือดร้อนต่างๆ
เหล่านั้นก็หายไปจนหมดสิ้น " หลวงพ่อบู่เล่าว่า เมื่อได้ฟังท่านพระอาจารย์มั่นพูดอย่างนั้นแล้ว
รู้สึกมีความดีใจมาก เกิดมีกำลังใจขึ้นมาเป็นอย่างยิ่ง จึงขอโอกาสกราบลาท่านพระอาจารย์มั่นลงจากกุฏิท่านไป
แล้วรีบกลับ บ้านไปป่าวร้องให้ชาวบ้านทราบว่า ท่านพระอาจารย์มั่นอนุญาตแล้ว
ให้พวกเราพากันจัดการเตรียมสร้างปะรำพิธีให้เรียบร้อย ชาวบ้านต่างคนก็ต่างดีใจมาก
พากันจัดแจงปลูกปะรำพิธีกลางบ้านเสร็จในวันนั้น นอกจากนั้นยังจัดหาอาสนะ
ผ้าขาวกั้นแดด กระโถน กาน้ำ ตลอดทั้งเครื่องประกอบต่างๆ ในพิธีให้ครบถ้วนหมดทุกอย่าง
เมื่อพร้อมแล้วได้วันเวลา จึงไปอาราธนานิมนต์ พระสงฆ์มาเจริญพระพุทธมนต์
งานนี้เห็นว่าทำกันสองวัน วันแรกท่านพระอาจารย์มั่นไม่ได้ขึ้นมาสวดด้วยท่านจัดให้พระสงฆ์
ภายในวัดขึ้นมาสวดก่อน ต่อเมื่อวันสุดท้ายท่านจึงขึ้นมา ตอนนี้หลวงพ่อบู่เล่าว่าท่านเดินขึ้นมาสวดมนต์ด้วยเท้าเปล่า
ไม่สวมรองเท้ารวมทั้งพระติดตามอีก ๓ - ๔ รูปก็เหมือนกัน ฝ่ายทางปะรำพิธีพวกญาติโยมก็เตรียมน้ำสำหรับล้างเท้าไว้รอท่า
อยู่ก่อนแล้ว ท่านเดินทางมาถึงหน้าปะรำพิธี มีโยมคนหนึ่งเตรียมล้างเท้า
อีกคนหนึ่งเป็นคนคอยเช็ด ทำไปจนเสร็จหมดทุกรูป เมื่อท่านขึ้นไปนั่งบนอาสนะที่จัดไว้ทุกรูปแล้ว
โยมก็เข้าไปประเคนน้ำ หมากพลู บุหรี่ สักครู่ท่านเริ่มทำพิธีเจริญพระพุทธมนต์
เพราะญาติโยมเขามานั่งรอท่าก่อนพระสงฆ์มาถึงแล้ว
หลวงพ่อบู่เล่าว่า พิธีในวันนั้น
ท่านพระอาจารย์มั่นท่านนำพระเจริญพระพุทธมนต์เพียงสองหรือสามรุปเท่านั้น
ที่จำได้มี รตนสูตรและกรณียเมตตสูตร ไม่นาก็จบลง หลังจากนั้นท่านพระอาจารย์มั่นได้เทศน์อบรมฉลองพวกญาติโยมที่มา
ร่วมในงานนั้น อันเกี่ยวกับเรื่องของความตายและคนกลัวตายว่า "เป็นเพราะไม่มีที่พึ่งทางจิตใจหรือไม่รู้ที่พึ่งอันเกษมอันอุดม
จึงกลัวการตายแต่ไม่กลัวการเกิด เมื่อเป็นเช่นนี้จึงคว้าโน้นคว้านี้เป็นที่พึ่ง
บางคนกลัวตายแล้วไปไขว่คว้าเอาสิ่งอื่นมาเป็นที่พึ่ง ที่เคารพนับถือด้วยความงมงาย
มีการอ้อนวอน วิงวอนขอโดยวิธีบนบานศาลกล่าวจากเถื่อนถ้ำและภูเขา ต้นไม้ใหญ่
ศาลพระภูมิเจ้าที่เจ้าทางต่างๆ ที่ตนเองเข้าใจว่าเป็นที่สถิตย์อยู่ของสิ่งศักดิ์สิทธิ์ทั้งหลาย
อันอาจดลบันดาลให้ชีวิตตนรอดพ้น จากอันตรายความตายและความทุกข์ได้ จึงหลงพากันเซ่นสรวงด้วยเครื่องสังเวยต่างๆ
ตามที่ตนเองเข้าใจว่าเจ้าของสถานที่ เหล่านั้นจะพอใจหรือชอบใจ นอกจากนั้นยังมี
การทรงเจ้าเข้าผี สะเดาะเคราะห์ สะเดาะนาม สืบชะตาราศี ตัดกรรมตัดเวร
โดยวิธีต่างๆ เหล่านี้"
ท่านพระอาจารย์มั่นเทศน์ต่อไปอีกว่า
"ที่พึ่งอันอุดมมั่นคงนั้นคือการให้ภาวนา น้อมรำลึกนึกเอาพระคุณอันวิเศษ
ของพระพุทธเจ้า พร้อมพระธรรมและพระอริยสงฆ์ มาเป็นที่ยึดเหนี่ยวทางด้านจิตใจ
