ปกิณกธรรม ของ พระอาจารย์มั่น ภูริทัตฺตเถร
  หน้า : [ 1 | 2 | 3 | 4 | 5 | 6 | หน้าหลัก ]


๓. เรื่องศพที่ท่านพระอาจารย์มั่นพาปฏิบัติ

       ครั้งหนึ่งมีเหตุเด็กผู้ชายป่วยไข้ตายลง ชื่อเด็กชาย นงค์ นามสกุล จันทะวงษา อายุประมาณ ๖ ขวบ เป็นไข้ตาย อยู่ที่กระท่อมเถียงนา เพราะเป็นหน้ากำลังดำนากัน ตามปกติพ่อแม่ในชนบทบ้านนอกทางภาคอีสานสมัยนั้น เมื่อถึงหน้าฤดู ทำนาก็ต้องหอบลูกจูงหลานไปนาด้วย แม้ลูกหลานจะป่วยไข้แต่พอเอาไปก็ต้องเอาไป เผื่อจะได้เยียวยารักษากันไป พร้อมกับทำนาไปด้วยเพื่อจะเร่งงานนาให้เสร็จทันกับฤดูกาล แต่วันนั้นบังเอิญเด็กมีไข้ขึ้นสูง เยียวยาไม่ทันในที่สุดก็ตาย ทำให้พ่อแม่พี่น้องมีความเศร้าโศกเสียใจมาก

       เมื่อตายแล้วพ่อแม่ญาติพี่น้องต้องการจะให้นำศพเด็กเข้าไปทำบุญที่บ้าน แต่มาขัดข้อเรื่องของ ความคิดเห็นตามประเพณีโบราณว่า คนที่ตายในทุ่งในป่าห้ามไม่ให้เอาผ่านเข้าบ้านโบราณท่านถือ และอีกอย่างคนตายโหง หรือตายอย่างกระทันหัน เช่น ตายจากอุบัติเหตุ ผูกคอตาย ฆ่ากันตาย ยิงกันตาย เหล่านี้เป็นต้น โบราณท่านไม่ให้หาม ผ่านเข้าบ้านและห้ามเผาให้ฝังครบสามปีแล้วจึงขุดเอากระดูกขึ้นมาเผาได้ เลยทำให้ชาวบ้านหนองผือสมัยนั้นถกเถียงกันไป ถกเถียงกันมา ในที่สุดญาติโยมจึงนำปัญหานี้ไปปรึกษาสอบถามกับท่านพระอาจารย์มั่น

       ท่านได้แก้ความสงสัยนี้ให้แก่ญาติโยมบ้านหนองผือด้วยเหตุผลง่ายๆว่า " พวกหมูป่า อีเก้ง กวางที่ยิงตาย ในป่า ยังเอามาเข้าบ้านเรือนได้ นี่มันคนตายแท้ๆ ทำไมจะเอาเข้าบ้านเข้าเรือนไม่ได้ " ดังนั้นญาติโยมชาวบ้านจึงนิ่งเงียบไป ทำให้หูตาสว่างขึ้นมา สุดท้ายก็นำเอาศพเด็กชายคนนั้นเข้าไปทำบุญที่บ้าน และเผาเหมือนกันกับศพของคนตายตามปกติ ธรรมดาทุกอย่าง ภายหลังต่อมาชาวบ้านหนองผือจึงไม่ค่อยถือในเรื่องนี้เป็นสำคัญ คนตายทุกประเภทจึงทำเหมือนกันหมด

       สมัยที่ท่านพระอาจารย์มั่นพำนักอยู่สำนักวัดป่าบ้านหนองผือ ช่วงระยะ ๕ พรรษานั้นมีเหตุการณ์หนึ่งเกิดขึ้น คือ มีพระที่จำพรรษาอยู่ด้วยท่านมรณภาพลง ๒ รูป คือ พระอาจารย์สอกับพระอาจารย์เนียม แต่มรณภาพลงคนละเดือน โดยเฉพาะพระอาจารย์เนียม มรณภาพเมื่อตอนเช้าด้วยอาการสงบ ท่านพระอาจารย์มั่นก็ทราบเรื่องทุกอย่าง พอตอนเช้า ท่านพระอาจารย์มั่นก็พาพระเณรไปบิณฑบาตรภายในหมู่บ้านตามปกติ ในขณะที่ท่านกำลังบิณฑบาตรอยู่นั้น ท่านพูดขึ้นเป็น สำเนียงอีสานว่า " ท่านเนียมฮู้แล้วน้อ พ่อออกแม่ออก ท่านเนียมฮู้แล้วน้อ " ท่านพูดอย่างนั้นไปเรื่อยๆ กับกลุ่มญาติโยม ที่รอใส่บาตรทุกกลุ่มจนสุดสายบิณฑบาตร คำพูดของท่านนั้นหมายความว่า พระอาจารย์เนียมอยู่กับที่แล้วไม่กระดุกกระดิก แล้วหรือตายแล้ว ซึ่งญาติโยมตอนนั้นบางคนก็เข้าใจบางคนก็ไม่เข้าใจความหมาย ภายหลังจึงเข้าใจชัดว่า พระอาจารย์เนียม มรณภาพแล้วเมื่อเช้านี้ เมื่อญาติโยมทั้งหลายได้ทราบอย่างนั้นแล้วจึงบอกต่อๆ กันไป แล้วพากันเตรียมตัวไปที่วัดในเช้าวันนั้น

       สำหรับท่านพระอาจารย์มั่นพร้อมทั้งพระเณรบิณฑบาตรเสร็จแล้วกลับถึงวัด ล้างเท้าขึ้นบนศาลาหอฉัน วางบาตร บนเชิงบาตร ลดผ้าห่ม คลี่ผ้าสังฆาฏิที่ซ้อนออก ห่มเฉพาะจีวรเฉวียงบ่าเรียบร้อยแล้วพับเก็บผ้าสังฆาฏิ จึงเข้าประจำที่ฉัน เตรียมจัดแจงอาหารลงบาตร เพราะมีโยมตามส่งอาหารที่วัดด้วย เสร็จแล้วอนุโมทนายถาสัพพีตามปกติ จึงพร้อมกันลงมือฉัน

       ฝ่ายพวกชาวบ้านญาติโยมภายในหมู่บ้าน ที่จะมาวัดในเช้าวันนั้นก็กำลังบอกล่าวป่าวร้องให้ผู้คนประชาชนไปที่วัด เพื่อจะได้จัดเตรียมเอาเครืองใช้ไม้สอยและอุปกรณ์จำเป็นในการที่จะทำงานฌาปณกิจศพตามประเพณี ทั้งคนเฒ่าคนแก่ หนุ่มๆ แข็งแรงก็ให้ไปด้วย ผู้มีมีดพร้า ขวาน จอบ เสียม ก็ให้เอาไปด้วยเช่นกัน เพื่อจะได้ไปปราบพื้นที่ที่จะทำเป็นที่เผาศพชั่วคราว สำหรับพวกที่มีพร้ามีขวานให้ไปตัดไม่ที่มีขนาดใหญ่หน่อย ยาวประมาณ ๒ วากว่าๆ มาทำเป็นไม้ข่มเหงหรือไม้ข่มหีบศพที่อยู่ บนกองฟอน ไม่ไห้ตกลงมาจากกองฟอนขณะไฟกำลังลุกไหม้อยู่ส่วนคนเฒ่าคนแก่รู้หลักในการที่จะทำเกี่ยวกับศพก็เตรียมฝ้าย พื้นบ้านพร้อมด้ายสายสิญจน์ เพื่อนำไปมัดตราสัง ภูไท เรียกว่ามัดสามย่าน ( คือห่อศพด้วยเสื่อแล้วมัดเป็นสามเปลาะ โดยมัด ตรงคอ ตรงกลาง และตรงข้อเท้า) นอกจากนั้นก็มีธูปเทียนดอกไม้ กะบองขี้ไต้ น้ำมันก๊าด พร้อมทั้งหม้อดินสำหรับใส่กระดูก หลังจาเผาเสร็จ เป็นต้น