จึงจะเป็นการถูกต้องสมกับที่พวก เราเป็นผู้รับ นับถือเอาพระรัตนตรัยมาเป็นที่พึ่งประจำกายใจของตน
และอีกอย่างให้ประพฤติปฏิบัติตามหลักของอุบาสก อุบาสิกา มีการให้ทาน
รักษาศีลและเจริญเมตตาภาวนา" สุดท้ายท่านได้ย้ำลงไปว่า " ต่อไปนี้ให้ญาติโยมทุกคนทั้งหญิง
ทั้งชาย เฒ่าแก่ เด็กเล็กเด็กน้อยก็ตาม พากันสวดมนต์ทำวัตรทั้งเช้าทั้งเย็น
ก่อนนอนตื่นนอนทุกวัน ให้ผู้ใหญ่ในครอบครัว พ่อแม่เป็นผู้พาทำ ทำที่บ้านใครบ้านมัน
ทุกครัวเรือน ถ้าทำได้อย่างนี้ก็จะเป็นบุญเป็นกุศลแก่พวกเรา ความเดือดร้อนต่างๆ
เหล่านั้นมันก็จะหายไปเอง " ท่านให้โอวาทอบรมชาวบ้านหนองผือในครั้งนั้นเป็นเวลานานพอสมควร
จึงได้จบการให้โอวาทลง จากนั้นท่านพูดคุยกับญาติโยมนิดๆ หน่อยๆ แล้วสักครู่
ท่านจึงกลับวัด
งานบุญในครั้งนี้ทำกัน ๒
วัน ที่น่าสังเกตคือ พระสงฆ์ที่ไปเจริญพระพุทธมนต์ที่บ้านนั้นไม่ได้ไปฉันข้าวที่บ้านใน
ตอนเช้า การถวายภัตตาหารเช้าแด่พระสงฆ์นั้นให้เอาไปรวมถวายที่วัดทั้งหมดจึงเป็นการสิ้นสุดลงของงานบุญในครั้งนี้
ขอแทรกเรื่องนี้สักเล็กน้อย เหตุที่ชาวบ้านหนองผือไม่นิยมนิมนต์พระไปฉันข้าวในงานบุญบ้านนั้น
เพราะมีอยู่ครั้งหนึ่ง มีงานบุญที่บ้านโยมคนหนึ่ง บ้านที่จัดงานบุญนั้นเป็นบ้านที่ไม่ใหญ่โตมากนัก
ปลูกสร้างแบบชนบทบ้านนอกโบราณ รู้สึกว่าจะคับแคบสักหน่อย ที่สำหรับพระนั่งก็คับแคบมาก
แต่เจ้าภาพเรือนนี้คงไม่เคยจัดงานอย่างนี้หรือเพื่อจะมีหน้ามีตา อย่างใดก็ไม่อาจทราบได้
นิมนต์พระขึ้นไปตั้งมากมาย เมื่อพระขึ้นไปบนบ้านแล้วจึงทำให้ท่านยัดเยียดกันอยู่
ทำความ ลำบากใจให้แก่พระมาก กว่างานจะเสร็จจึงทำเอาพระหน้าตาเสียความรู้สึกไปหมด
เรื่องนี้ท่านพระอาจารย์มั่น
ท่านจึงสอนชาวบ้านหนองผือว่า " จะนิมนต์พระมาสวดมาฉันในบ้านก็ต้องดูสถานที่ก่อน
ถ้าที่คับแคบให้นิมนต์พระมาแต่น้อย ถ้ากว้างขวางก็ให้ดูความเหมาะสม หากนิมนต์มาแล้วทำให้พระลำบาก
ยิ่งพระแก่ๆ แล้ว ยิ่งลำบากมาก เมื่อเป็นเช่นนี้ญาติโยมก็จะไม่ได้บุญ
จะเป็นบาปเสียเปล่าๆ และอีกอย่างหนึ่งการเอาพระขึ้นมาฉันข้าวในงานบุญ
บ้านก็เหมือนกันยิ่งลำบากมาก ไม่รู้ว่าอะไรวุ่นวี่วุ่นวายกันไปหมด พอฉันเสร็จแล้วพระบางรูปก็อาจปวดท้องไส้ขึ้นมาแล้วจะวิ่ง
ไปที่ไหน ยิ่งพระเฒ่าพระแก่ๆ แล้วยิ่งทรมานมาก ปวดท้องขึ้นมารังแต่จะออก
จะวิ่งไปอย่างไร ถึงแม้มีที่วิ่งไปก็คงดูไม่งาม สำหรับสมณเพศ ฉะนั้นจึงให้ญาติโยมพิจารณาดู
" ตั้งแต่นั้นมาชาวบ้านหนองผือไม่เคยนิมนต์พระไปฉันข้าวในงานบุญบ้าน
แต่สำหรับการนิมนต์พระไปเจริญพระพุทธมนต์ พร้อมแสดงธรรมเทศนาหลังสวดมนต์เสร็จในงานบุญบ้านต่างๆ
นั้นยังทำ กันอยู่ตามปกติ จึงเป็นระเบียบประเพณีปฏิบัติสืบกันมาจนถึงทุกวันนี้
< หน้าก่อน หน้าต่อไป
>