       ส่วนท่านพระอาจารย์มั่นนั้น เมื่อฉันจังหันเสร็จและทำสรีรกิจส่วนตัวเรียบร้อยแล้วได้ลุกจากอาสนะที่นั่ง เดินลง จากศาลาหอฉันไปที่กุฏิศพพระอาจารย์เนียม พระเณรทั้งหลายก็ติดตามท่านไปด้วย ไปถึงท่านก็สั่งการต่างๆ ตามที่ท่านคิดไว้แล้ว คือคล้ายๆกับว่าท่านจะเอาศพของพระอาจารย์เนียมเป็นเครื่องสอนคนรุ่นหลังหรือทอดสะพาน ให้คนรุ่นหลังๆ ทั้งพระเณร พร้อมทั้งญาติโยมชาวบ้านหนองผือเอาเป็นคติตัวอย่าง ท่านจึงไปยืนทางด้านบนศรีษะของศพแล้วก้มลงใช้มือทั้งสองจับมุมเสื่อ ทั้งสองข้างของศพ ทำท่าทางจะยกศพขึ้นอย่างขึงขังจริงจังพระเณรทั้งหลายเห็นกิริยาอาการของท่านอย่างนั้นแล้ว จึงเข้าใจ ความหมายว่า ท่านต้องการจะให้ยกศพหามไปที่กองฟอนเดี๋ยวนั้น โดยไม่ต้องตกแต่งศพหรือทำโลงใส่เลย

       ดังนั้น พระเณรทั้งหลายจึงพากันกรูเข้าไปช่วยยกศพนั้นจากมือท่าน หามไปที่กองฟอนซึ่งอยู่ทางทิศตะวันออกเฉียงใต้ ของวัด เมื่อท่านพระอาจารย์มั่นเห็นว่าพระเณรทั้งหลายเข้ามาช่วยหามมากแล้ว ท่านจึงปล่อยให้จัดการหามกันเอง ท่านเพียงแต่ คอยสั่งการตามหลังเท่านั้น แล้วท่านก็เดินตามหลังขบวนหามศพนั้นไป ในตอนนี้พวกญาติโยมชาวบ้านกำลังทยอยเข้ามาที่บริเวณวัด ขณะที่พระอาจารย์มั่นกำลังเดินไปอยู่นั้น ได้มีโยมผู้ชายคนหนึ่งเดินถือฝ้ายพื้นบ้านเข้ามาหาท่านท่านเห็นจึงหยุดเดินและถามขึ้นว่า " พ่อออก ฝ้ายนั้นสิเอามาเฮ็ดอีหยัง..?" (หมายความว่า โยมจะเอาฝ้ายนั้นมาทำอะไร) โยมนั้นก็ตอบท่านว่า " เอามามัดสามย่านแหล่ว ข้าน้อย " ( มัดตราสัง ) ท่านพูดขึ้นทันทีว่า " ผูกมัดมัน เฮ็ดอีหยัง มันสิดิ้นรนไปไส มันฮู้พอแฮงแล้ว ให้เก็บฝ้ายนั้นไว้ใช้ อย่างอื่น สิยังมีประโยชน์กว่าเอามาเผาไฟทิ่มซะซือ " ( หมายความว่า ผูกมัดทำไม ศพมันจะดิ้นไปไหนเพราะตายแล้ว ให้เก็บฝ้ายนั้นไว้ใช้ อย่างอื่นยังจะมีประโยชน์กว่าเอามาเผาไฟทิ้งเสียเปล่าๆ ) โยมคนนั้นก็เลยหมดท่าพูดจาอะไรไม่ออก เก็บฝ้ายนั้นแล้วเดินตามหลัง ท่านพระอาจารย์มั่นเข้าไปยังที่ที่เผาศพพระอาจารย์เนียม

        เมื่อท่านพระอาจารย์มั่นเดินไปถึงที่เผาศพแล้ว มีโยมหนุ่มๆ แข็งแรงกำลังแบกหามท่อนไม้ใหญ่พอประมาณยาว ๒ วากว่าๆ ( ทางนี้เรียกว่าไม้ข่มเหง ) มาที่กองฟอน ท่านพระอาจารย์มั่นเหลือบไปเห็นจึงพูดขึ้นทันทีว่า " แบกมาทำเฮ็ดหยังไม้นั่น..?" ( หมายความว่า แบกมาทำไมไม้ท่อนนั้น ) พวกโยมก็ตอบว่า " มาข่มเหงแหล่วข้าน้อย " ( หมายความว่า เอาไม้นั้นมาข่มศพบนกองฟอน เพื่อไม่ให้ศพตกออกจากกองไฟ ) ท่านจึงพูดขึ้นอีกว่า " สิข่มเหงมันเฮ็ดอิหยังอีก ตายพอแฮงแล้วย่านมันดิ้นหนีไปไส " (หมายความว่า จะไปข่มเหงทำไมอีกเพราะตายแล้ว กลัวศพจะดิ้นหนีไปไหน ) พวกโยมได้ฟังเช่นนั้นก็เลยวางท่อนไม้เหล่านั้นทิ้งไว้ที่พุ่มไม้ข้างๆ นั้นเอง แล้วมานั่งลงคอยสังเกตการณ์ต่อไป

       ก่อนเผานั้นท่านพระอาจารย์มั่นสั่งให้พลิกศพตะแคงขวา แล้วตรวจดูบริขารในศพโดยที่ไม่ได้แต่งศพแต่อย่างใด เป็นแต่เพียงมีจีวรของศพปกปิดอยู่เท่านั้น แล้วท่านก็เหลือบไปเห็นสายรัดประคดเอวของศพ จึงดึงออกมาโยนไปให้พระที่อยู่ใกล้ๆ พร้อมกับพูดว่า " นี่ประคดไหม ใครไม่มีก็เอาไปใช้เสีย " แล้วท่านก็พาพระเณรสวดมาติกาบังสุกุลจนจบลง แล้วจึงให้ตาปะขาวจุด ไฟใส่กะบองแล้วยื่นให้ท่าน เมื่อท่านรับแล้วพิจารณาครู่หนึ่งจึงไปวางไฟลงใต้ฟืนในกองฟอน ไม่นานไฟก็ติดลุกไหม้ขึ้นเรื่อยๆ จนเป็นเปลวโพลงสูงขึ้นเรื่อยๆ อย่างรวดเร็ว ในที่สุดไฟเริ่มไหม้ทั้งฟืนทั้งศพ ทำให้ศพที่ถูกไฟไหม้อยู่นั้นมีน้ำมันหยดหยาดย้อยถูก เปลวไฟเป็นประกายวูบวาบพร้อมกับเสียงดังพรึบๆ พรับๆ ไปทั่ว จนที่สุดคงเหลือแต่เถ้าถ่านกับกองกระดูกเท่านั้นเอง

       ส่วนท่านพระอาจารย์มั่นเมื่อเห็นว่าทุกสิ่งทุกอย่างเรียบร้อยแล้ว จึงหันหน้าเดินออกมาข้างนอก ปล่อยให้ญาติโยมดูแลเอง ในขณะที่ท่านกำลังเดินออกมาท่านเหลือบไปเห็นโยมผู้ชายคนหนึ่งถือหม้อดินใหม่ขนาดกลางเดินเข้ามาหาท่าน ท่านจึงถามโยมคนนั้น ทันทีว่า " พ่อออกเอาหม้อนั้นมาเฮ็ดหยัง " ( หมายความว่า โยมเอาหม้อดินนั้นมาทำอะไร ) โยมคนนั้นตอบท่านว่า " เอามาใส่กระดูกแหล่วข้าน้อย " ( หมายความว่าเอามาใส่กระดูกขอรับ ) ท่านจึงชี้นิ้วลงบนพื้นดินพร้อมกับถามโยมคนนั้นว่า " อันนี้แม่นหยัง " ( หมายความว่า อันนี้คืออะไร ) โยมตอบท่านว่า " ดินขอรับ " ท่านจึงชี้นิ้วไปที่หม้อดินที่โยมถืออยู่พร้อมกับถามอีกว่า " นั่นแด้..เขาเอาอีหยังเฮ็ด " ( หมายความว่า นั้นเขาทำด้วยอะไร ) โยมตอบท่านว่า "ดินข้าน้อย" ท่านจึงสรุปลงพร้อมกับชี้นิ้วทำท่าทางให้ดูว่า " นั่นก็ดิน นี่ก็ดิน ขุดลงนี่แล้ว จึงกวาด..ลงนี่ มันสิบ่ดีกว่าหรือ " ( หมายความว่า หม้อใบนั้นก็ทำด้วยดิน ตรงพื้นนี้ก็ดิน ขุดเป็นหลุมแล้วให้กวาดกระดูกและเถ้าถ่าน ต่างๆ ลงด้วยกัน จะไม่ดีกว่าหรือ ) ท่านจึงบอกโยมนั้นเอาหม้อไปเก็บไว้ใช้ โดยบอกว่า " ให้เอาหม้อใบนั้นไปใช้ต้มแกงอย่างอื่นยังจะมี ประโยชน์กว่าที่จะเอามาใส่กระดูก " เมื่อโยมได้ฟังเช่นนั้นจึงนำหม้อดินไปเก็บไว้ใช้ประโยชน์อย่างอื่นต่อไป

< หน้าก่อน  หน้าต่อไป >

WWW.LUANGPUMUN.ORG